ศพ – ตอนที่ 428 นางพญาจิ้งจอกมาเยือน

ตอนที่ 428 นางพญาจิ้งจอกมาเยือน

จฯในหัวก็มีเสียงนางพญาจิ้งจอกดังขึ้น ผมเลยกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

รีบตอบกลับเสียงนั้นทันที “เพิ่งหมู่ ศิษย์กําลังล่าบาก ขอเซิงหมู่โปรดช่วยด้วยสาวกกับบริวารองค์กรตาผีพวกนั้นต่อกรด้วยยากมาก”

ตอนนี้ ผมไม่ได้พูดด้วยปาก แต่เป็นการคิดในใจแทน

และสิ่งที่ผมพูด ก็มีแค่นางพญาที่อยู่ในร่างผมเท่านั้นที่ได้ยิน

หลังจากพูดแบบนั้นออกมา นางพญาก็กวาดสายตามองรอบๆ แล้วพูดขึ้นมาอีกครั้ง “จินถง วางใจในเมื่อข้ามาแล้วก็ต้องพาพวกเจ้าออกไปอย่างปลอดภัยแน่นอน”

เสียงเพิ่งเงียบลง นางพญาก็ตัวสั่น ปลดปล่อยพลังปีศาจที่เข้มข้นออกมาทันที

และเป้าหมายของนางพญาก็ชัดเจนมาก เธอพุ่งไปทางชุ่ยซานหยวนและยังมียัยป้าคนสวยด้วย

ท่านเลี่ยฮัวเองก็ร้ายกาจมาก ถึงจะมาในร่างวิญญาณ แต่ก็สามารถกดดันทั้งสองคนที่เป็นร่างจริงได้

จะเห็นว่าท่านเลี่ยฮั่วร้ายกาจขนาดไหน พลังของเขาสูงจนถึงระดับไหนแล้ว

ผมจําได้ว่าเมื่อก่อนมู่หลงเหยียนเคยบอกเอาไว้อย่างชัดเจน ถึงจะเป็นเธอเธอก็ไม่สามารถสู้แบบหนึ่งต่อสองได้จะเห็นได้ว่าหมอผีสองคนนี้แข็งแกร่งถึงขนาดไหน

แต่ตอนนี้ ท่านเลี้ยยั่วกลับใช้เพียงร่างวิญญาณก็ทําไปถึงขั้นที่เธอทําไม่ได้แล้ว

ถึงจะเป็นแบบ 50:50 แต่ถ้าท่านเดี่ยวมาในร่างจริง หมอผีทั้งสองคนนี้คงตายไปหลายรอบแล้ว

แน่นอน ผมรู้อยู่แล้ว ก่ยซานหยวนและป้าคนสวยบาดเจ็บหนัก หลังจากปะทะกับท่านนักพรตฉินและ

ท่านหลงฉวน ตอนนี้พวกมันไม่อาจใช้พลังได้เหมือนปกติ

ในขณะที่ทั้งสามคนกําลังสู้กัน ไม่อาจแยกแยะได้ว่าใครจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะ นางพญาก็ควบคุมร่างของผมเข้ามาในรัศมีสังหาร

เธอกระโดดลอยตัว และคํารามออกมาหนึ่งครั้ง

จากนั้น ก็ตวัดฝ่ามือไปทางชุ่ยซานหยวนทันที

มันมาพร้อมกับพลังปีศาจที่มหาศาล ปุยซานหยวนตกใจ รีบเลี้ยงตัวหลบทันที

“ตูม” พลังปีศาจกระแทกเขากับพื้น ส่งเสียงระเบิดออกมาทันที

ขณะนั้นเองที่นางพญา ควบคุมร่างผมให้ล่วงลงตรงข้างๆท่านเลี่ยฮั่ว

พอเห็นแบบนั้น ผมก็กําลังจะแนะนําให้นางพญารู้จัก

จะบอกว่าท่านเลี่ยฮั่วเป็นอาจารย์ของเพื่อนผม ไม่อย่างนั้นนางพญาอาจเข้าใจผิดแล้วโจมตีใส่พวกเดียวกันได้

แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา ท่านเลี้ยยั่วกลับหันมามองผม แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ “น้องซีไม่ได้เจอกันนานนะ”

เสียงของท่านเลี่ยฮั่วฟังดูน่าหลงไหล และผ่อนคลายมาก

ส่วนนางพญา กลับควบคุมร่างผม เผยรอยยิ้มจิ้งจอกที่แสนยั่วยวนออกมา “พี่เลี่ยกว่าง”

จู่ๆก็ได้ยินค่าพูดนี้ ผมเลยใจเต้นขึ้นมาหน่อยๆ

ดีจริงๆ ดูเหมือนผมจะคิดมากไปเองซินะ

ที่แท้พวกเขาก็รู้จักกันนานแล้ว แถม แถมเมื่อกี้นางพญายังเรียกเขาว่าอะไรนะ“พี่”งั้นเหรอ

แม่เจ้า ! นี่มันเรื่องอะไรกัน

นางพญาจิ้งจอกเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทไหน นางเป็นถึงนางพญาแห่งเผ่าจิ้งจอกคงมีอายุอยู่มาเป็นพันๆปีแล้ว

และก่อนหน้านี้ก่ยซานหยวนก็พูดว่า นางพญาเป็นถึงจิ้งจอกเก้าหางแล้ว ถือเป็นหนึ่งในปีศาจจิ้งจอก

อยู่ห่วงโซขั้นสูงสุด

แต่ตอนนี้เธอกลับเรียกนักพรตคนนึงว่า “พี่”

หรือจะมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้งั้นเหรอ

ไม่ว่ายังไงหากยึดตามอายุ นักพรตตรงหน้า น่าจะไม่ได้แก่เท่านางพญาจิ้งจอก

เนื่องจากเป็นปีศาจที่บําเพ็ญจนบรรลุแล้ว และสามารถดํารงชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้ ยังไงก็ต้องมีอายอย่างน้อย 300-500 ปี ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้คิดถึงเรื่องนี้เลย

แต่หลังจากพูดคําพวกนี้ออกมาเสร็จ ทั้งสองคนก็ไม่คุยกันอีก แต่เริ่มลงมือกับพวกปุยซาน

หยวนแทน

นางพญาจิ้งจอกร่วมมือกับท่านเลี่ยชั่ว ก่ยซานหยวนและป้าคนสวยจะสู้ได้งั้นเหรอ

ผลลัพธ์เพิ่งปะทะกัน พวกเขาก็โดนจู่โจมจนต้องถอยหนี

ป้าคนสวยและปุยซานหยวนโดนกดดันอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างถอยหลังไปเรื่อยๆขณะเดียวกันก็เรียกพวกบริวารมารับการโจมตีแทนอย่างต่อเนื่อง

ในที่สุดฝ่ามือของนางพญาจิ้งจอก ก็โดนตรงหัวใจของกุยซานหยวน

กุยซานหยวนตัวสั่น “ปัง” ทันใดนั้นร่างของเขาก็ระเบิดออกทันที

หากเปลี่ยนเป็นผีเร่ร่อนตนอื่น คงวิญญาณแตกสลายไปแล้ว

แต่เจ้าหมอผีก่ยซานหยวนค่อนข้างพิเศษหน่อย เพราะสาเหตุบางอย่าง เจ้าหมอนเลยกลายเป็นตัวประหลาด“ฆ่าไม่ตาย”

คราวนี้ยังเหมือนครั้งที่แล้ว ถึงจะร่างกายแตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว แสงพวกนั้นก็กลับมารวมตัวกันอย่างรวดเร็วในที่หนึ่งต่อจากนั้นก่ยซานหยวนก็ปรากฏสู่สายตาของทุกคนอีกครั้ง

ป้าคนสวยเห็นว่าสู้ไม่ได้ เลยหมุนตัวเริ่มวิ่ง ขณะเดียวกันก็เรียกพวกทาสผีให้มาเป็นตัวกันเอาไว้

กุยซานหยวนยืนอยู่ในที่ห่างไกล เขาจองพวกเราอย่างเย็นชา “ ดีนักนะเผ่าจิ้งจอกอีกตัวก็สํานักเหมาชาน

คิดเป็นศัตรูกับพวกเราองค์กรตาผี ไม่ช้าก็เร็วเดี๋ยวพวกแกก็ต้องโดนกําจัด
“ฮ! โอหังถ้าตอนนั้นแกไม่หนีห่างจุกตูด แกก็ตายคาดาบข้าไปนานแล้ว” ท่านเลี้ยยั่วพูดอย่างเย็นชา

หลังจากพูดจบ ท่านเลี่ยฮั่วก็จะโจมตีอีกครั้ง

แต่ทันใดนั้นเองก่ยซานหยวนกลับประสานมืออย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้น ธงดําสองผืนก็ปรากฎขึ้นเหนือหัวเขา

พอเห็นธงสองผืนนี้ ผมก็ทําหน้าตกใจทันที

ธงหว่างเหลี่ยงเอ้อร์ ธงสองผืนนี้อีกแล้วครั้งก่อนเจ้าหมอนี่ ก็ใช้ธงพวกนี้หนีไป

เดิมที่ผมคิดจะเอ่ยปากเตือนนางพญาจิ้งจอก แต่พอนางพญาจิ้งจอกและท่านเลี่ยฮั่วเห็นธงสองผืนนี้แล้ว

แต่ละคนก็ทําหน้าตะลึงอดไม่ได้ที่สูดหายใจเข้าลึกๆ

ในเวลาเดียวกัน พวกเขาสองคนก็เหมือนกับท่านนักพรตฉินและท่านหลงฉวนต่างเผยสายตาไม่อยากเชื่อออกมา

ขณะเดียวกันก็พูดออกมาพร้อมกันด้วยน้ําเสียงประหลาดใจ “ธงหว่างเหลี่ยงเอ้อร์”

ขณะพูดคํานี้ นางพญาและท่านเลี่ยฮั่วต่างดูตกใจมาก

ท่านเลี้ยวรีบถามต่อทันที “ปุยซานหยวน ทําไมแกมีธงหว่างเหลี่ยงเอ๋อร์ได้ ธงสองผืนนี้ไม่ได้ถูกทําลายไปแล้วเหรอ ?”

“ฮ่าๆๆ ! ของล้ําค่าแบบนั้น จะโดนทําลายได้ง่ายๆงั้นเหรอ ? ขอโทษทีนะ ข้าไม่เล่นกับพวกแกแล้ว”

หลังจากพูดจบ ร่างของปุยซานหยวนก็กลายเป็นหมอกดํา แล้วลอยเข้าไปในธงดําสองผืนนั้นทันทีต่อจากนั้นธงทั้งสองผืนก็ลอยขึ้นไปบนฟ้า มันกําลังจะหนีไปแล้ว

“คิดหนี !” ท่านเลี่ยฮั่วตะโกน

ทันใดนั้นเขาก็ยิงพลังออกจากฝ่ามือ

ธงสองผืนยังไม่ทันลอยเข้าสู่ความมืด มันก็หายไปจากสายตาทุกคนในชั่วพริบตา

ธงสองผืนนั้นเพิ่งหายไป เสียงคํารามของบางอย่างก็ดังมาจากที่ไกลๆ

พอหันไปมอง เราก็พบว่ามีทาสผีและพวกซากศพจํานวนมหาศาลอยู่ทางนั้น

ในนั้น ยังมีผีดิบ หรือแม้ตีผีร้ายชุดแดงอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีแม้กระทั่งผีดิบที่ปล่อยคลื่นพลังสีแดงเข้มออกมาอีกด้วย

ชุดแดง ผิวแดง นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว หากเข้าไปบวกด้วย ผลที่ตามมาต้องเป็นหายนะแน่ๆ

พอเห็นสิ่งนี้ นางพญาก็รีบพูดขึ้นมาทันที “พี่เลี่ยกว่าง พี่กับฉันไม่ได้มาด้วยร่างจริง พวกเราคุ้มครองเด็กๆออกไปก่อนเถอะ ที่นี่อยู่นานไม่ได้”

เสียงของนางพญาเพิ่งเงียบลง ท่านเลี่ยฮัวก็พยักหน้ารับทันที “อ๋อ !”

หลังจากพูดจบ นางพญาและท่านเลี่ยชั่วก็หมุนตัว กลับมาหาเสี่ยวเหมยและนุ่ยเฉิงจังที่นอนสลบอยู่บนพื้น

และในเวลาเดียวกัน มู่หลงเหยียน หวางเป่าเฉิง เทิงหนิวและคนอื่นๆ ก็ฆ่าพวกทาสผีที่ลยเข้ามาขณะเดียวกันก็พาเหล่าเฟิงและพี่เพิ่งกลับมาด้วย

แต่พี่เฟิงบาดเจ็บสาหัส เลยกลับเข้าไปอยู่ในตัวเหล่าเฟิงแล้ว

เหล่าเฟิงเองก็อ่อนแรง เวลาเดินต้องให้คนประคอง

พอมู่หลงเหยียนเห็นนางพญาจิ้งจอกในร่างผม เธอก็ดูตื่นเต้นพอสมควรรีบพูดขึ้นมาทันที

“เซียนจิ้งจอก….”

นางพญาคลี่ยิ้มเล็กน้อย แล้วเอื้อมมือลูบหัวมู่หลงเหยียน “ พอก่อน ที่นี่อันตรายเกินไปรีบออกไปเถอะ

ถ้าช้ากว่านี้เราจะออกไปได้ยาก !”

พอม่หลงเหยียนได้ยินแบบนั้น ก็รีบพยักหน้ารับ จากนั้นก็ให้พวกหวางเป่าเฉิงอุ้มนุ่ยเฉิงจึงจึงจอกน้อยและคนอื่นๆ

ส่วนผม รีบเล่าเรื่องทางหลังเขาให้นางพญาฟังทันที

นางพญาไม่ลังเลเลยสักนิด รีบพาทุกคนไปยังทางหลังเขาทันที

เพราะพวกเรามีพลังรบสูงมาก แม้แต่ปุยซานหยวนและป้าคนสวยก็ยังไม่กล้าแตะได้แต่ส่งพวกทาสผีและบริวารตัวอื่นๆมาหยุดเราแทน

บวกกับก่อนหน้านี้ มีแต่พวกทาสผีระดับต่ําๆ

ดังนั้น ระหว่างทางเลยไม่มีใครหยุดพวกเราได้เลยสักคน

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงทางหลังเขา

นางพญาจิ้งจอกอยู่ในร่างผมนานไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะกินอายุขัยของผม

ดังนั้นเธอเลยบอกลาทุกคน จากนั้นก็ออกไปทันที

ส่วนตัวผมได้มู่หลงเหยียนช่วยประคอง จากนั้นเราก็เดินทางไปข้างหน้าต่อ

ผ่านไปไม่นาน เวลาของท่านเลี่ยชั่ว อาจารย์ของจุ่ยเฉิงจิงก็มาถึงขีดจํากัดแล้วเช่นกัน

เขาบอกให้พวกเราระวังตัวดีๆ จากนั้นก็สลายร่างทันที ไอวิญญาณทั้งหมดกลับเข้าไปอยู่ในหยกตรงหน้าอกของจี่ยเฉิงจิงดังเดิม

และตอนนี้ พวกเราทุกคนก็ได้พวกม่หลงเหยียนคอยประคอง รับเดินต่อไปเรื่อยๆเพราะเราอยากออกไปจากสาขาย่อยองค์กรตาผีที่สุดแสนอันตราย ออกจากเขาเขี้ยวหมาป่าให้ได้เร็วที่สุด

แต่ด้านหลังพวกเรา กลับมีพวกทาสผี ซากศพ และสัตว์ประหลาดต่างๆไล่ตามมาไม่หยุดจ่านวนที่มีก็ไม่รู้ว่ามากขนาดไหน……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset