ตอนที่ 406 นําทาง
ลุงลัวกอดขวดเหล่าสองขวดเอาไว้ กําลังจะเปิดดื่ม
แต่ทันใดนั้นเมื่อได้ยินผมถามถึงทางไปเขาเขี้ยวหมาป่า เขาก็ตัวแข็งที่อ หน้าเปลี่ยนสีทันที
ไม่ใช่แค่นั้น เขาที่กำลังเมาอยู่ เหมือนจะได้สติขึ้นมาไม่น้อย
“เมื่อกี้เธอถามว่าอะไรนะ ?” ลุงลั่วทําหน้าจริงจัง
ผมเห็นอีกฝ่ายมีสติขึ้นมา เลยถามต่อ “ผมอยากถามว่าทางหลังเขาเล็กๆที่เข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่าเส้นนั้นอยู่ที่ไหน !”
ลงลั่วเลิกคิ้วอย่างรวดเร็ว “พวกเธออยากเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่างั้นเหรอ ?”
“ใช่ พวกเราจะเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่า” ผมทําหน้าจริงจัง เหล่าเฟิงเองก็พยักหน้า
แต่ลุงลั่วกลับกวาดสายตามองพวกเราสองคน แล้วยื่นขวดเหล้าสองขวดนั้นมาทางพวกเรา “ เอาคืนไป
ฉันแนะนํานะอย่าเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่า ไม่อย่างนั้นพวกเธอได้ตายอยู่ในนั้นแน่ ”
“ลุงลั่ว พวกเราจริงจังอยู่นะ ได้ยินว่าเข้าไปได้อย่างปลอดภัย และกลับออกมาอย่างปลอดภัย พวกเราก็เลยมาถามทางจากลุง !” ผมพูดต่อ
แต่ลุงลั่วกลับดูเหมือนจะสร่างเมาแล้ว เขาโบกมือให้พวกเราทันที “ ไม่ได้เด็ดขาด ในนั้นอันตรายมาก
แถมแค่พวกเธอเข้าไป ก็ต้องตายแน่ๆ !”
ลงลั่วเพิ่งพูดถึงตรงนี้ เหล่าเพิ่งที่ไม่พูดอยู่ข้างๆมานาน กลับพูดขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ลุงรู้เหรอว่าในนั้นมีอะไร ?”
พอโดนถามแบบนี้ ลุงถั่วกลับไม่สนน้ําเสียงที่ฟังดูหยาบคายของเหล่าเฟิง
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นถึงได้พูดต่อ “ฉันต้องรู้อยู่แล้ว มันเป็นสิ่งที่พวกเธอจะจินตนาการไม่ออกเลยละ เป็นของที่ดุร้ายและน่ากลัวยิ่งกว่าสัตว์……”
“ผีกับผีดิบใช่ไหม ?” เหล่าเฟิงพูดขึ้นมาอีกครั้ง น้ําเสียงฟังดูสบายๆ
พอลุงลั่วได้ยินคําพูดนี้ ก็ตัวแข็งที่อในทันที
บนหน้าเขียนว่าช็อก “เธอ เธอรู้ได้ยังไง ?”
เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็เข้าใจทันทีว่าทําไมลุงลั่วถึงปฏิเสธนักปฏิเสธหนา ไม่ยอมบอกทางเส้นนั้นกับพวกเราสักที
ที่แท้ลุงลั่วคนนี้ ก็ไปเห็นภายในสาขาย่อยขององค์กรตาผีมาแล้ว เขาเห็นพวกศพและผีดิบที่องค์กรตาผีเลี้ยงเอาไว้
ผมคิดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ยอมบอกทางกับพวกเรา พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ไม่แกล้งทําเป็นนักท่องเที่ยว หรือนักวิชาการอะไรนั้นอีกต่อไป
พูดกับลุงลั่วว่า “ ลงลั่ว ในเมื่อลงไปเห็นของในนั้นมาแล้ว งั้นพวกเราก็จะไม่แกล้งทําเป็นนักท่องเที่ยวอีก
ที่จริงแล้วพวกเรามาเพราะเจ้าพวกนั้นแหละ !”
“พวกเธอ พวกเธอมาเพื่อเจ้าพวกนั้นงั้นเหรอ ?” ลุงลั่วเหมือนจะไม่เข้าใจ
ผลลัพธ์เหล่าเฟิงที่อยู่ข้างๆกลับเปิดกระเป๋าสะพาย แล้วถึงดาบไม้ออกมาจากด้านใน แต่เขาแค่ดึงออกมาครึ่งเล่มเท่านั้น
พอลุงลั่วเห็นดาบไม้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที เขาเริ่มตกใจ “ดาบไม้ พวก พวกเธอเป็น เป็นนักพรต ?”
“ใช่ตัวเป็นๆ” หลังจากพูด ผมยังหยิบยันต์ออกมาหนึ่งแผ่น
หลังจากถือเอาไว้ในมือ “ตูม” ไฟก็ลุกขึ้น แล้วกลายเป็นเถ้าถ่านทันที
พอลงถั่วเห็นภาพนี้ เขาก็อดทําหน้าเหวอไม่ได้
เขากลืนน้ําลาย “พวกเธอ พวกเธอมา มาเพื่อกําจัดเจ้าพวกนั้นงั้นเหรอ ?”
“จะพูดแบบนั้นก็ได้” ผมพูดต่อ
แต่ลุงลั่วยังไม่อยากเชื่อ “แต่สิ่งที่อยู่ในนั้นมีจํานวนเยอะจนน่าตกใจ แค่พวกเธอสองคน จะ จะ ทําได้เหรอ ?”
ผมยิ้มหัวเราะอย่างขมขึ้น “ ไม่ได้อยู่แล้ว เป้าหมายหลักของพวกเรา คือมาเพื่อรวบรวมข้อมูลไปรายงาน
รอให้ได้รายละเอียดอย่างชัดเจนแล้ว พวกเราต้องหาคนมาจัดการเจ้าพวกนั้น เพื่อรักษาความสงบสุขอย่างแน่นอน !
พอลุงลั่วได้ยินถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะหายใจเร็วขึ้นกว่าเดิม “ในที่สุด ในที่สุดก็มีคนมาสนใจเรื่องนี้ ตั้งแต่ในเขาเขี้ยวหมาป่ามีเจ้าพวกนั้นออกมา บนเขาเขี้ยวหมาป่าก็มีแต่หมอก ทําให้คนเก็บสมุนไพรอย่างพวกเราต้องอยู่อย่างอนาถ”
“ฉันยังมีเพื่อนเก่าอีกสองคน ที่เข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่ากับฉัน แต่สุดท้ายกลับมีแค่ฉันคนเดียวที่หนีออกมาได้ พวกเขาสองคนตายอยู่ในนั้น……”
พอพูดถึงตรงนี้ ลงถั่วก็อดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นความเศร้า
“ลงลั่ว ลงบอกแค่ตําแหน่งของเส้นทางนั้นให้พวกเราฟังคราวๆก็พอ ส่วนเรื่องอื่นลงไม่ต้องสนใจหรอก !” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง
แต่ลุงลั่วกลับตอบกลับแบบตรงๆ “ไม่ได้ บนเขาเขี้ยวหมาป่ามีหมอกหนามาก ถ้าไม่มีคนนําทาง ถึงฉันจะบอกกับพวกเธอไป พวกเธอก็หาไม่เจอหรอก แถมยังหลงทางได้ง่ายอีกด้วย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน ฉันจะไปกับพวกเธอด้วย ฉันจะพาพวกเธอเข้าไปในเขา ขอแค่กําจัดเจ้าพวกนั้นได้ ก็ถือว่าเป็นการล้างแค้นให้เพื่อนฉันด้วย”
พอได้ยินลุงลั่วพูดแบบนั้น ผมก็อดดีใจไม่ได้ ในแววตาก็ลุกเป็นไฟขึ้นมานิดหน่อย
ถ้ามีคนนําทาง งั้นก็เยี่ยมไปเลย
แบบนี้ พวกเราก็จะได้เข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่า และหาสาขาย่อยองค์กรตาผีได้เร็วกว่าเดิม
และก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ลุงลั่วเลยสร่างเมาจนเกือบกลับมาเป็นปกติ
พอเห็นเขาเป็นแบบนั้น ผมและเหล่าเฟิงก็หันมามองหน้ากัน เหล่าเฟิงเองก็พยักหน้าให้เบาๆ
ผมไม่พูดไร้สาระ ตอบตกลงกับลุงลัวทันที
ลุงลั่วเห็นผมตกลง เลยไม่พูดพร่ําทําเพลง บอกให้ผมรอแป๊บนึง
จากนั้น เขาก็กลับเข้าไปเก็บข้าวของ เปลี่ยนรองเท้า และรีบออกมาหาพวกเราทันที
พอมาถึงหน้าบ้าน ผมก็แนะนําให้เขารู้จักกับฉยเฉิงจังและเสี่ยวเหมยสั้นๆ จากนั้นเราก็ให้ลุงลั่วเริ่มนําทางเลย
ลุงลั่วเองก็ไม่สนใจอายุของพวกเรา หลังจากรู้ว่าพวกเราเป็นนักพรตแล้ว เขาก็พาพวกเราขึ้นเขาด้วยความมั่นใจ
ระหว่างทาง ลุงลั่วได้เล่าสถานการณ์บนเขาเขี้ยวหมาป่าให้พวกเราฟังสั้นๆ และบอกอีกว่า หมอกบนเขาเขี้ยวหมาป่าเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
ลุงลัวยังพูดว่า เขาเขียวหมาป่าอยู่ห่างจากที่นี้ไม่ไกล เพียงแค่เส้นทางบนเขาซับซ้อน บวกกับมีหมอกหนา คนธรรมดาเลยเข้าใกลได้ยาก
ดูเหมือนพอมีลุงลัวนําทางให้พวกเราแล้ว จะย่นระยะเวลาในการเดินทางของพวกเราได้เยอะเลย
ตอนนี้เหมือน ใช้เวลามากสุดแค่สี่ชั่วโมงพวกเราก็น่าจะไปถึงที่หมายแล้ว
ถ้าตรงกับเวลาพอดี เราก็ไม่ต้องหยุดพัก สามารถแอบเข้าไปได้เลย
ถ้าไม่เหลือเวลา หรือพลาดจากช่วงเวลานั้น งั้นพวกเราก็จะพักแรมกันบนเขา รอให้ถึงคืนวันถัดไป แล้วค่อยลงมืออีกครั้ง
ระยะทางในช่วงสามชั่วโมงแรกเป็นไปอย่างราบรื่น แต่พอเข้าใกล้ตัวเขาเขี้ยวหมาป่า ความเร็วของพวกเรากลับเริ่มช้าลง
เพราะในสถานที่แห่งนี้คือบริเวณรอบๆเขาเขียวหมาป่าแล้ว มันไม่เพียงมีหมอกหนากว่าเดิม แต่พวกเรายังสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายที่เข้มข้น
หรือจะพูดอีกอย่างคือ รอบๆเขาเขี้ยวหมาป่ามีผีร้ายอยู่
ผีร้ายพวกนี้ อาจเป็นผีที่คอยเฝ้าสาขาย่อยแห่งนี้
เพื่อความปลอดภัย พวกเราได้แค่เคลื่อนไหวให้ช้าลงให้มากที่สุด หลังจากรู้สึกว่าปลอดภัยแล้ว
ค่อยเดินต่อไปข้างหน้า
เรื่องก็เป็นแบบนี้ เดิมที่เป็นระยะทางที่ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมง แต่พวกเรากลับใช้ไปเกือบสามชั่วโมง
ตอนนี้ พวกเราผ่านทางหลังเขาเส้นนั้น มาจนถึงทางระยะสุดท้ายแล้ว ขอแค่เดินผ่านที่นี้ไปเข้าไปในเขาเขี้ยวหมาป่า เราก็จะเจอกับที่ราบกลางหุบเขาแล้ว
หลังจากเห็นลงถั่วมองรอบๆให้แน่ใจแล้ว เขาก็พูดกับพวกเราว่า “ใช่ ที่นี่แหละ ขอแค่เดิน ผ่านเส้นทางนี้ไป เดินไปตามเถาวัลย์หนามพวกนี้ แล้วสุดท้ายก็ปีนหน้าผาอีกแห่งนึง ก็จะถึง ที่ราบของเขาเขี้ยวหมาป่าแล้ว”
“ตอนนั้นฉันใช้ทางเส้นนี้หนีเอาชีวิตรอด ไม่อย่างนั้นคงโดนกัดตายอยู่ในนั้นไปแล้ว ต่อจากนี้ พวกเธอต้องไปกันเองแล้ว”
ลุงลั่วทําหน้าจริงจัง เผยแววตาที่หวาดกลัวพอสมควร
ผมพยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับลุงลัวว่า “ขอบคุณมากครับลุงลั่ว ลุงกลับไปก่อนเถอะ ! ระวังตัวด้วยนะครับ !”
เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดคิด หลังจากพูดจบผมก็ให้นุ่ยเฉิงจึงเอายันต์ปิดลมหายใจให้ลุงลัว ต้องปิดกลิ่นอายลมหายใจให้เขา ไม่อย่างนั้นตอนเขาเดินกลับคนเดียว อาจโดนผีร้ายที่อยู่รอบๆแถวนี้เจอตัวได้
ถึงลุงลั่วจะไม่รู้ว่านี่คือยันต์อะไร แต่เขาก็คิดว่ามันเป็นยันต์คุ้มครอง
ลุงลั่วรับยันต์เอาไว้ บอกว่าหลังเราออกมาแล้ว ต้องไปบอกเขาด้วย เขาจะได้สบายใจ
ผมพยักหน้าให้เขา บอกว่าได้
ต่อจากนั้น ลงถั่วก็ไม่อยู่ต่อ เขาแปะยันต์บนตัว จากนั้นก็ทําตัวเหมือนลม หายไปจากสายตาของพวกเราอย่างรวดเร็ว
ส่วนพวกเราทั้งสี่คน ก็ทําตามที่ลุงลั่วพูดเอาไว้ เดินไปตามเถาวัลย์หนามพวกนี้
หลังจากนั้นประมาณ 20 นาที พวกเราก็มาเจอกับหน้าผาจริงๆ มันสูงประมาณ 10 เมตรได้ แถมยังมีเถาวัลย์ห้อยลงมาจํานวนมาก
พวกเราสามคนหอบหายใจสองสามครั้ง จากนั้นก็ปีนขึ้นไปตามเถาวัลย์พวกนี้
ผมว่าพวกเราสามคนเร็วแล้วนะ แต่ยัยจิ้งจอกน้อยกลับเร็วยิ่งกว่า “พรึบๆๆ” ผ่านไปเพียงแค่พริบตาเดียว เธอก็ไปถึงยอดแล้ว
สมเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในภูเขาจริงๆ หน้าผาแบบนี้กลับปืนง่ายอย่างกับเดินบนพื้นราบ
หลังจากที่พวกเราสามคนปืนขึ้นมาถึงบนหน้าผา เราก็เห็นรอบๆเต็มไปด้วยหนามและพุ่มไม้
พวกเราไม่คิดจะพัก เดินต่อไปข้างหน้าทันที
ผ่านไปไม่นาน หมอกหนาพวกนั้นก็ค่อยๆหายไป
แต่พลังชั่วร้ายรอบๆ กลับเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม หรือแม้แต่จะพูดได้ว่ามันพุ่งไปถึงบนฟ้า พร้อมด้วยกลิ่นศพลอยทิ้ง
พวกเราเดินตามพลังชั่วร้ายพวกนี้ แล้วสุดท้าย ในขณะที่หัวใจพวกเรากําลังหวาดผวา และแหวกพุ่มไม้ออก
ในที่สุดเราก็เห็นที่ราบในตัวเขาเขี้ยวหมาป่า และพลังชั่วร้ายพวกนั้นก็ไหลออกมาจากที่ราบแห่งนั้น