ศพ – ตอนที่ 43 ปรมาจารย์ผี

เมื่อกี้เหวินจ้งยังทำท่าทางเป็นอันธพาลอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับกลัวจนเสียสติ

ร่างกายล้มลงไปกับพื้น เหงื่อเย็นๆไหลซึมออกมา พร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา

เขามองหน้าคุณหนูเหวิน และพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ “เยี่ยน เยี่ยนเยี่ยน ไม่ ไม่เกี่ยวกับฉัน! อารอง อารองอยากทำให้เธอตกใจเท่านั้น ไม่ ไม่ได้อยากฆ่าเธอเลยสักนิด! เพราะเขา ใช่ เพราะเขาตัดสินใจฆ่าเธอด้วยตัวเอง”

“เยี่ยนเยี่ยน เยี่ยนเยี่ยนครั้งนี้เธอต้องยกโทษให้อารองนะ ถ้าอารองตายไป น้องชายปัญญาอ่อนของเธอ จะไม่มีใครดูแลนะ!”

 

หลังจากพูดจบ เหวินจ้งก็ร้องไห้โฮ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

เมื่อพวกเราได้ยินสิ่งนี้ ต่างอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ดูเหมือนเขาจะมีความสามารถซื้อตัวนักฆ่าได้จริงๆ

นักพรตตู๋ที่อยู่ด้านหน้าจึงถามต่อ “คนที่นายพูดถึงคือใคร นายสั่งให้ใครไปทำร้ายคุณหนูเหวิน แล้วตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

เมื่อได้ยินนักพรตตู๋พูดออกมาแบบนี้ เหวินจ้งก็ไม่รอช้า ถึงตัวจะสั่น แต่เขากลับพูดด้วยแววตาที่เลื่อนลอย “เขา เขาเป็นผีตนหนึ่ง ส่วนเรื่องอื่น เรื่องอื่นฉันก็ไม่รู้แล้ว!”

เมื่อทุกคนเห็นแววตาของเหวินจ้ง ก็รู้ทันทีว่าเขากำลังโกหก

 

สีหน้าของเฟิงเฉ่วหานเข้มขึ้นทันที ไม่พูดอะไรสักคำ เข้าไปเตะที่หน้าของเหวินจ้งทันที

“ปัก” เหวินล้มลงกับพื้น วินาทีต่อมาเขาถึงกับกระอัดเลือดออกมาจากปาก

“ถ้ายังไม่พูดความจริง ตอนนี้ฉันจะฆ่าแกเอง!” เฟิงเฉ่วหานขู่ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา

เหวินจ้งกลัวมาก “ท่าน ท่านนักพรต ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากพูด แต่ถ้าผมพูด ถ้าพูดแล้วผมจะต้องตาย!”

“อ่อ งั้นแกก็คงไม่กลัวว่าจะตายในเงื้อมมือพวกเราซินะ” นักพรตตู๋พูด จากนั้นเขาก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว

จู่ๆคุณหนูเหวินที่ยืนอยู่หน้าประตูก็ยกมือขึ้น หายตัวไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ปรากฎตัวที่หน้าของเหวินจ้ง

“อารอง คุณยังอยากหาที่หลบภัยไหม” น้ำเสียงที่เย็นชา ยังตามมาด้วยสายลมอันเยือกเย็น

 

เสียงพึ่งจางหาย มือข้างหนึ่งของคุณหนูเหวิน ก็ตรงเข้าไปบีบคอเหวินจ้งทันที

ตอนนั้น เหวินจ้งดิ้นทุรนทุราย ใบหน้าแดงก่ำ เห็นได้ชัดว่าเขากำลังทรมาน

เหวินจ้งไม่สามารถหายใจได้ ชีวิตของเขาได้พบกับภัยคุกคามแล้ว

เขาจึงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป เขาพยายามเปล่งเสียงออกมา “ฉัน ฉันพูด ฉันพูดแล้ว……”

เมื่อนักพรตตู๋ได้ยินแบบนี้ จึงส่งสัญญาณให้คุณหนูเหวินปล่อยมือ

ที่จริงคุณหนูเหวินรู้สึกไม่พอใจนิดหน่อย แต่เพื่อตามหาตัวจริงของฆาตกรที่ฆ่าเธอ และยังมีผีชั่วที่จับเธอไปเป็นทาส เธอจึงต้องอดทนต่อไป

 

หลังจากคุณหนูเหวินปล่อยมือ เหวินจ้งก็จับที่คอของเขาทันที เขาไอออกมาอย่างต่อเนื่อง ในเวลาเดียวกันยังหายใจเข้าเฮือกใหญ่ด้วย

ผ่านไปไม่กี่วินาที เหวินจ้งถึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตกใจ “เขา เขาเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ผี ส่วนเจ้าลูกศิษย์นั่น ชื่ออะไรฉันก็ไม่รู้ รู้แค่ว่าปรมาจารย์ผีส่งเขามาก็เท่านั้น”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เหวินจ้งก็รีบพูดเพิ่ม “แต่ แต่ฉันกล้าสาบานว่า ฉันไม่ได้บอกให้เขาฆ่าเยี่ยนเยี่ยนจริงๆนะ ฉัน ฉันแค่อยากให้เขาทำให้เยี่ยนเยี่ยนตกใจจนขวัญผวา  ทำให้จิตใจสับสนวุ่นวาย แบบนี้ แบบนี้ฉันจะได้มีเหตุผลให้ถูกเลือก เป็นประธานคนใหม่……”

ปรมาจารย์ผี เมื่อได้ยินสามคำนี้ ผมก็มึนงงทันที

 

ผมหันไปมองอาจารย์และนักพรตตู๋ ดูว่าพวกเขาพอจะรู้อะไรบ้างไหม

แต่สองคนนั้นกลับแสดงท่าทางออกมาเหมือนกัน พวกเขาเองก็ไม่รู้เช่นกัน เพียงแค่ส่งสัญญาณให้เหวินจ้งพูดต่อ

เพื่อเอาชีวิตรอดเหวินจ้ง ถึงกับพูดออกมาทั้งหมด

เขาบอกว่ามีโอกาสได้พบกันโอยบังเอิญ ตอนไปดื่มเหล้าที่ KTV กับเพื่อนนักธุรกิจคนหนึ่ง

จากนั้นเพื่อนคนนั้นก็เมา และพูดชื่อ “ปรมาจารย์ผี” ออกมา

บอกว่าปรมาจารย์ผีคนนี้สามารถทำได้ทุกอย่าง เพียงไปขอร้องเขา และให้ของล้ำค่าหนึ่งชิ้น ปรมาจารย์ผีนั้นก็จะหาวิธีทำให้ความปรารถนาของคุณสมหวัง

 

เพื่อนที่เมาของเขาคนนั้นยังบอกอีกว่า ช่วงนี้เขายังได้ที่ดินมาผืนหนึ่ง ก็เพราะไปขอจากปรมาจารย์ผีนั้นเอง

และยังบอกว่า ถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากปรมาจารย์ผี คุณสมบัติ การเงิน ขนาดและเรื่องอื่นๆของบริษัทพวกเขา คงไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งได้แน่

แต่สองสามวันก่อนเขาได้เสนอราคา และมีบริษัทยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ได้ประกาศถอนตัวจากการเสนอราคาไปอย่างลึกลับ

หลังจากที่เหวินจ้งได้ยิน เขาก็อึ้งไปทันที

แน่นอนว่าเขาต้องรู้ดีว่า ขนาดของบริษัทเพื่อนของเขา คิดว่าเพื่อให้ได้ที่ดินผืนนั้นมา ต้องนำไปจ่ายค่าประชาสัมพันธ์แน่นอน แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับไปขอจาก “ปรมาจารย์ผี”

 

หลังจากผ่านไปสองสามวัน เหวินจ้งก็พบว่าตัวเองไม่สามารถขึ้นเป็นประธานคนใหม่ของบริษัทได้ แต่ไม่รู้อะไรสะกิดใจจู่ๆเขาก็คิดถึงปรมาจารย์ผีขึ้นมา

หลังจากถูกคุณหนูเหวินผู้หญิงที่อ่อนแอและยังนั่งอยู่ในรถตบหน้าหนึ่งครั้ง เขาก็ยังคงโกรธแค้นอยู่ในใจ

ดังนั้น เช้าวันรุ่งขึ้นเขาจึงไปค้นหาคนที่ชื่อ “ปรมาจารย์ผี”

เมื่อไปถึงที่นั้น เหวินจ้งก็บอกว่าตัวเองมีเรื่องจะขอร้อง จากนั้นก็มอบของล้ำค่าที่ตัวเองนำมาหนึ่งอย่าง มันคือหยกรูปปี่เซียะซึ่งมีมูลค่านับแสนหยวน

เมื่ออีกฝ่ายรับของขวัญเรียบร้อย เขาก็ตอบตกลงจะช่วยเหวินจ้ง ในเวลาเดียวกันยังนำหุ่นกระดาษมาให้

เหวินจ้ง

 

บอกให้เขียนวันเดือนปีเกิดของคุณหนูเหวินลงไป จากนั้นก็นำกลับไป วางในที่ที่คุณหนูเหวินเดินเข้าเดินออกบ่อยๆ และยังกำชับอีกว่าต้องให้คุณหนูเหวินได้สัมผัสกับตัวหุ่น

หลังจากที่เหวินจ้งออกมา เขาก็แอบเขียนวันเดือนปีเกิดของคุณหนูเหวินลงบนหุ่นกระดาษ จากนั้นก็นำไปวางบนโต๊ะทำงานของคุณหนูเหวิน……

เช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อคุณหนูเหวินมาทำงาน ก็เห็นว่ามีหุ่นกระดาษวางอยู่บนโต๊ะ จากนั้นเธอก็สัมผัสมัน แต่วินาทีนั้นหุ่นกระดาษกลับมอดไหม้ทันที

ดังนั้น คาถาของปรมาจารย์ผีจึงเริ่มทำงาน

จากนั้น คุณหนูเหวินก็ได้เจอกับเหตุการณ์ร้ายก่อนเสียชีวิต จนกระทั่งขับรถชนในวินาทีสุดท้าย

 

เมื่อฟังเรื่องนี้จบ ผมก็ตกตะลึง และยังช็อกอีกด้วย

คิดไม่ถึงว่าคนที่อยู่เบื้องหลังจะมีเบื้องหลังอีกชั้น ถ้างั้นเจ้าผีชั่วนั้นก็ต้องมีคนบงการนะซิ

หมอกหนาเริ่มจางลงทีละชั้น ขนาดที่ยังหาผีชั่วไม่เจอ บ้าเอ้ยดันมีปรมาจารย์ผีอะไรนั้นเข้ามาอีก

ได้ยินชื่อนี้ก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ของดีอะไร สวรรค์คงรับรู้ว่าเจ้านี้ไปก่อกรรมทำเข็ญไว้เท่าไหร่

ผมไม่พูดอะไร แต่นักพรตตู๋กลับแสดงสีหน้าสงสัย “แล้วปรมาจารย์ผีอยู่ที่ไหน”

“ปอ ปรมาจารย์ผี อยู่ในป่าช้าเก่าของวัดร้าง!”

 

“ฉัน ฉันรู้แค่นี้แหละ พวกคุณอย่าฆ่าฉันเลย เยี่ยนเยี่ยน อารองสำนึกได้แล้ว อารองแค่อยากทำให้เธอตกใจเท่านั้น ไม่ได้อยากฆ่าเธอเลยนะ!” พูดด้วยน้ำเสียงของคนร้องไห้ เขารู้สึกผิดแล้ว

แต่พวกเรากลับไม่สงสาร ทันใดนั้นอาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างๆเขาก็ด่าว่า “แกหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกพวกเราไม่ได้ ตะปูทุกข์ระทมที่ตอกลงในหัวของคุณหนูเหวิน หลังจากที่เธอตายแกเป็นคนตอกมันเข้าไปซินะ”

“แกบอกว่าแค่อยากทำให้คุณหนูเหวินตกใจ แล้วทำไมหลังจากที่เธอตายแกยังต้องใช้ตะปูทุกข์ระทมด้วยฮะ เป้าหมายของแกคือต้องการกดขี่วิญญาณ ควบคุมศพ ให้ไปทำร้ายครอบครัวของเขา ไอ้หน้าเนื้อใจเสือ ยังกล้ามาทำเป็นตีหน้าซื่อ”

อาจารย์ไม่เกรงใจ เปิดเผยหน้ากากจอมปลอมที่เหวินจ้งใส่อยู่ทันที

 

เมื่อเหวินจ้งได้ยิน เขาก็ตกใจ คิดไม่ถึงว่าพวกเราจะเห็นทุกอย่าง

แต่เขายังเล่นลิ้น “ฉัน ฉัน ฉันไม่ได้ทำ ใช่ฉันไม่ได้ทำ!”

“ฮึ! ใกล้จะตายอยู่แล้ว ยังไม่รู้จักสำนึกอีก! คุณหนูเหวิน อารองเป็นของคุณแล้ว” อาจารย์พูดออกมาอีกครั้ง

เมื่อเหวินจงได้ยินประโยคนี้ เสียงที่เคยสะอึกสะอื้นจากการร้องไห้ ก็หยุดทันที เขาไม่ส่งเสียงใดๆออกมา

ไม่เพียงแค่นี้ ทันใดนั้น เหวินจ้งก็เงยหน้าขึ้นเผยใบหน้าที่น่าเกลียดน่ากลัว “ในเมื่อไม่ยอมปล่อยฉันไป งั้นฉันก็จะฆ่าใครสักคน!”

หลังจากพูดจบ เขาก็หยิบยันต์ดำออกมาจากกระเป๋า เล็งมาที่ผมที่อยู่ใกล้สุด จากนั้นเขาก็พุ่งเข้ามาทันที

เมื่อจู่ๆเหวินจ้งพุ่งออกมา จึงเป็นเรื่องที่ทุกคนคาดไม่ถึง

 

อาจารย์และนักพรตตู่ต่างตกใจ โดยเฉพาะวินาทีที่เห็นยันต์สีดำ ใบหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความตกตะลึง

ยันต์แบ่งออกเป็นดีหรือชั่ว คาถาเองก็แบ่งออกเป็นดีหรือชั่วเช่นกัน สำหรับคาถาที่ชั่วร้าย ทุกคนต่างรู้ดีว่ายันต์ที่ใช้จะเป็นสีดำ

เมื่ออาจารย์เห็นสิ่งนี้ ก็รีบตะโกนบอกผมว่า “ระวัง!”

ในเวลาเดียวกัน ยังเอื้อมมือมาหยุดเหวินจ้งเอาไว้

แต่เหวินจ้งอยู่ตรงหน้าของผม ในระยะค่อยข้างใกล้ และยังเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหัน

ดังนั้นจึงเห็นได้ชัดว่าการช่วยเหลือของอาจารย์นั้น มาไม่ทันแล้ว

และเจ้าเหวินจ้งยังมีใจคิดสังหาร จึงไม่ลังเลถือยันต์ดำที่อยู่ในมือ ตรงเข้ามาแปะที่นิ้วของผม……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset