ศพ – ตอนที่ 42 ผีสาวกับอารอง

เมื่อผมเห็นคุณเหวินเสียใจ ผมก็อดไม่ได้ที่จะ รู้สึกแปลกๆ

และไม่อยากโกหกพวกเขา จึงพูดกับคุณเหวินว่า “คุณเหวิน คุณหนูเหวินก็อยู่ในห้องนี้ และอยู่ที่หน้าอกของคุณครับ!”

เมื่อคุณเหวินได้ยินคำพูดนี้ เขาถึงกับตัวสั่น เผยใบหน้าประหลาดใจ ค่อยๆก้มมอง

แม้แต่คุณนายเหวินเอง ก็รีบลุกขึ้น และตะโกนทันที “เยี่ยนเยี่ยน เยี่ยนเยี่ยน!”

หลังจากคุณเหวินตกตะลึง เขาก็ตะโกนเรียกคุณหนูเหวินเช่นกัน

คุณหนูเหวินเองก็ตอบรับอย่างไม่ขาดสาย แต่คุณเหวินและภรรยาไม่ได้ยินเสียงเธอก็เท่านั้น

 

สุดท้ายผมก็ได้ยินคุณนายเหวินพูดว่า “ท่านนักพรตติง พวกเรามองไม่เห็นเยี่ยนเยี่ยน คุณช่วยพวกเราด้วย ให้เยี่ยนเยี่ยนปรากฎตัวหน่อยนะคะ! ต้องการเงินเท่าไหร่ก็ได้ ขอให้พวกเราได้เห็นเยี่ยนเยี่ยนเถอะนะ พวก พวกเราจะยกบ้านในเมืองให้คุณ แล้วก็เงินสดอีกสามล้าน! หรือ หรือคุณจะขอเพิ่มอีกก็ได้!”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ใจผมก็เต้นแรงทันที

คฤหาสน์ในเมือง ก็คือราคาบ้านที่พวกเราอยู่ มันมีมูลค่าถึงหลายล้าน แล้วยังมีเงินสดอีกหลายล้าน

ผมโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยเห็นเงินเยอะขนาดนั้นเลย

แต่ว่า เมื่อทำงานนี้ ก็ต้องมีข้อห้ามอยู่บ้าง

ผมได้แต่กลืนน้ำลาย สุดท้ายก็ปฏิเสธข้อเสนอของพวกเขา

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะเปลี่ยนแปลงได้ ผมเองก็ไม่มีวิธีเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กล้าทำลายกฎด้วย

เมื่อคุณเหวินและภรรยาเห็นผมปฏิเสธ ก็รีบวิ่งไปหาเฟิงเฉ่วหานที่กำลังยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างๆ

แต่เฟิงเฉ่วหานยิ่งพูดจาไม่ถนอมน้ำใจ เขาตอบกลับมาทันที “ไม่ได้” จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีกเลย

ผมเห็นสองสามีภรรยาทุ้มเททั้งกายและใจ จึงพูดกับพวกเขาว่า “พวกคุณมีอะไรจะพูด ก็พูดกับคุณหนูเหวินที่นี่ได้เลย! เธอได้ยินพวกคุณทั้งหมด แม้ว่าพวกคุณจะมองไม่เห็นเธอ แต่เธอมองเห็นพวกคุณนะครับ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรดี จึงเดินไปทางที่เฟิงเฉ่วหานยืนอยู่

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมเดินเข้ามา ก็ยื่นบุหรี่ให้กับผม และพูดออกมาเบาๆ “ทำงานแบบพวกเรา การเมตตาผู้คนไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปนะ!”

 

ผมยิ้มอย่างลำบากใจ แต่ก็ไม่พูดอะไรออกมา

ตอนนี้คุณเหวินและภรรยากำลังมองไปในห้องโถงที่ว่างป่าว พูดคุยกับคุณหนูเหวินฝ่ายเดียวอย่างไม่หยุดหย่อน

ตอนแรกมันก็ดีอยู่ แต่หลังจากนั้นพวกเราก็ทนดูต่อไปไม่ได้ ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงเดินออกไปข้างนอก

หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง อาจารย์และนักพรตตู๋ก็เดินเข้ามา บอกสถานการณ์ตอนนี้ให้คนทั้งสองฟัง จากนั้นพวกเราก็ได้กลับมาพัก

เมื่อเวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็น ผมและเฟิงเฉ่วหานก็กลับมาที่งานศพอีกครั้ง

 

พวกเราไม่รู้ว่าอาจารย์และนักพรตตู๋พูดอะไรกับคุณเหวินและภรรยา แต่เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนดีขึ้นมาก ไม่เสียใจเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ทั้งสองคนอยู่ในงานศพจนถึงเวลาสี่ทุ่ม จากนั้นก็กลับไปพักผ่อน

ตอนนี้ในห้องโถง จึงเหลือเพียงพวกเราไม่กี่คน

แต่ว่าคืนนี้ทุกคนไม่คิดจะอยู่เฝ้าศพ แต่จะส่งคุณหนูเหวินไปล้างแค้น

ในเวลาเดียวกันพวกเรายังอยากถามอารองของคุณหนูเหวิน ว่าจริงๆแล้วเขาเชิญใครมา หรือผีแบบไหน

เพราะการทำแบบนี้ จะทำให้พวกเราหาตัวผีชั่วที่หนีไปเมื่อคืนได้เร็วที่สุด เพื่อทวงคืนความยุติธรรม และหยุดไม่ให้ผีชั่วไปก่อเรื่องได้อีก

 

หลังจากรอบๆไม่มีคน ทุกคนก็เริ่มเก็บข้าวของและออกเดินทางทันที

อารองและครอบครัวของคุณหนูเหวิน อาศัยอยู่ในพื้นที่เล็กๆ บ้านของเขาอยู่ใกล้กับที่นี่มากๆ

ดังนั้นหลังจากที่พวกเราออกจากเขตวิลล่า โดยการนำของคุณหนูเหวิน ใช้เวลาไม่นานพวกเราก็เดินทางมาถึงบ้านของอารอง

“ท่านนักพรต อารองของฉันอยู่ที่นี่ค่ะ!” ตอนพูด คุณหนูเหวินยังแสดงสีหน้าโมโหออกมา

อาจารย์พยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร

ส่วนนักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆกลับดึงเศษเหล็กแหลมออกมาสองอัน จากนั้นก็สอดเข้าไปที่รูกุญแจ “แกร๊กแกร๊ก” ทันใดนั้นประตูเหล็กด้านนอกคฤหาสน์ก็เปิดออก

 

เมื่อเดินเข้าไปข้างใน พวกเราก็พบกับสวนดอกไม้

หลังจากเดินมาถึงประตูคฤหาสน์ นักพรตตู๋ก็ใช้วิธีเดิมในการเปิดประตู

จากนั้นทั้งห้าคน ก็เข้าไปในบ้าน และเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสองทันที

ทันใดนั้น พวกเราก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิคักของชายหญิงที่กำลังจีบกันดังออกมาจากในห้อง

“ตาบ้า คุณทำฉันเจ็บแล้วนะคะ……”

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ็บเหรอจ๊ะ อีกเดี๋ยวจะเจ็บยิ่งกว่านี้อีกนะคะคนดี!”

“แบบนั้นต้องเพิ่มเงินนะคะ คิคิคิ……”

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว

 

จิตใจของตาแก่นี้ไม่เลวจริงๆ เวลาดึกดื่นเที่ยงคืน ยังทำเรื่องอย่างว่าอยู่อีก

แต่พวกเราขี้เกียจรอนาน จึงเดินตามเสียงไปและเจอห้องหนึ่งที่กำลังเปิดไฟอยู่พอดี

เมื่อมาถึงที่นี่ เฟิงเฉ่วหานไม่พูดอะไร “ปัง” ใช้เท้า ถีบไปที่ประตูทันที

เมื่อประตูเปิดออก พวกเราบางคนก็พุ่งเข้าไป

พึ่งเข้ามาเท่านั้น พวกเราก็เห็นคนสองคนกำลังเร้าโรมกัน ฉากนั้นเป็นฉากที่ทั้งสองคนกำลังเมามันกันสุดๆ

หนึ่งในนั้น ก็คือเหวินจ้งอารองของคุณหนูเหวินนั้นเอง

เขาเป็นชายวัยกลางคนที่หัวล้าน หัวโตหูใหญ่ อ้วนเหมือนกับหมูไม่มีผิด ทั้งหน้าอก ท้อง และเท้าต่างมีผิวคล้ำดำมาก แค่มองจากภายนอกก็ดูน่าขยะแขยงมากแล้ว

 

แต่ผู้หญิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขา กลับเป็นวัยรุ่นที่งดงาม เป็นสาวสวยตัวเล็กๆน่ารักน่าถนุถนอม

ทุกคนไม่มีเวลาสนใจมองภาพหญิงงามและสัตว์ร้ายอยู่ด้วยกัน ต่างมองด้วยสีหน้าดำมืด ดูท่าทางไม่สบอารมณ์

เมื่อทั้งสองคนเห็นพวกเราเข้ามาอย่างไม่มีปี้มีขลุ่ย พวกเขาก็ตกใจ

“อร๊าย…” ผู้หญิงคนนั้นกรีดออกมาและรีบหลบเข้าไปอยู่ในผ้าห่มทันที

เหวินจ้งเองก็ตื่นตกใจ “พวก พวกแกเป็นใคร ทำไม ทำไมถึงมาอยู่ในบ้านของฉัน”

ตอนที่เขาพูด เหวินจ้งยังรีบดึงกางเกงในมา ใส่ทันที

ทุกคนต่างกลอกตาใส่เหวินจ้ง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงนักพรตตู๋พูดกับผู้หญิงที่อยู่ในผ้าห่มว่า “ใส่เสื้อผ้าของเธอให้เรียบร้อย และรีบออกไปจากที่นี่!”

 

ผู้หญิงคนนั้นตกใจจนเสียสติ เดิมทีเธอมาเพื่อขายตัว แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ตรงหน้า ความกลัวก็ครอบงำจิตใจของเธอ รีบหยิบเสื้อผ้าของตัวเองและวิ่งออกไปข้างนอกทันที แม้แต่รองเท้ายังไม่ใส่ไปด้วย……

เหวินจ้งใส่กางเกงเรียบร้อยแล้ว และทำจิตใจให้สงบ

เขาเป็นถึงคนดังในแวดวงธุรกิจ ดังนั้นจะต้องมีสภาพจิตใจที่ยอดเยี่ยม

หลังจากได้สติคืนมา เขาก็นั่งอยู่ข้างๆเตียง หยิบซิการ์ที่หัวเตียงขึ้นมาสูบ “พวกแกคงเป็นคนที่เมียฉันส่งมาละซิ! บอกราคามา และลบรูปที่ถ่ายไว้ซะ ต่อไปก็มาทำงานให้ฉันแทน……”

หลังจากพูดจบ เขาก็เปิดลิ้นชัก หยิบเงินสดออกมา

 

“นี่เป็นเงินเล็กๆน้อยๆ! พวกแกรับไว้ก่อน วันนี้คงเหนื่อยกันมามากแล้ว เอาไปดื่มเบียร์กันให้สนุกนะ”

เหวินจ้งพูดด้วยน้ำเสียงลากยาว

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็อดหัวเราะในใจอย่างชั่วร้ายไม่ได้

เจ้านี้เห็นพวกเราเป็นนักสืบ และยังอยากซื้อตัวพวกเราด้วย ช่างน่าขำจริงๆ

จู่ๆอาจารย์ที่อยู่ข้างหน้าก็หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น “เหวินจ้ง ใกล้จะตายแล้ว ยังไม่รู้จักกลับใจอีกนะ!”

เหวินจ้งตกตะลึง “ใกล้ตายงั้นเหรอ ถึงพวกแกจะจับได้ว่าฉันคบชู้แล้วยังไงละ อย่างมากก็แค่ใช้เงินนิดหน่อยยัดหัวยัยนั้น ถ้าไม่อยากไว้หน้าก็ไม่ต้องไว้ นอกจากวันนี้จะฆ่าฉัน ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้ฉันจะหาคนไปฆ่าพวกแก……”

 

เสียงพึ่งตกลง จู่ๆที่หน้าประตูก็ปรากฎเสียงของคุณหนูเหวิน “อารอง คุณอยากฆ่าใครนะ”

ในเวลาเดียวกัน ร่างของคุณหนูเหวินก็ปรากฎขึ้นที่หน้าประตู

สวมใส่ชุดสีขาว ผมดำยาวปลิวไสว เธอค่อยๆก้มหน้าลง เผยรอยยิ้มที่น่าสยดสยองจ้องมองมาที่เหวินจ้ง

เดิมทีเหวินจ้งเป็นคนนิสัยก้าวร้าว เมื่อจู่ๆได้เห็นคุณหนูเหวิน ทันใดนั้นเขาก็กรีดร้องออกมาทันที

ซิการ์ที่อยู่ในมือ “บึก” ตกลงพื้นทันที

ไม่เพียงแค่นี้ ในแววตาของเขา ยังมีคำเขียนไว้ว่ากลัวและเครียด

“เยี่ยน เยี่ยนเยี่ยน!” เวลาผ่านไปสองสามวินาที เหวินจ้งถึงได้สติคืนมา

 

“อารอง ฉันตายไปหลายวันแล้ว แต่คุณยังดูสบายดีอยู่นะ” คุณหนูเหวินพูดพร้อมแสดงรอยยิ้มที่เย็นชา

จนถึงตอนนี้ สติของเหวินจ้งถึงกลับมาได้อย่างสมบูรณ์

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็สั่นกลัว แสดงท่าทางหวาดกลัว จากนั้นก็ชี้มาทางพวกเรา “พวก พวก พวกแกไม่ใช่นักสืบที่เมียฉันส่งมา พวกแก พวกแกเป็นคนที่อยู่ในงานศพ นัก นักพรต……”

“ถูกต้อง คืนนี้ฉันจะมาเอาชีวิตแก! เพื่อให้เหวินเยี่ยนได้แก้แค้น” จู่ๆอาจารย์ก็ตะโกนออกมา ด้วยคำพูดข่มขู่

เจ้าเหวินจ้งคนนี้ได้ทำเรื่องเลวทรามเอาไว้ เมื่อเห็นวิญญาณของคุณหนูเหวินปรากฎตัว

และยังถูกอาจารย์ตะโกนใส่ เขาก็หวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ตอนนี้เขากลัวจนหน้าซีด หายใจไม่สม่ำเสมอ เหงื่อเย็นไหลออกมาจนทั่วร่าง

ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็อ่อนแรงอย่างเฉียบพลัน “บึก” ร่างอันอวบอ้วนก็ล้มลงไปกับพื้นทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset