ศพ – ตอนที่ 436 โลงเหล็กเก็บพลัง

ตอนที่ 436 โลงเหล็กเก็บพลัง

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็เริ่มสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง

ผมจําได้ตอนโลงเหล็กโลงนี้มาถึง อาจารย์เคยบอกว่าไม่ว่าจะเป็นหรือตาย เจ้านี่สร้างความสุขและอายุยืน

นอกจากนี้เขายังจับเจ้าโลงใบนี้ไม่ยอมปล่อย แถมบอกว่าเขาอยากเก็บเอาไว้ใช้เองด้วยซ้ํา

ตอนนั้นผมงงมาก เลยเปิดปากถามอาจารย์ไป

แต่อาจารย์กลับไม่พูด ต่อมาเรื่องนี้เลยจบลงทั้งแบบนั้น

ตอนนี้ได้มาเห็นโลงใบนั้นอีกครั้ง และยายโม่ยังบอกว่าโลงใบนี้ช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของมู่หลงเหยียนได้ ผมเลยรู้สึกสงสัยขึ้นมา

ดังนั้น ผมเลยเปิดปากถามเธอว่า “ยายโม่ มันดียังไงเหรอ ? ยายบอกผมได้ไหม ว่าเจ้าโลงใบนี้มันมีความพิเศษตรงไหน”

ยายโม่เห็นผมทําหน้าจริงจัง ดวงตาเต็มไปด้วยความกระวนกระวาย เลยพูดออกมาว่า “ ถือได้เจ้าค่ะ ! ข้าน้อยจะเล่าให้คุณผู้ชายฟังนิดหน่อย ถึงโลงใบนี้จะเป็นโลงเหล็ก แต่มันกลับเป็นหนึ่งในโลงเหล็กที่ล้ําค่า

โลงฟีนิกซ์มองจันทร์

“โลงใบนี้ออกแบบให้มีโครงสร้างพิเศษ ไม่เพียงไม่ขังวิญญาณ แต่ยังซ่อนกลไกดูดซับกระแสพลัง โดยเฉพาะเรื่องการดูดซับพลังจากจันทรา มันทําได้เยี่ยมสุดๆเลยละเจ้าค่ะ”

“มันอาจไม่มีประโยชน์กับคนเป็น แต่สําหรับคนตายแล้วโดยเฉพาะพวกวิญญาณ มันมีส่วนช่วยเป็นพิเศษเลยละเจ้าค่ะ”

“ขอแค่ใช้โลงใบนี้ ก็จะสามารถดูดซับพลังจากฟ้าดินได้เพิ่มอีกหลายเท่า หลังได้โลงใบนี้มาคุณหนูก็เคยเก็บตัวไปแล้วหนึ่งครั้ง ครั้งนั้นเธอเลื่อนระดับไปได้อย่างราบรื่นเลยละเจ้าค่ะ ตอนนี้ กลับมาใช้โลงใบนี้อีกครั้ง บางที่ความเร็วในการฟื้นตัวของคุณหนูคงเพิ่มได้อีกหลายเท่า….”

ต่อจากนั้น ยายโม่ก็เล่าเรื่องความร้ายกาจของโลงใบนี้ให้ผมฟังพักหนึ่ง

หลังฟังจบ ผมก็อดไม่ได้ที่ตกใจ

ถึงมันจะเป็นโลงเหล็ก มีความสามารถในการกักขังวิญญาณ

แต่ยอดฝีมือบางคนในสายนี้ กลับใช้ความสามารถแบบนี้ซ่อนกลไกดูดซับพลัง สร้างความสามารถเก็บรวบรวมพลังฟ้าดินเอาไว้

เมื่อเป็นแบบนี้ โลงประเภทนี้ก็จะกลายเป็นของที่สุดยอดไปในทันที

ถึงว่าทําไมตอนนั้นอาจารย์ถึงได้พูดว่า ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ก็จะมีความสุขและอายุยืน

เมื่อผลประโยชน์ตกเป็นของคนตาย ลูกหลานย่อมมีความสุขเป็นธรรมดา

หากคนตายเป็นผีที่บําเพ็ญเพียร งั้นความเร็วในการบําเพ็ญก็ต้องเพิ่มขึ้นหลายเท่าแน่ๆ

นี่มันก็เหมือนใช้สูตรโกง เช่น ผมต้องใช้เวลาสองชั่วโมงถึงจะเดินลมปราณให้เต็มจุดตันเถียน

แต่พอมีเจ้านี้แล้ว ก็ใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีเท่านั้น

เมื่อเป็นแบบนี้ หากอยากฝึกให้ช้าขึ้นหน่อยก็เป็นไปไม่ได้แล้ว

ขณะตกใจ ผมก็หันไปมองมู่หลงเหยียนที่กําลังเก็บตัวอยู่ในห้อง

แต่ในขณะเดียวกันผมก็พูดขึ้นมาว่า “ยายโม่ ถ้าแบบนี้ งั้นเจ้าโลงนี้ ก็โดนน้องศพจ้องเอาไว้นานแล้วนะซิ เพียงแค่สั่งซื้อผ่านทางผม หลังจากนั้นอีกฝ่ายก็ส่งไปรษณีย์มาที่นี่”

ยายโม่พยักหน้าเล็กน้อย “จะพูดแบบนั้นก็ได้เจ้าค่ะ แน่นอน คุณหนูเป็นผี ไม่มีเงินโลกมนุษย์เยอะแบบนั้น ดังนั้นเลยต้องให้คุณผู้ชายเป็นคนจ่ายเงินพวกนั้นเจ้าค่ะ”

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็เข้าใจเรื่องของโลงใบนี้สักที

ที่แท้มู่หลงเหยียนก็ซื้อเจ้านี่มาเพื่อฝึกฝนพัฒนาตัวเอง แต่จะว่าไปแล้ว
ใครเป็นคนขายเจ้านี่ให้มู่หลงเหยียนกันแน่ แล้วคนแบบไหนถึงได้มีความสามารถแบบนี้ ถึงกับสร้างโลงเหล็กแบบนี้ออกมาได้

“ยายโม่ ใครเป็นคนสร้างโลงใบนี้ออกมาเหรอ ?” ผมถามด้วยความสงสัย

แต่ยายโม่กลับส่ายหัว “เรื่องนี้ข้าน้อยเองก็ไม่รู้เจ้าค่ะ แต่คุณผู้ชาย ก็ได้เจอคุณหนูแล้ว ยังไงเราก็ออกไปกันเถอะเจ้าค่ะ ! อย่าไปรบกวนเวลาเก็บตัวของคุณหนูเลยเจ้าค่ะ”

หลังฟังยายโม่พูดจบ ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ !”

ขณะพูด ผมก็หันไปมองมู่หลงเหยียนตามที่จิตใต้สํานึกบอก
มู่หลงเหยียนนั่งท่าขัดสมาธิ หลับตา ดูดซับไอสีขาวอ่อนๆที่แพร่ออกมาจากโลงเหล็กใบนั้นอย่างต่อเนื่อง

ถึงจะไม่อยากไป แต่สุดท้ายผมก็เดินออกมา

ก่อนหน้านี้ตอนกลับมาจากโรงพยาบาล ผมบอกว่าจะมาหาเธอในคืนนั้น

แต่สุดท้ายกลับโดนปฏิเสธ น้ําเสียงของเธอยังฟังดูกระวนกระวายหน่อยๆ

พอลองคิดดูแล้ว คงเป็นเพราะว่ามู่หลงเหยียนกลัวผมมาหาแล้วจะเห็นว่าเธอบาดเจ็บ เลยจงใจปฏิเสธผม

เธอคงกลัวว่าผมจะเป็นห่วง

ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็เริ่มมีที่ยืนอยู่ในใจเธอบ้างแล้วนะซิ

ขณะคิดในใจเงียบๆ ผมก็ขมวดคิ้วแล้วขมวดคิ้วอีก ค่อยๆเดินออกมาจากเรือนหลังนั้น

พอออกมาจากเรือนหลังนั้นแล้ว ผมก็หยิบก้อนหินสีฟ้าขนาดเท่านิ้วมือออกมา

หลังจากนั้นก็พูดกับยายโม่ว่า “ยายโม่ รับนี่ไว้ !”

ตอนยายโม่เห็นผมหยิบหินลี่ลั่วออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างอึ้ง เผยสีหน้าตกใจออกมาทันที

“คุณผู้ชาย นี่ นี่คือ ?”

ยายโม่น่าจะรู้ว่ามันคืออะไร แต่คงไม่กล้าเชื่อความคิดของตัวเอง

ผมกลับฉีกยิ้ม “ยายโม่ นี่คือหินลี่ลั่ว ตอนนั้นรีบหนีออกมา เลยลืมเอาเจ้านี่ให้พวกยาย”

“คุณผู้ชาย คุณ คุณเอามาได้ยังไงเจ้าคะ ?” ยายโม่รีบรับไว้ เห็นได้ชัดว่าเธอประหม่ามาก หรือแม้แต่ตื่นเต้น

ผมเกาหัว “นี่เป็นเพราะมีเฟิงเฉิวหานอยู่ข้างๆผม ตอนไปเก็บน้ําลี่ลั่ว เขาเห็นตรงมุมหนึ่งของหินลี่ลั่วมีรอยแตกอยู่ เขาก็เลยออกแรงทุบจนมันแตกออกมา เอ่อมันดูจะน้อยไปหน่อย ไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์กับพวกยายไหม ?”

“ มีมีมี คุณผู้ชายมันมีประโยชน์มากเลยละเจ้าค่ะ นี่มันเป็นของล้ําค่ามากเลยนะเจ้าคะ ถึงจะเล็กไปหน่อย

แต่ก็เป็นหินลี่ลั่วไม่ผิดแน่ พอมีหินลี่ลั่วก้อนเล็กแบบนี้แล้ว พวกเราก็สามารถเก็บน้ําลี่ลั่วด้วยตัวเองได้

ถึงจะช้าไปหน่อย แต่ก็ดียิ่งกว่าอะไรเลยละเจ้าค่ะ ! ครั้งหน้าถ้าได้เจอกับเพื่อนคุณผู้ชาย ข้าน้อยจะขอบคุณอย่างดีแน่นอนเจ้าค่ะ” ยายโม่ดูดใจผิดปกติ เธอถือหินลี่ลั่วไว้อย่างกับของรัก
ของหวง

พอเห็นยายโม่เป็นแบบนั้น ผมก็มีความสุขตามไปด้วย

ต่อจากนั้นผมก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ยายโม่ การทดลองหญ้าหยินจ่าวเป็นยังไงบ้าง สําเร็จแล้วหรือยัง”

พอยายโม่ได้ยินผมถามแบบนั้น ก็เผยสีหน้าหนักใจออกมาอีกครั้ง “ถึงจะได้น้ําลี่ลั่วมาแล้ว และการทดลองก็มีการพัฒนาอย่างดีเยี่ยม แต่เวลาที่ได้กลับยังมีข้อบกพร่องบางอย่างอยู่”

“ข้อบกพร่อง หรือจะล้มเหลวแล้วงั้นเหรอ ?” ผมขมวดคิ้ว

ทุกคนเสี่ยงอันตรายมากมาย กว่าจะเอาน้ําลี่ลั่วออกมาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าล้มเหลวจริงๆ งั้นมันก็ได้ไม่คุ้มเสียแล้ว

แต่ยายโม่กลับส่ายหัว “ พูด พูดว่าล้มเหลวไม่ได้เจ้าค่ะ เพียงแค่มีข้อบกพร่องเล็กน้อยเท่านั้นเจ้าค่ะ

ตอนนี้มีน้ําลีล้วเพียงพอแล้ว การปลูกหญ้าหยินจ่าว ต้องสําเร็จในไม่ช้าแน่เจ้าค่ะ”

หลังฟังยายโม่พูดจบ ผมถึงได้รู้สึกสบายใจขึ้นมา จากนั้นก็ขานรับ “อ๋อๆ” สองครั้ง

ตอนนี้ม่หลงเหยียนเก็บตัวอยู่ หินลีลัวก็ให้แล้ว ผมเลยหยิบของอีกอย่างหนึ่งออกมา

มันก็คือเกล็ดปลาสีม่วงทองที่อาจารย์ให้ผมมานั่นเอง ตอนหยิบเจ้านี้ออกมา ยายโม่เผยท่าทางสงสัยออกมาอีกครั้ง “คุณผู้ชาย นี่คืออะไรเจ้าคะ ? ไอพลังบนนี้แปลกมากเจ้าค่ะ”

“ไอพลัง ยายสัมผัสพลังของมันได้เหรอ ?” ผมพูดด้วยความตกใจ

คนเป็นอย่างพวกเรา ไม่มีประสาทสัมผัสเหมือนพวกผีอยู่แล้ว พอได้ยายโม่พูดแบบนั้น ผมก็รู้สึกตกใจและสงสัยมาก

“เจ้าค่ะ ! ไม่เหมือนพลังหยางของคน และไม่เหมือนพลังหยินของวิญญาณ แถมไม่เหมือนพลังปีศาจของเผ่าปีศาจหรือพลังจากพวกซากศพ นอกจากพลังแปลกๆแล้ว ในสายตาของข้าน้อย มันยังมีแสงสีแดงจางๆอยู่ด้วยเจ้าค่ะ” จู่ๆยายโม่ก็หลี่ตาลง มองเกล็ดปลาสีม่วงทองบนมือผมอย่างละเอียด

ผมกลับทําตาโต ทําท่าทางตกใจ “แสงสีแดง ข้างบนนี้มีแสงสีแดงอยู่ด้วยเหรอ ?”

ยายโม่เข้ามาใกล้อีกหน่อย หลังจากนั้นก็เอาเจ้านี่ไปถือไว้

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พูดออกมาอีกครั้ง “คุณผู้ชาย ข้างบนนี้ไม่ได้มีแค่แสงนะเจ้าค่ะ เหมือนจะมีตัวอักษรด้วย……”

“อะไรนะ ? มีตัวอักษร ?” ผมตกใจทันที เลือดเดือนพล่านไปทั้งตัว

“เจ้าค่ะ มีตัวอักษร แต่ข้าน้อยมองเห็นไม่ชัด คุณผู้ชายรอหน่อยนะเจ้าคะ ดูเหมือนเจ้านี่จะเข้ากันได้ดีกับพลังหยิน ลองให้ข้าน้อยใส่พลังวิญญาณลงไปหน่อยนะเจ้าคะ”

หลังจากพูดจบ ยายโม่ก็ยกมือขึ้นมาข้างหนึ่ง ดันมือข้างหนึ่งช้าๆ ทันใดนั้นไอสีขาวจางๆก็ปรากฎขึ้น

ไอสีขาวเพิ่งปรากฏขึ้น มันก็ค่อยๆเคลื่อนตัวเข้าไปในเกล็ดปลาสีม่วงทองทันที…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset