ศพ – ตอนที่ 418 ทลายประตู

ตอนที่ 418 ทลายประตู

ตอนนี้ ได้แต่ใช้ความสามารถของตัวเองเท่านั้น

เสียงของเหล่าเฟิงเพิ่งเงียบลง ร่างสีขาวของใครบางคน ก็โผล่ออกมาจากหัวเหล่าเฟิง

ต่อจากนั้นเสียงพี่เฟิงก็ดังตามมาติดๆ “ไอ้ขยะ แกจะไม่ให้ฉันได้บําเพ็ญบางหรือไงฮะ ? ก่อ เรื่องให้ฉันต้องออกมาได้เกือบทุกวัน”

พี่เฟิงค่อนข้างไม่พอใจ แต่ก็ออกมาปรากฏตัวทันที

ในเวลาเดียวกัน ผมก็เอากระดิ่งออกมาแล้ว ยื่นไปทางพวกทาสผีตรงหน้า แล้วเริ่มสั่นกระดิ่ง ทันที

“กริ้งกริ้งกริ้ง” เสียงกระดิ่งดังขึ้น แม้ผมจะพยายามเขย่าไปทางเดียวแล้ว

แต่เสียงกระดิ่งก็ดังก้อง ทําให้พี่เฟิงที่เพิ่งปรากฏตัวออกมารู้สึกอารมณ์เสียอยู่บ้าง หรือแม้แต่เริ่มปวดหัวเล็กน้อย

แต่โชคดีที่พี่เฟิงมีพลังสูง บวกกับผมพยายามเลี่ยงไม่ให้โดนพี่เฟิง ดังนั้นพี่เฟิงเลยยังทนอยู่ ได้

แต่ทาสผีอีกหกตน กลับทนไม่ไหวแล้ว

เสียงกระดิ่งนี้ ทําให้สีหน้าของทาสผีทั้งหกเปลี่ยนไปทันที พวกมันเผยสีหน้าเจ็บปวดทรมานออกมา

มือทั้งสองข้างปิดหูตามสัญชาตญาณ ขณะเดียวกันก็กรีดร้องออกมา “อ้า ! อ้า……”

พวกผีทั้งหกโดนเสียงกระดิ่งของผมสยบเอาไว้ เหลือเพียงสาวกอีกสามคน แล้วพวกเขาจะยังสู้กับพวกเราต่อได้ยังไง

เหล่าเพิ่งและพี่เฟิงโจมตีทางด้านซ้าย ฉียเฉิงจังและจิ้งจอกน้อยโจมตีทางด้านขวา

มือผมถือกระดิ่งไว้ข้างหนึ่ง อีกข้างถือดาบไม้ โจมตีในส่วนตรงกลาง

โดนกระหน่ําโจมตีจากทั้งสามด้าน ทาสผีพวกนั้นจะสู้กับพวกเราได้ยังไง ภายใต้เสียงสยบของกระดิ่ง

พวกมันไม่มีแรงสู้ด้วยซ้ํา

เพิ่งเข้าปะทะ พวกมันก็โดนพวกเราฆ่าตายในดาบเดียวแล้ว

ส่วนสาวกอีกสามคน ทําหน้าตกใจ เต็มไปด้วยความหวาดกลัว
อย่าพูดถึงเรื่องเลย ตอนนี้พวกเขาคิดจะหนีเอาชีวิตรอดด้วยซ้ํา

แต่ด้านหลังเป็นประตูที่ปิดสนิท พวกเขาเลยได้แต่เอาตัวไปติดกับประตู ยกดาบขึ้น แล้วรอคอยความช่วยเหลือเท่านั้น

แต่พวกเราไม่ได้คิดจะให้โอกาสนี้กับพวกเขา จิ้งจอกน้อยเลือดร้อนที่สุด เธอออกไปลงมือคนแรก

กางกรงเล็บ ปากคํารามเสียงดังลั่น พุ่งเข้าไปราวกับปีศาจร้าย

กรงเล็บที่แหลมคมพวกนั้นเหมือนกับดาบไม่มีผิด ไม่รอให้ใครคนคนนั้นตั้งตัวได้ทัน กรงเล็บก็ตวัดไปที่คอของอีกฝ่ายแล้ว

“อ้า” เสียงกรีดร้องดังขึ้น เลือดสดๆไหลนอง ย้อมเสื้อจนกลายเป็นสีแดงฉาน แผลเหวอะอันน่าตกใจปรากฎที่คอของเขา

หลังจากกรีดร้องออกมาแล้ว เลือดก็ทะลักเข้าไปในหลอดลมของเขา มันไหลพุ่งออกมาทางจมูกและปากของเขาทันที

แต่ยังไม่รอให้เขาได้ล่ลักเสร็จ นุ่ยเฉิงจิงก็เข้ามาอยู่ในระยะสังหารแล้ว ยัยนี่ดูเหมือนกับสาวน้อยสวยใส

แต่แท้ที่จริงแล้วเธอก็เป็นหนึ่งในคนที่เจนโลก

สําหรับผู้ร้าย หมอผีโฉดพวกนั้น เธอไม่ปรานีและรู้สึกผิดเลยสักนิด

กวัดแกว่งดาบเข้าไป จะฆ่าลูกเดียว วินาทีนั้นเจ้าสาวกคนนั้นก็ตายคามือเธอทันที

เมื่อหันไปมองอีกทางด้านหนึ่ง เหล่าเฟิงและพี่เฟิงโจมตีพร้อมกัน

เดิมที่ทั้งสองคนก็คือพี่น้องท้องเดียวกัน แม้พี่เฟิงจะดูไม่ชอบขี้หน้าเหล่าเฟิง แต่พอทั้งสองค นร่วมมือกันมันกลับดูเข้ากันได้แบบไม่น่าเป็นไปได้

บวกกับสาวกที่พวกเขาสู้ด้วย ได้ตกใจจนขาอ่อนไปนานแล้ว แล้วตอนนี้เขายังจะมีแรงสู้อีกเหรอ

ผลลัพธ์เพิ่งสู้กันแค่กระบวนท่าเดียว เขาก็ตายเพราะความแข็งแกร่งของพี่เฟิงแล้ว

สําหรับสาวกที่อยู่ตรงกลาง ผมไม่ให้โอกาสเขาแม้แต่น้อย

พุ่งไปโจมตีใส่เขา ด้วยเพลงดาบที่ได้เรียนมาจากมู่หลงเหยียนทันที

ด้วยเล่ห์เหลี่ยมที่แพรพราว และการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว

เจ้าสาวกนั่นเลยได้แต่ยกดาบขึ้นมากัน แต่น่าเสียดายในขณะที่ความกลัวเข้าครอบง่าความ เร็วในการเคลื่อนไหวของเขาลดลงอย่างมาก

เขารู้สึกเพียงเจ็บที่หัวใจ เพราะดาบของผมแทงเข้าไปในหน้าอกของเขาแล้ว

ผมไม่มีอารมณ์ชื่นชมสายตาที่หดหูของเขา ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่มีอารมณ์ไปสงสารร่างไร้ลมหายใจของสาวกพวกนั้น

สําหรับผม หากฆ่าสาวกพวกนี้ไปหนึ่งคน ก็ถือว่าคนชั่วลดลงไปอีกหนึ่ง

ตอนนี้ พวกเรากําจัดสาวกและทาสผีที่เฝ้าประตูไปหมดแล้ว ไม่มีใครขวางทางเราต่อไปแล้ว

ต่อจากนั้น พวกเราทุกคนก็คว้าประตูบานนั้นอย่างรวดเร็ว

ประตูบ้านนั้นทําจากไม้ ด้านนอกหุ้มด้วยเหล็กชั้นหนึ่ง ด้านบนมีหน้าผีสามตาเป็นสัญญาลักษณ์

ผมและเหล่าเฟิงเก็บดาบ รีบเปิดประตูทันที

แต่ทันใดนั้นพวกเราก็พบว่าประตูนหนักมาก และการออกแบบก็เป็นอะไรที่แปลกมาก ถ้าไม่จับประตูไว้ มันก็จะปิดเองโดยอัตโนมัติ

เราต้องใช้แรงมหาศาลในการเปิด และต้องคอยจับมันเอาไว้ตลอด

แต่ตอนนี้การเอาชีวิตรอดเป็นเรื่องสําคัญที่สุด ผมเลยกัดฟันพยายามเปิดประตูอย่างสุดกําลัง

“ไป !” ผมพูดเสียงดังลั่น

จิ้งจอกน้อย นุ่ยเฉิงจัง และคนอื่นๆเห็นพวกเราเปิดประตูได้แล้ว เลยไม่ลังเลแต่อย่างใด

ร่างกายดุจคันศร พุ่งออกไปทันที

พี่เฟิงเองก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกันผมก็ส่งสัญญาณให้เหล่าเพิ่งออกไป

เหล่าเฟิงไม่ได้มัวเป็นห่วงผม เขาปล่อยมือแล้วรีบออกไปทันที

เหล่าเฟิงเพิ่งปล่อยมือ ผมก็เริ่มดันเอาไว้ไม่อยู่ แรงบีบกลับของประตูบานนี้ ทําให้ผมต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี

ขณะดันประตูไว้ เส้นเลือดสีเขียวเข้มบนคอก็ปดออกมาอย่างเห็นได้ชัด

พอเห็นเหล่าเพิ่งออกไปแล้ว ผมเองก็กําลังจะออกไปบ้างเช่นกัน

แต่ในวินาทีนั้นเอง จู่ๆเสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น “ติงฝาน แกทําลายกายเนื้อของฉัน คืนนี้ ฉันจะเอาชีวิตแก !”

เสียงนี้ดังมาก จนก้องไปทั่วทั้งหุบเขา

ผมกวาดตาไปมอง พบว่าเจ้าหมอนั้นคือจางจีเทา

เขาทําหน้าอารมณ์บูด เหมือนอยากจะเลาะกระดูกผมออกมาทั้งตัวแบบนั้น
ตอนนี้เท้าลอยเหนือพื้น กําลังพุ่งเข้ามาแบบเร็วสุดๆ

เมื่อหันไปมองสาวกและทาสผีพวกนั้นอีกครั้ง ตอนนี้พวกเขาอยู่ห่างผมไม่ถึง 100 เมตรแล้ว

ระยะห่างขนาดนี้ สามารถพูดได้ว่าอันตรายมาก

โดยเฉพาะกับทาสผีพวกนั้น ระยะร้อยเมตร แทบจะเรียกว่าไม่ไกลเลยด้วยซ้ํา

เพราะพวกมันลอยตัว ความเร็วเลยเกือบเป็นสองเท่าของพวกเรา

ตอนนี้ผมเองก็ไม่มีอารมณ์อยากพูดมากกับเจ้าจางจีเทา เพียงตะโกนกลับไปสั้นๆ “แม่ถึง ซิ…..”

หลังจากพูดจบ ผมก็พุ่งออกไปทันที

แต่หลังออกไปได้แล้ว ผมไม่ได้วิ่งหนีทันที

แต่หยิบยันต์แผ่นใหญ่ออกมา แล้วแปะไปที่ประตูบานนั้น

ยันต์ไม่ได้ผลกับพวกสาวก แต่มันต้องหยุดทาสผีพวกนั้นได้อย่างแน่นอน

“เหล่าติง นายทําอะไร ? เร็วซิ” เหล่าเพิ่งกระตุ้นผม

“ติงฝาน เร็วหน่อย ไม่ต้องแปะแล้ว !” àยเฉิงจิงเองก็ขมวดคิ้ว

หลังจากผมแปะยันต์ไปห้าแผ่นแล้ว ผมก็ไม่ลังเล รีบวิ่งตามพวกเหล่าเฟิงไปทันที “มาแล้ว !”

ขณะพูด พวกเราก็รีบวิ่งไปข้างหน้า ไม่ได้เข้าไปในพื้นที่ที่หมอกหนาตั้งแต่ที่แรก

เพราะผมแปะยันต์เอาไว้หลายแผ่นแล้ว ทาสผีพวกนั้นไม่มีทางออกมาได้ตั้งแต่วินาทีแรก

อย่างแน่นอน

โดยเฉพาะเจ้าจางจีเทา เขาเพิ่งสัมผัสกับประตู ก็โดนพลังจากยันต์ช็อตเข้าให้แล้ว

ทําอะไรไม่ได้ นอกจากรอให้พวกสาวกที่วิ่งตามมาข้างหลังมาถึงก่อน

เปิดประตูออก จากนั้นก็แกะยันต์ออกให้พวกเขา พวกเขาถึงจะออกมาไล่ล่าพวกเราได้

แต่หลังจากจางจีเทาและพวกทาสผีออกมาได้แล้ว เขาจะยังเห็นเงาของพวกเราได้งั้นเหรอ ด้านนอกมีหมอกหนาทึบ ไม่มีใครมองเห็นพวกเราเลยสักคน

แน่นอน ในฐานะวิญญาณ พวกเขาสามารถใช้การดมกลิ่นได้ รับรู้ถึงพลังที่ร่างกายมนุษย์ของพวกเราปล่อยออกมา จากนั้นถึงจะตามพวกเรามาได้

แต่พวกเราเตรียมการมาแล้ว ทุกคนแปะยันต์ปิดกั้นลมหายใจลงบนตัว

ด้วยเหตุนี้ พอพวกเราออกมาพ้นประตูแล้ว ก็ไม่เห็นร่องรอยของพวกเราอีก

จางเทาโมโหหนักมาก ได้แต่ยืนตะคอกอยู่หน้าประตู จากนั้นก็ให้พวกทหารออกไปตามหาพวกเราทุกทิศทุกทาง

พวกเราวิ่งเข้าไปในหมอกของป่า ได้ยินเสียงตะคอกของจางจีเทา จึงรู้ว่าเจ้าหมอนี่โมโหจนหัวเสียแล้ว

ดังนั้น พวกเราเลยต้องเร่งความเร็ว รีบวิ่งไปทางเล็กๆด้านหลังหุบเขาที่เคยมาเมื่อตอนแรก

ตรงนั้นมีการเฝ้าระวังที่เปราะบางที่สุด

ขอแค่พวกเราไปถึงทางนั้นได้ ลงไปจากหน้าผาแล้ว เราก็จะมีโอกาสหนีเอาชีวิตรอดได้มากที่สุด

แต่สุดท้ายแล้วพวกเราก็เป็นคน ผลลัพธ์เพิ่งวิ่งไปได้แค่สิบนาที พวกทหารก็ไล่ตามมาแล้ว

จิ้งจอกน้อยมีประสาทสัมผัสไวที่สุด เธอรับรู้ว่าข้างหลังมีบางอย่างผิดปกติได้ทันที “ ทุกคนระวังตัว

พวกมันไล่ตามมาแล้ว รีบหาที่ซ่อนเร็วเข้า !”

เสียงของจิ้งจอกน้อยเพิ่งเงียบลง ผมก็รับรู้ได้ลางๆว่าข้างหลังมีพลังหยินจางๆปรากฏขึ้น

มันชัดเจน นี่คือทาสผีเขี้ยวเล็บขององค์กรตาผี

“แม่งเอ้ย มาเร็วจริงๆ……” ผมบ่นพึมพ่า

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง นุ่ยเฉิงจึงกลับขมวดคิ้ว แล้วมองไปรอบๆ “ แถวนี้โล่งจะตาย แม้แต่พุ่มไม้ก็ไม่มี

แล้วเราจะไปซ่อนที่ไหนได้ ?”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset