ศพ – ตอนที่ 417 ตกใจ

ตอนที่ 417 ตกใจ

ตรงประตูทางเข้าออกมาของสาขาย่อยแห่งนี้ มีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา

เพียงสาวกที่เฝ้าอยู่ตรงนี้ ก็มีกว่าสี่คนแล้ว และพลังของแต่ละคนยังไม่น้อยไปกว่าพวกเรา

นอกจากสาวกคน ยังมีทาสผีอีกแปดตัว

ถึงพวกทาสจะไม่ได้มีพลังสูงมาก แต่ก็อยู่ในระดับผีร้ายชุดขาว ความแข็งแกร่งอยู่ในช่วงเต้าฉือขั้นแรกจนไปถึงขั้นกลาง ความร้ายกาจของผีชุดขาวทั้งแปดตัวเลยไม่ใช่สิ่งที่เราจะมองข้ามได้

แต่ภายใต้การนําของเจ้าผอม ทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น

ขณะมาถึงทางออก และเจ้าผอมก็ออกคําสั่ง ให้สาวกที่เฝ้าประตูอยู่ไม่กี่คนนั้นไปเปิดประตูแล้ว ขณะเดียวกันก็บอกให้พวกทาสผีที่อยู่ข้างๆถอยไป แต่ทันใดนั้นเองเรื่องที่ไม่อยากให้เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว

วินาทีนั้น ภายในสาขาย่อย ได้มีเสียงระฆังดังขึ้น

“เป้ง……”

เสียงดังก้อง ไปทั้งหุบเขาเขี้ยวหมาป่า

ภายในช่วงนี้ ทั้งสาวกทุกคนที่อยู่ในเขาเขี้ยวหมาป่า ตื่นตัวขึ้นมาทันที
สาวกและวิญญาณนับไม่ถ้วน ต่างออกมาจากถ้ําหิน

ไกลออกไป เสียงตะโกนของใครบางคนก็ดังขึ้น “ผู้นําสาขามีคําสั่ง ให้ปิดประตูเข้าหุบเขา ผู้นําสาขามีคําสั่งให้ปิดประตูเข้าหุบเขา…..”

เสียงนี้ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง และกําลังเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

พอได้ยินเสียงนี้ ในใจของพวกเราก็มีเสียงดัง “ถูก” สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

ปิดประตูเข้าหุบเขา พวกมันคิดจะทําอะไร หรือว่าพวกเราโดนจับได้แล้วงั้นเหรอ

ผมตกใจ คิดว่าอาจเป็นไปได้

ในวินาทีนั้นพวกเราหันไปมองหน้ากันทันที ดวงตาแต่ละคนต่างเขียนเอาไว้ว่าตกใจและเครียด

ส่วนสาวกสองคนที่เพิ่งเปิดประตูเมื่อกี้ กลับยืนนิ่งในทันที หลังจากนั้นก็หันมามองหน้าเจ้าผอม

ในเวลาเดียวกัน สาวกคนนึงก็พูดกับเจ้าผอมว่า “ท่าน ท่านหัวหน้าคง เสียงระฆังดัง หัวหน้าสาขาก็ออกคําสั่งแล้ว แสดงว่าด้านในต้องเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นแน่ๆ ท่านหัวหน้าคงรอหน่อยแล้ว ค่อยออกไปนอกหุบเขาเถอะ ! ถึงยังไงข้าน้อยก็เปิดประตูให้ไม่ได้แล้ว !”

หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็คิดจะปิดประตูอีกครั้ง

“ติงฝาน ทํายังไงดี มันจะปิดประตูแล้วนะ” เห็นได้ชัดว่าฉยเฉิงจึงเริ่มกลัว และทําอะไรไม่ถูก

จิ้งจอกน้อยที่อยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแน่น เผยให้เห็นเขี้ยวเล็กน้อย พร้อมหวาดระแวงรอบๆตลอดเวลา

“เหล่าติง ลงมือเถอะ !” เหล่าเฟิงพูดอย่างเย็นชา เขาเองก็รู้สึกไม่ดีแล้ว

ตอนนี้ ตัวผมกลับมีความรู้สึกมากมายผสมปนเปไปหมด

ทําไมจู่ๆอีกฝ่ายก็สั่งให้ปิดประตู ทําไมต้องลั่นระฆัง

มันอาจเป็นไปได้มากว่าเจ้าพวกนั้นเห็นว่าน้ําลี่ลั่วหายไป หรือสงสัยว่ามีคนนอกแอบเข้ามา

นี่คือเป็นแค่เรื่องสมมติ ถ้าเราลงมือที่นี่ พวกเราก็ต้องเปิดเผยตัวตน

และตําแหน่งที่โดนเปิดโปง ก็อาจทําให้เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายมาก

ถึงจะออกไปได้ พวกเราก็ต้องโดนไล่ล่าแน่ๆ

พอถึงเวลานั้นเราจะต้องหนีเอาชีวิตรอดจากหุบเขาแห่งนี้ แต่มันก็ยากที่จะหนีรอดได้ หรืออาจตายในหุบเขาด้วยซ้ํา อันตรายมากถึงมากที่สุด

แต่ถ้าไม่ลงมือ ปล่อยไปตามสถานการณ์ แอบแทรกซึมเข้าไปในหุบเขาดังเดิม ผลที่ตามมาจะเป็นยังไง

ก่ยซานหยวน ยัยป้ามั่นหน้าและคนอื่นๆ จะต้องสั่งให้รุมสังหารพวกเราอย่างแน่นอน

ที่นี่ใหญ่ขนาดนี้ คน วิญญาณและซากศพเดินได้ก็มีเยอะถึงขนาดนั้น

ถึงจะรอดอยู่ได้ระยะนึง แต่ก็ซ่อนต่อไปตลอดไม่ได้ การค้นหาทีละที่ๆจะต้องบีบให้พวกเราออกมาอย่างแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น พวกเราน่าจะต้องเผชิญกับอันตรายที่มากกว่า

ทางที่สอง เหมือนจะอันตรายมากกว่า

ขอแค่พวกเราเร็วพอ หนีออกไปจากเขี้ยวหมาป่าได้ก่อนจะถูกจับ ใช้ยันต์ปิดลมหายใจ อาจยังพอมีทางรอดอยู่บ้าง และก็ดูจะดีกว่าทางเลือกที่สองมาก

สมองของผมหมุนอย่างรวดเร็ว พิจารณาความเป็นไปได้ของทั้งสอง

แต่ในสายตาของทุกคน ทุกอย่างนี้เป็นแค่เพียงการลังเลครู่หนึ่ง ผ่านไปแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้น

ตอนนี้ผมเงยหน้าขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยสีหน้าดุดันออกมา ในมือเองก็กําดาบไม่ไว้แน่น “ฝ่าออกไป !”

ทุกคนพร้อมลุยอยู่แล้ว ต่างรู้สึกกดดันไม่แพ้กัน

เพราะด้านหลังของพวกเรา มีสาวกสิบกว่าคนกําลังวิ่งมาทางนี้ ในเวลาเดียวกันยังมีสายลมจากพลังหยินอันมหาศาลที่ปะทะเข้ามา

ด้านหลังของสาวกพวกนั้น มีผีร้ายหลายสิบตน แต่มันก็ยังไกลพอสมควร

ตอนนี้พอได้ยินผมพูดแบบนั้น ทุกคนก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด

เหล่าเฟิงและฉียเฉิงจึง “ฟรีบๆ” ดึงดาบออกมาทันที

เจ้าจิ้งจอกน้อยก็คราม “สื่อ” มือทั้งสองอย่างเปลี่ยนเป็นอุ้งเท้าจิ้งจอกอย่างรวดเร็ว ดวงตาเปล่งประกาย

เผยให้เห็นคมเขี้ยวที่แหลมคม

เจ้าจิ้งจอกน้อยเปลี่ยนไปเร็วมาก ไม่รอให้พวกศัตรูได้ทันตั้งตัว
ขาทั้งสองข้างพุ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว กรงเล็บชี้ตรงไปที่สาวกที่เป็นคนเฝ้าประตูอยู่

เหล่าเฟิงและนุ่ยเฉิงจึงเองก็เล็กคิ้วขึ้น พวกเขาไม่ลังเลเลยสักนิด แบ็คแฮนด์ใส่ทาสผีสองตนที่อยู่ข้างๆทันที

เจ้าผีสองตัวนี้ไม่ได้คิดระแวงแต่อย่างใด พวกมันคิดไม่ถึงว่าพวกเราจะเป็นศัตรู

บวกกับระยะห่าง และพลังของพวกมันก็ไม่ได้สูงมาก ผลลัพธ์วินาทีนั้นพวกมันก็โดนเหล่าเฟิง และนุ่ยเฉิงจึงสังหารในทันที

“ศะ ศัตรู !”

จิ้งจอกน้อยลงมือ หลังจากเหล่าเฟิงและนุ่ยเฉิงจึงจัดการทาสผีทั้งสองตนเสร็จแล้ว สาวกทั้งสี่คนถึงได้สติกลับมา และตะโกนออกมาเสียงดังลั่น

ส่วนตัวผมเองก็ดึงดาบไม้ออกมา เตรียมกําจัดเจ้าผอม จากนั้นค่อยไปสังหารสาวกและพวกผีที่เฝ้าประตู

ในเวลาเดียวกันก็จะวิ่งออกไปตามถนนเลือด

แต่พอเงยหน้าขึ้นมอง ผมกลับพบว่าเจ้าผอมที่นําทางให้พวกเราก่อนหน้านี้ มือเท้าไวทิ้งระยะห่างจากพวกเราช่วงหนึ่ง ตั้งแต่ตอนที่พวกเรากําลังลังเลอยู่แล้ว

ในเวลานี้มันกําลังวิ่งไปในทิศทางตรงกันข้ามกับพวกเรา ทิ้งระยะเอาไว้ประมาณห้าหกเมตรได้

ในขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาไม่หยุดปาก “รีบ รีบมาช่วยข้าเร็ว !”

ในเวลาปกติ ระยะห่างเพียงเท่านี้ไม่ถือว่าไกลเท่าไหร่

บวกกับอีกฝ่ายโดนผนึกพลังเอาไว้ ส่วนตัวถ้าผมกลับเคลื่อนไปทั้งร่าง อย่างมากที่สุดเพียงให้เวลาผมประมาณสามสิบวินาที ผมก็จะสังหารเจ้าหมอนได้แล้ว

แต่จากสถานการณ์ในตอนนี้ อย่าว่าแต่สามสิบวินาทีเลย แม้แต่วินาทีเดียวพวกเราก็ไม่กล้าเสียไปด้วยซ้ํา

สาวกข้างหลังเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ และยังมีผีอีกขโยงใหญ่

ถ้าโดนล่อมละก็ พวกเราไม่ได้ออกจากเขาเขี้ยวหมาป่าแน่

หลังจากกวาดสายมองเจ้าผอมที่กําลังวิ่งหนี ผมก็ได้แต่แอบกัดฟัน แล้วไม่สนใจเจ้าหมอนั่นอีก จากนั้นก็หมุนตัวไปทางประตู แล้ววิ่งไปทางนั้นทันที

ส่วนเจ้าสาวกตัวผอมด่าคนนั้นกลับกําลังวิ่งจนล้มและลุกขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังลั่นอีกรอบ “ เร็ว เร็วรีบฆ่าพวกมันซะ พวกมันเป็นนักพรตฝ่ายธรรมะ และรีบไปบอกหัวหน้าสาขากับนายน้อยเร็ว

หนึ่งในพวกนั้นมีเจ้าติงฝานอยู่ด้วย”

เจ้าหมอผีผอมดําตะโกนเสียงดัง ผ่านไปไม่นานก็มีสาวกคนอื่นมาสมทบกับเขา

พวกเราไม่สนใจอย่างอื่น เริ่มสู้พวกทาสผีและสาวกที่เฝ้าประตูแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายมีจํานวนมากกว่าพวกเราเยอะ ถึงพวกเราจะเริ่มจู่โจมก่อน กําจัดผีร้ายไปสองตนและสาวกอีกคนได้ แต่ตอนนี้ก็ยังมีสาวกเฝ้าประตูอีกสองคน และผีร้ายอีกหกตัว

ตอนนี้พวกมันเฝ้าอยู่หน้าประตูไม่ขยับไปไหน สู้กับพวกเราอย่างไม่ยั้งมือ

จิ้งจอกน้องดร้ายมาก ตอนนี้เธอกวาดแกว่งอุ้งเท้าอย่างดุดัน สาวกพวกนั้นแทบรับมือไม่ไหว

ผม เหล่าเฟิง และฉียเฉิงจิงเองก็ทุ่มสุดกําลัง อยากรีบออกไปจากที่นี่ให้ได้เร็วๆ

แต่เจ้าพวกนั้นใช้ข้อดีที่ตัวเองมีคนเยอะกว่า และประโยชน์จากพวกทาสผี

เอาแต่ป้องกันไม่โจมตี พยายามรั้งพวกเราอยู่ตรงนั้น รอให้ทัพเสริมมาช่วยอีกแรง

ถึงพวกเราจะทุ่มสุดกําลัง แต่มันก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะออกไปได้ในระยะเวลาสั้นๆ

ผมเห็นสถานการณ์อยู่ในขั้นอันตรายมากๆ จะปล่อยให้ช้ากว่านี้ไม่ได้ เลยหยิบกระดิ่งกุมวิญญาณออกมา เตรียมสยบทาสผีพวกนั้น

ทางเหล่าเฟิงไม่ลังเลเลยสักนิด กลืนยาเม็ดสีดําเข้าไป ประสานมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาทันที “หานเจ่วเฟิง ออกมาเดี๋ยวนี้ !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset