ศพ – ตอนที่ 435 เก็บตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

ตอนที่ 435 เก็บตัวเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บ

ผมหยิบเจ้าของที่มีรูปร่างเหมือนเกล็ดปลาออกมาดู ไม่ว่าผมจะคิดยังไง หรือมองมันยังไง ผมก็ไม่เห็นว่าเจ้านี้มีอะไรพิเศษเลยสักนิด

และอาจารย์ยังบอกผมว่า เจ้าศิษย์พี่ที่หลงผิดของผมคนนั้น กลับได้เรียนวิชาขั้นเทพบางอย่างไปจากเจ้าสิ่งนี้

แถมวิชานั้นก็ร้ายกาจมาก พอเรียนสําเร็จ ก็จะทําให้ตัวเองมีฝีมือก้าวกระโดด

ถ้าบอกว่าเมื่อคืนอาจารย์เมา เลยพูดคําพูดงี่เง่าพวกนั้นออกมา

แต่สายของวันนี้ อาจารย์กลับพูดเรื่องนี้กับผมด้วยท่าทางที่ดูจริงจังมาก

บอกว่าต่อไปเจ้าสิ่งนี้จะเป็นของผมแล้ว ให้ผมเก็บรักษามันให้ดีๆ

พวกเราเองก็ไม่ได้มาจากสํานักอะไร เป็นเพียงผู้ฝึกตนทั่วไป รับส่งทอดของสิ่งนี้มารุ่นต่อรุ่น

อาจารย์ยังบอกว่า ไม่ต้องรีบร้อน บอกว่าคนมีพรสวรรค์เหมาะเดินบนทางเส้นนี้ ทุกอย่างจะเป็นไปตามโชคชะตา ผมจะต้องหาความลับที่อยู่บนนั้นได้อย่างแน่นอน

อาจารย์พูดฟังดูมีลับลมคมนัยหน่อยๆ แต่พอเห็นท่าทางเคร่งขรึมของอาจารย์ สายตาที่มุ่งมั่น ผมก็รู้ทันทีว่าสิ่งที่เขาพูดคือเรื่องจริงทั้งหมด

ในมือของผม เจ้าเกล็ดสีม่วงนี้ ดูเหมือนของธรรมดาทุกอย่าง แต่ตัวมันกลับซ่อนความลับบางอย่างเอาไว้……

ปีใหม่ผ่านไปเร็วมาก เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์กว่าแล้ว อาการบาดเจ็บของผมก็ฟื้นตัวเร็วมาก

และการเดินทางไปเขาเขี้ยวหมาป่าครั้งนี้ แม้มันจะอันตราย แต่พลังของผมกลับพัฒนาขึ้นอย่างที่คาดไม่ถึง

เพียงชั่วพริบตา ก็มาถึงสิ้นปีแล้ว

ทุกคนต่างกลับไปทํางานที่บริษัทของตัวเอง และคืนนี้ผมก็วางแผนจะไปที่ป่าชุ่ยหม่า

เนื่องจากบนตัวผมยังมีหินลี่ลั่วอยู่อีกหนึ่งก่อน ผมกะจะเอามันไปให้มู่หลงเหยียน

ในเวลาเดียวกัน ผมก็อยากเอาเจ้าเกล็ดสีม่วงทองในมือนี้ไปให้มู่หลงเหยียนดูด้วย

ไม่แน่เธออาจจะมองออกว่าเจ้าสิ่งนี้พิเศษตรงไหน

ผมคิดแบบนั้น ดังนั้นหลังกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็ออกมาจากบ้าน แล้วรีบเดินทางไปที่ป่ากุยหม่าทันที

คราวนี้ผมเดินค่อนข้างเร็ว ผ่านไปไม่นานผมก็มาถึงป่ากุยหม่า

ที่นี่ยังเหมือนเดิม

และไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าเดิม พลังวิญญาณลอยตลบ แต่ผมก็ชินแล้ว

ต่อจากนั้นผมก็เดินผ่านหลุมศพไป ตรงเข้าไปในส่วนลึกของป่าก่ยหม่าทันที

ผ่านไปไม่นาน ผมก็มาถึงประตูจวนมู่หลง

ประตูใหญ่บ้านหลังโต โคมไฟสีแดงแขวนอยู่ข้างประตูทั้งสองบาน สิงโตหินตัวใหญ่สองตัวอยู่ด้านหน้า

ไม่ว่าจะอยู่ในฤดูไหน ดอกไม้สามสี ก็จะเป็นเหมือนเดิมเสมอ

“เคาะๆๆ” ผมเคาะประตู ผ่านไปไม่นาน ประตูก็ถูกเปิด

คนเปิดประตคือยายโม่ ตอนยายโม่เห็นว่าเป็นผม เธอก็ฉีกยิ้มให้ทันที

ต่อจากนั้นเธอทักทายผมด้วยน้ําเสียงที่ฟังดูให้เกียรติสุดๆ “คุณผู้ชาย !”

“ยายโม่ ผมมาเยี่ยมน้องศพ” ผมพูดด้วยรอยยิ้ม

แต่เสียงเพิ่งเงียบลง ยายโม่กลับทําหน้าเศร้าออกมาเล็กน้อย “ คุณผู้ชาย ช่วงนี้คุณหนูกําลังป่วยอยู่

คืนนี้ คุณคงไม่ได้เจอเธอแล้วละเจ้าค่ะ”

“ฮะ ? ไม่สบาย น้องศพเป็นอะไร ?” ผมท่าหน้าตกใจ

ผู้ป่วยได้ด้วยเหรอ ผมคิดในใจ

ยายโม่กลับถอนหายใจออกมา “ คุณผู้ชายคงไม่รู้ ตอนอยู่เขาเขียวหมาป่า คุณหนูได้รับบาดเจ็บสาหัส

ตอนนี้เธอยังเก็บตัวรักษาอาการบาดเจ็บอยู่เลยเจ้าค่ะ”

“อะไรนะ ? น้องศพบาดเจ็บ แถมยังอาการหนักด้วย ?” สีหน้าผมเปลี่ยนทันที ทําหน้าไม่อยากเชื่อออกมา

ก่อนหน้านี้ตอนกลับมาจากโรงพยาบาล มู่หลงเหยียนยังคุยกับผมอยู่เลย เธอไม่ได้บอกว่าสบายดีเหรอ

แถมยังบอกว่าให้รักษาตัวดีๆ รอให้อาการดีขึ้นแล้ว ค่อยมาหาเธอที่ป่ากุยหม่า

ตอนนี้ผมเกือบหายเป็นปกติแล้ว เลยรีบมาดูเธอทันที

แต่พอได้รู้เรื่องนี้จากปากยายโม่ มันกลับทําให้ผมตกใจมาก

ยายโม่พยักหน้าเล็กน้อย “ใช่เจ้าค่ะคุณผู้ชาย คุณหนูไม่บอกเรื่องนี้กับคุณ แต่ตอนนี้คุณมาหาถึงบ้านแล้ว ข้าน้อยก็ไม่คิดจะปิดบังคุณผู้ชายอีกต่อไปแล้วเจ้าค่ะ !”

“อา อาการบาดเจ็บของเธอเป็นยังไงบ้าง ? หรือว่าหลังจากที่พวกเราไปแล้ว เธอก็ไปเจอกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งมากเหรอ ?” ผมพูดต่อ

ยายโม่พยักหน้าเล็กน้อย “คุณผู้ชายคงไม่รู้ วันนั้นคุณหนูและพวกผู้นําตนอื่นๆ ต้องเข้าไปสู่พัวพันอยู่กัยพวกหุ่นเชิดและซากศพที่แข็งแกร่งจํานวนมาก เพื่อปกป้องผู้นําตนอื่นๆ คุณหนูต้องเสี่ยงไม่น้อย ถึงพาทุกคนหนีออกมาได้สําเร็จ พอข้ากลับไปอีกครั้ง คุณหนูก็อ่อนแอมาก แต่เพิ่งฝ่าวงล้อมออกมาได้สําเร็จ……”

ยายโม่เล่าเรื่องที่เกิดหลังจากพวกเราออกมาแล้วให้ผมฟังสั้นๆ

พอได้ยินแบบนั้น ผมก็อดทําตาเบิกกว้าง สูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้

ดูเหมือนสาขาย่อยขององค์กรตาผี จะไม่ได้สู้ด้วยง่ายๆอย่างที่คิดไว้แล้ว

กองกําลังที่ล้อมเราไว้เมื่อตอนแรกสุด น่าจะเป็นแค่กาลังพลเล็กๆ

พวกที่แข็งแกร่งจริงๆ ยังไม่ได้ออกมาปรากฏตัว ยังหลับลึกหรือไม่ก็ไม่ได้ถูกปล่อยออกมา

รอให้นางพญาและท่านเลี่ยฮั่วปรากฏตัวแล้ว ถึงได้ไปกระตุ้นหุ่นเชิดที่แข็งแกร่ง

แต่ตอนนั้น พวกเราฝ่าวงล้อมออกมาได้แล้ว

เพียงแต่สิ่งที่ผมคาดไม่ถึงคือ พอมู่หลงเหยียนไปสกัดพวกทาสผีที่ไล่ตามมา เธอกลับต้อง เข้าไปสู้กับพวกหุ่นเชิดที่แข็งแกร่ง

ผมพูดด้วยเสียงเศร้าหน่อยๆ “ยายโม่ พาผมไปดูน้องศพหน่อยได้ไหม บาดแผลของเธอจะหายตอนไหนเหรอครับ ?”

ยายโม่พยักหน้าเบาๆ “ได้เจ้าค่ะ ส่วนเรื่องแผลของคุณหนูจะหายดีตอนไหน ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ”

หัวใจผมเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ

ส่วนยายโม่ก็ไม่พูดกับผมอีก เธอหมุนตัว พาผมเข้าไปในจวนมู่หลงทันที

จวนมู่หลงยังคงมีคนรับใช้และสาวใช้คนกระดาษเยอะเหมือนเดิม ตอนนี้พอเห็นพวกเรา พวกนี้ก็ทักทายด้วยท่าทางเคารพ แต่ก็ยังดูแข็งๆอยู่หน่อยๆ

คนพวกนี้เป็นคนกระดาษทั้งหมด ผมเองก็ไม่ได้สนใจ ในใจมีแต่เป็นห่วงตัวมู่หลงเหยียนเท่านั้น

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เข้ามาในเรือนด้านหลัง ถึงเรือนที่มู่หลงเหยียนพักอยู่

“คุณผู้ชาย คุณหนูอยู่ด้านในเจ้าค่ะ คุณมองผ่านหน้าต่างก็ได้แล้วเจ้าค่ะ อย่าไปรบกวนคุณหนูเก็บตัวเลยเจ้าค่ะ” ยายโม่เตือน

ในเรื่องนี้ ผมเข้าใจดี

หากอยากให้มู่หลงเหยียนหายเป็นปกติเร็วๆ เธอต้องพึ่งตัวเองเท่านั้น ใช้พลังวิญญาณจากดินและฟ้า

ฟื้นฟูร่างวิญญาณของเธอ

ก็เหมือนมนุษย์อย่างพวกเรา ไปให้น้ําเกลือที่โรงพยาบาล กินยาอีกหน่อยก็จะหายเป็นปกติเอง

ผมรีบเดินไปที่หน้าต่าง แล้วมองเข้าไปด้านใน

เห็นเพียงในห้องมีแท่งสูงประมาณหนึ่งเมตร ซึ่งตอนนี้มู่หลงเหยียนกําลังนั่งอยู่บนนั้น

เธอหลับตา สีหน้าดูไม่ดีเลยสักนิด แต่ผมก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณรางๆ

นอกจากนี้ สิ่งที่ทําให้ผมตกใจคือ เหนือหัวของมู่หลงเหยียน มีโลงศพโลงเล็กๆลอยอยู่

โลงศพโลงเล็กๆโลงนั้นเป็นสีดําสนิท มันลอยขึ้นๆลงๆอยู่เหนือหัวเธอ เป็นอะไรที่แปลกมาก

ไม่เพียงแค่นั้น มองแค่ครั้งเดียวผมก็จําได้ทันที ว่าเจ้าโลงศพโลงนั้นเป็นโลงเหล็กที่ผมซื้อให้มู่หลงเหยียนเมื่อตอนนั้น

ผมมองด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา และไม่ได้รบกวนมู่หลงเหยียนเลยสักนิด

ไม่รู้ยายโม่เข้ามาอยู่ข้างๆผมตั้งแต่เมื่อไหร่

ต่อจากนั้นผมก็ได้ยินยายโม่พูดกับผมว่า “คุณผู้ชาย คุณหนูกําลังใช้โลงรวบรวมพลังวิญญาณ หลังจากนั้นก็ดึงเข้าร่าง ฟื้นฟูร่างวิญญาณ รักษาบาดแผลต่างๆเจ้าค่ะ”

“ทํา ทําแบบนี้มีประโยชน์เหรอ ?” ผมพูดด้วยความสงสัย

ยายโม่กลับพยักหน้าให้ “มีประโยชน์แน่นอนเจ้าค่ะ เพื่อให้ได้โลงใบนี้มา คุณหนูเสียแรงไปเยอะเลยนะเจ้าค่ะ”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็งงขึ้นมาทันที

เจ้าโลงนี้ไม่ได้หาซื้อในเถาเป่าหรือไง แถมผมยังเป็นคนแบกมาให้ แล้วจะเรียกว่าเสียแรงได้ยังไง

ยายโม่ที่อยู่ข้างๆเห็นผมตีหน้ามน ท่าทางไม่เข้าใจ เธอเลยคลี่ยิ้มออกมา “คุณผู้ชาย ถึงคุณจะจ่ายเงินซื้อโลงใบนี้มา แต่ก่อนหน้านี้ คุณหนูไปหาคนขายด้วยตัวเองเลยนะเจ้าค่ะ ถ้าไม่ทําแบบนั้น ก็ไม่ได้โลงฟีนิกซ์มองจันทร์แบบนี้มาง่ายๆหรอกเจ้าค่ะ”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset