ศพ – ตอนที่ 409 ยามณี

ตอนที่ 409 ยามณี

เราไม่กล้าช้าเกินไป เพราะกลัวว่าจะโดนจับได้

ดังนั้นถึงจะเป็นหน้าผาที่สูงสี่สิบห้าสิบเมตรพวกเราก็ต้องเร่งความเร็วยิ่งกว่าเดิม

ใช้ช่องว่างหน้าผาและเถาวัลย์เป็นตัวกันชนไม่อย่างนั้นพวกเราอาจล่วงลงไปได้

แต่อาจเป็นเพราะรีบเกินไป พวกเราเพิ่งไต่ลงไปได้ครึ่งทางเถาวัลย์ที่ฉยเฉิงจึงจับเอาไว้กลับขาดขึ้นมากลางคัน

นุ่ยเฉิงจึงตกใจ อยากจะคว้าผาหินข้างๆเอาไว้เผื่อจะช่วยไม่ให้เธอตกลงไปได้

ผลลัพธ์เธอกลับช้าไปครึ่งก้าวตัวเธอล่วงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว

ในวินาทีนั้น ฉียเจ๋งจึงตกใจจนหน้าถอดสีเธอกร็ดออกมาทันที “อร้าย”

แต่ในช่วงเวลาวิกฤตนั้นผมเอื้อมมือเข้าไปอย่างรวดเร็วคว้ามือเธอเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างนึงก็จับเถาวัลย์เอาไว้แน่น

วินาทีที่ผมคว้ามือเธอเอาไว้ได้ทันนุ่ยเฉิงจิงก็เงยหน้าขึ้นมามองตามสัญชาตญาณ

ตอนเห็นผม เธอกลับพบว่าผมกําลังยิ้มอยู่ในเวลาเดียวก็พูดออกมาว่า “ระวังหน่อยมีเถาวัลย์ที่ตายแล้วค่อนข้างเยอะ !”

พอฉัยเฉิงจึงได้ยินผมพูดแบบนั้นสีหน้าก็ดีขึ้นมาทันทีเธอฉีกยิ้มเล็กน้อยจากนั้นก็เอื้อมมือไปจับเถาวัลย์ข้างๆ“ขอบใจมาก”

พอเห็นฉยเฉิงจึงทรงตัวได้แล้วผมถึงได้ปล่อยมือจากเธอ

เดิมที่คิดว่าไม่มีอะไรแค่ไต่ลงไปตามปกติก็พอ

แต่ใครจะรู้เสียงกร็ดของจี่ยเจ๋งจึงเมื่อกี้กลับดึงดูดซากศพสองตัว

ดูเหมือนประสาทการมองเห็นของเจ้าตัวนี้จะไม่ค่อยเท่าไหร่ พวกมันใช้จมูกดมกลิ่นเข้ามาใกล้พวกเราขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกันก็ส่งเรียงร้อง “คาๆๆ” ออกมาเป็นครั้งคราว

เหล่าเพิ่งเห็นเหตุการณ์นี้เป็นคนแรก เขารีบพูดกับจิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างล่างทันที “มีซากศพซ้ายมือ

เสียงเหล่าเฟิงไม่ดังมาก แต่หจิ้งจอกน้อยกลับดีผิดปกติ

พอได้ยินเสียงของเหล่าเฟิงเสี่ยวเหมยก็หันไปทางซ้ายอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็เป็นเหมือนลูกธนู

พุ่งออกไปทันที

มือคนคู่นั้น แปลเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้า

ไม่รอให้ซากศพสองตนนั้นเห็นเสี่ยวเหมยเสี่ยวเหมยก็กระโดดขึ้น กรงเล็บคู่นั้นเหมือนดาบคมๆเล่มหนึ่ง

“บิ๊กฉีก” มันตรงเข้าที่หัวของสองศพ

ซากศพสองตัวนั้นยังไม่ทันได้ทําอะไรหัวของพวกมันก็แยกออกเหมือนแตงโมที่โดนผ่า

เสี่ยวเหมยเยือกเย็น หลังจากจัดการซากศพทั้งสองตัวเสร็จแล้วเธอก็เก็บมือกลับมาเป็นมือคนอีกครั้ง

เมื่อเห็นภาพนี้ พวกเราก็อดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้

จากนั้นพวกเราก็ไต่ลงไปต่อผ่านไปประมาณสองนาที พวกเราถึงได้ลงมาอย่างปลอดภัยและ

ตามไปที่

เสี่ยวเหมยอยู่อย่างรวดเร็ว

แต่ตอนที่พวกเราไปถึงตรงที่เสี่ยวเหมยอยู่กลับต้องพบกับเรื่องที่น่าตกใจ

ซากศพสองตนที่เสี่ยวเหมยเพิ่งจัดการไปเมื่อกี้ตอนนี้กลับมีสภาพที่เปลี่ยนไป

พวกมันกลายเป็นซากศพแห้งๆดําๆบนตัวยังมีขนขาวๆยาวๆงอกออกมา เหมือนกับรากไม้ไม่ มีผิด

นอกจากนี้ บนศพพวกนั้นยังมีแมลงรูปร่างคล้ายหนอนออกมาไต่ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด

“นี่ นี่คือศพสองตัวเมื่อกี้เหรอ?”จู่ๆเหล่าเฟิงก็พูดขึ้นมาเขาดค่อนข้างตกใจ

ผมเองก็ขมวดคิ้ว ไม่เคยเห็นสภาพแบบนี้มาก่อนตายก็ตายไปซิทําไมถึงได้เปลี่ยนสภาพกลายเป็นศพแห้งเร็วขนาดนี้แถมตรงนี้ใกล้ๆกับพื้นดินยังมีของที่รูปร่างคล้ายรากงอกออกมาหรือแม้แต่ยังมีหนอนน่าขนลุกพวกนี้เต็มไปหมด

เสี่ยวเหมยพยักหน้า “ใช่ กลังจากที่พวกมันตายได้ไม่นาน ตัวก็เริ่มแห้งมีของที่คล้ายรากงอกออกมาแล้วก็มีหนอนพวกนี้สุดท้ายก็กลายเป็นแบบที่เห็น !”

“น่าขยะแขยงชะมัด” เฉิงจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้

“ใช่น่าขยะแขยงจริงๆ เรามีเวลาไม่มาก รีบไปกันเถอะ !” ผมพูด แม้จะสงสัยแต่ก็ไม่มีเวลามายืนดูอยู่ตรงนี้

พอได้ยินผมพูดแบบนั้น ทุกคนก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ แยกย้ายเดินออกไปจากสองศพนี้แล้วไปต่อตามแผนทันที

ตําแหน่งที่พวกเราอยู่ในตอนนี้ คือป่าแห่งหนึ่งในหุบเขา

หลังจากเดินผ่านป่ามาได้ประมาณ 10 นาที พวกเราก็เห็นสถานที่ผีพวกนั้นมารวมตัวอยู่ไกลออกไป

ตรงนั้นมีผีดิบ ศพเดินได้ ผีชุดขาว และยังมีพวกสัตว์ประหลาด

แต่พวกเราไม่กล้าเข้าไปใกล้ เลยต้องเปลี่ยนทาง อ้อมไปอีกด้านหนึ่งของถ้ํา

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงปากถ้ํา

ตรงปากถ้ํา มีความสูงประมาณสี่ห้าเมตร กว้างประมาณสองสามเมตร ด้านบนสุดมีอักษรสลักเอาไว้สองสามคํา“ที่พํานักเนตรศักดิ์สิทธิ์แห่งเขาเขี้ยวหมาป่า”

เดิมที่มันก็ไม่มีอะไร แต่เรากลับพบว่า ตรงหน้าปากถ้ํา มีผีสองตัวเฝ้ายามอยู่

พวกมันยังอยู่ในชุดขาว เนื้อตัวขาวซีดตัวแข็งที่ออย่างกับรูปปั้น

เหมือนกับหุ่นไม่มีผิด ยืนอยู่หน้าปากถ้ําไม่ขยับไปไหน

เมื่อเห็นแบบนั้น พวกเราก็ย่อตัวลง ในเวลาเดียวกันก็ได้ยินผมพูดว่า “ นี่น่าจะเป็นทาสผี

สมุนขององค์กรตาผี ถ้าพวกเราอยากเข้าไป ก็ต้องคิดวิธีจัดการพวกมันก่อน ! ”

“พลังชั่วร้ายของวิญญาณสองตัวนี้ไม่แรงมาก แถมยังอยู่ในชุดขาวจัดการพวกมันไม่ใช่เรื่องยากถ้าพวกเราร่วมมือกันต้องจัดการได้ง่ายๆแน่ๆแต่ถ้าผลีผลามออกไปคงมีเสียงดังไม่น้อยแล้วสุดท้ายก็จะเปิดเผยตําแหน่งของพวกเรา”นุ่ยเฉิงจึงพูดเป็นปัญหาที่ค่อนข้างยุ่งยาก

เสี่ยวเหมยกลับพูดว่า “ฉันเข้าใกล์ผีตัวนึงแบบไม่ส่งเสียงได้และยังจัดการเจ้าตัวนั้นได้อีกด้วยส่วนอีกตัวพวกนายต้องหาทางจัดการเอง !”

สําหรับความสามารถของเสียวเหมยพวกเราไม่สงสัยอย่างแน่นอน

แต่เธอจัดการได้ตัวเดียว แล้วอีกตัวละจะทํายังไง

ต้องทํายังไงถึงจะเข้าใกล้อีกฝ่ายแบบไม่ส่งเสียงได้แล้วฆ่ายามอีกตัวได้ในเวลาเดียวกัน

ถ้าเป็นคนก็ว่าไปอย่าง แต่อีกฝ่ายดันเป็นผีนี่ซิ

ถึงพวกเราจะใช้ยันต์ปิดลมหายใจ ปิดกั้นลมหายใจและพลังหยางในตัวของพวกเราได้แต่มันก็มันปิดเสียงฝีเท้าของพวกเราไม่ได้

ถ้าพวกเราลงมือฆ่ายามทั้งสองตัวตาย แต่ดันทําให้เกิดเสียงดังขึ้น หรือเกิดเหตุไม่คาดคิดขึ้นพวกทาสผีหรือสาวกในฐานนี้ก็จะแตกตื่นมากกว่าเดิม

แบบนั้นผลที่ตามมาต้องร้ายแรงอย่างแน่นอน พอถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ขโมยน้ําลี่ลั่วเลยแม้แต่หนีออกไปจากที่นี่ก็เป็นปัญหาทั้งนั้น

เพื่อคิดวิธีที่รอบคอบ ช่วงเวลานั้น ทุกคนต่างทําหน้าครุ่นคิด

ผมดึงหน้าลงถามตัวเองไม่หยุดทํายังไงทํายังไงดี

ทันใดนั้นเอง ก็มีแสงแวบเข้ามาในหัวผม

ถ้าพวกเราเข้าใกล้ไม่ได้ งั้นก็อาจ ให้อีกฝ่ายเข้ามาหาพวกเราแทนซิ

แบบนี้ พวกเราก็ไม่ต้องทําให้เกิดเสียง และยังทําให้อีกฝ่ายเข้ามาในรัศมีสังหารของพวกเราแล้วฆ่ามันได้ตรงๆ
พอคิดได้แบบนี้ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

รีบพูดกับคนอื่นๆว่า “ในเมื่อพวกเราเข้าไปใกล้ไม่ได้ งั้นก็ให้พวกมันเข้ามาหาพวกเราแทนซิ”

“เข้ามาหาพวกเรา ?” เหล่าเฟิงพูดด้วยความสงสัย

“ใช่ ให้พวกมันเข้ามาหาเราแทน !” ผมพูดต่อ

“ติงฝาน จะเป็นไปได้เหรอ ? อีกฝ่ายจะได้ยินเสียงของเรานะ” àยเฉิงจึงทําหน้าสงสัยเสี่ยวเหมยเองก็มองผมด้วยความสงสัย

ผมกลับฉีกยิ้มเบาๆ “ฉันรับรอง อีกฝ่ายต้องติดกับแน่ แถมยังจะเข้ามาหาพวกเราเองอีกด้วย”

“รีบบอกมา มีวิธีอะไรฮะ ?” นุ่ยเฉิงจึงรีบถาม

ผมเองก็ไม่พูดอ้อมค้อม บอกวิธีที่ตัวเองคิดได้ออกไปทันที “อีกเดี๋ยวพวกเรานอนนิ่งๆ หลังจากนั้นปล่อยพลังออกมานิดหน่อยก็พอ พอเจ้ายามสองตัวนี้เห็นว่าผิดปกติพวกมันก็ต้องเดินออกมาดูถึงตอนนั้นเราก็คว้าโอกาสฆ่ามันเลย”

พอทุกคนได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็ตบต้นขาทันที วิธีนี้เรียบง่าย และได้ผลแน่

“ได้ ! ตกลงตามนี้” เหล่าเพิ่งเห็นด้วย

ฉยเฉิงจิงก็พยักหน้า แต่เสี่ยวเหมยกลับพูดว่า “แล้วถ้าอีกฝ่ายมาแค่ตัวเดียวจะทํายังไงถึงตอนนั้นพวกเราฆ่าตัวนึง แล้วอีกตัวตกใจ สร้างเรื่องวุ่นขึ้นมาละ ?”

ผมยกยิ้มที่มุมปาก “ดังนั้นเลยต้องรบกวนเสี่ยวเหมยให้จัดการไง เพื่อระวังเอาไว้ก่อนเธอออกไปซุ่มก่อน ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะมาตัวนึ่งหรือสองตัว พวกเราจะลงมือพร้อมกันพอยามสองตัวนี้ตายเราก็จะเข้าไปในถ้ําได้สะดวกแล้ว”

“คือ เป็นวิธีที่ดี ! งั้นพวกเราก็ลงมือกันเถอะ !” นุ่ยเฉิงจึงพูด

พอเสี่ยวเหมยฟังผมอธิบายแผนจบ เธอก็พยักหน้า จากนั้นก็กลายร่าง เปลี่ยนเป็นจิ้งจอกน้อยอีกครั้ง

ส่วนพวกเราสามคน ก็แอบออกไปซุ่มรอบๆ แบ่งเป็นสามมุม

ถ้าอีกฝ่ายเข้ามา พอพวกเราสามคนลงมือพร้อมกัน ยังไงก็ต้องจัดการตัวที่ตกหลุมพลางได้ตั้งแต่วินาทีแรกอย่างแน่นอน

หลังจากที่พวกเราซ่อนตัวเสร็จแล้ว เจ้าจิ้งจอกน้อยก็ใช้ความสามารถของตัวเองและยันต์ปิดกั้นลมหายใจแบบพิเศษเข้าไปที่ปากถ้ําอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียงพร้อมลงมือตลอดเวลา

ผมเห็นตําแหน่งของจิ้งจอกน้อย หลังจากมองหน้าเหล่าเฟิงและนุ่ยเฉิงจึงแล้ว ผมก็ค่อยๆดึง ยันต์ปิดลมหายใจที่หน้าอกของตัวเองออก

ยันต์ปิดลมหายใจเพิ่งโดนดึงออก พลังหยางและไฟทั้งสามบนตัวผม ก็แพร่ออกมาทันที

ลมหายใจของคนเป็นแบบนั้น ไหลออกมาจากตัวผม

ส่วนยามผีที่เฝ้าปากถ้ําอยู่ก็รับรู้ได้ตั้งแต่วินาทีแรก……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset