ศพ – ตอนที่ 438 ฝึกวิชาใหม่สําเร็จ

ตอนที่ 438 ฝึกวิชาใหม่สําเร็จ

การบาดเจ็บของมู่หลงเหยียน อยู่เหนือความคาดหมายของผม ผมไม่คิดว่ามู่หลงเหยียนจะบาดเจ็บกลับมา

แถมยังหนักขึ้นขนาดนี้ นี่ก็ผ่านไปอาทิตย์กว่าๆแล้ว แต่มู่หลงเหยียนก็ยังเก็บตัวพักฟื้นอยู่

ถึงจะบอกว่ามู่หลงเหยียนบาดเจ็บ แต่ยายโม่กลับช่วยผมเปิดเกล็ดสีม่วงทองได้ และได้เห็นอักษรพิเศษและวิชาลับที่เขียนไว้ในนั้นแล้ว

จินตนาการได้ไม่ยาก คนที่สามารถซ่อนวิชาไว้ในเกล็ดสีม่วงทองอันนี้ และยังต้องใช้วิธีแบบนั้นเปิด

เจ้าของวิชาเฟินเทียนกงคนนี้ ต้องเป็นคนที่ร้ายกาจมากแน่ๆ

มันต้องเป็นวิชาระดับปรมาจารย์อย่างแน่นอน ผมสงสัยว่า เขาต้องเป็นคนระดับหน้าๆของลัทธิแน่ๆ

ถ้าฝึกเดินพลังตามวิธีนั้น ผมต้องได้รับบางอย่างมาแน่ๆ

ตอนนี้สิ่งที่ผมคิดถึง ก็คือฝีมือและพลัง

มีเพียงฝึกจนแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น ถึงจะเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง เผชิญหน้ากับความท้าทายที่มากกว่าเดิมได้

และไม่ต้องเรียกคนมาช่วยทุกครั้งที่เผชิญหน้ากับอันตราย

ดังนั้นผมเลยถือภาพเดินพลังและคําอธิบายพวกนั้น เดินออกมาจากป่ากุ่ยหม่า และรีบกลับมาที่ร้านทันที

ตอนผมกลับมาถึงบ้าน ก็ดึกมากแล้ว

อาจารย์นอนหลับไปแล้ว ผมเองก็ไม่ได้ไปรบกวนเขา เพียงนั่งศึกษาภาพเดินลมปราณและคําอธิบายพวกนั้นในห้องตัวเอง

ผมไม่รู้จักอักษรพวกนี้ แต่ผมกลับเข้าใจภาพเดินลมปราณพวกนั้น

ดังนั้นผมเลยเริ่มฝึกจากภาพเดินลมปราณแผ่นแรก

ภาพเดินลมปราณแผ่นนี้แปลกมาก วิธีฝึกและวิธีเคลื่อนลมปราณไม่เหมือนกับวิธีฝึกพลังทั่วไป

หรือแม้แต่ค่อนข้างพิลึก แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงฝึกตามวิธีเคลื่อนลมปราณด้านบนนั้น

แต่ฝึกตามภาพเดินลมปราณบนเกล็ดม่วงทองนั้น กลับเป็นอะไรที่ยากมาก

เพราะทุกครั้งที่เคลื่อนลมปราณไปถึงจุด ลมปราณพวกนั้นก็จะสลายตัวออกไปดื้อๆ ยากมากที่จะฝึกสําเร็จในครึ่งอาทิตย์ หนึ่งอาทิตย์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

เรื่องนี้ท่าให้ผมหัวเสียพอสมควร แต่ผมก็ยังลองทําเรื่อยๆ

ตั้งแต่จุดตันเถียนรวมไว้ตรงกลาง ค่อยๆเดินลมปราณ และเพิ่มปริมาณขึ้นเรื่อยๆ……

ตําแหน่งจดตัดในรูปภาพพวกนี้ ดูง่ายมาก แต่ตอนลองทํา ผมกลับพบว่ามันยากมาก

ผมลองทําดูหลายต่อหลายครั้ง ถึงผืนผ่านไปได้สองจุด

ทุกครั้งที่อยากผ่านจุดที่สาม ลมปราณก็จะแตกซ่าน ไม่สามารถก้าวผ่านไปได้สักที

และในภาพการเดินลมปราณแผ่นแรก ก็มีจุดให้เคลื่อนพลังถึง 38 จุด

และตัวผม กลับผ่านไปได้แค่สองจุด จะเห็นว่าการฝึกวิชาเฟินเทียนกงมันยากถึงระดับไหน

ยิ่งฝึกยิ่งยาก แต่ผมยิ่งไม่สบอารมณ์เท่าไหร่ ก็ยิ่งฝึกต่อไปเท่านั้น

ผลลัพธ์ในคืนนั้น ผมฝืนจนไม่ได้นอนเลยสักยก

จนกระทั่งเช้าวันรุ่งขึ้น ตอนอาจารย์มาเคาะประตู ผมก็ยังฝึกอยู่เลย

แต่ตอนนี้ผมผ่านไปถึงจุดที่สี่แล้ว ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งคืนเต็มๆ ผมถึงผ่านไปได้อีกสองจุด

สิ่งที่แปลกในวิชานี้คือวิธีเคลื่อนลมปราณและการควบคุม ถ้ามีอะไรผิดพลาดเกิดขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็จะฝึกไม่สําเร็จทันที

ผมเองก็ใช้เวลาถึงหนึ่งคืน ถึงได้รู้เรื่องนี้

ตอนนี้อาจารย์เปิดประตูเข้ามา เห็นผมกําลังนั่งขัดสมาธิฝึกวิชาอยู่บนเตียง เลยอดพนักหน้าให้ไม่ได้

“เสี่ยวฝาน วันนี้เริ่มฝึกแต่เช้าเลยเหรอ ? พอแล้ว ออกมากินข้าวเถอะ !”

พอได้ยินเสียงอาจารย์ ผมก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

เอื้อมมือไปเช็ดเหงื่อบนหน้าผาก หลังจากนั้นก็พูดกับอาจารย์ด้วยหน้าตามีความสุข “อาจารย์จะไม่ถามหน่อยเหรอว่าผมกําลังฝึกอะไรอยู่”

“ฝึกอะไร ?” อาจารย์เงียบไปครู่หนึ่ง

แต่แล้วเลี้ยววินาทีต่อมาอาจารย์ก็ตัวแข็งที่อไปทันที “เสี่ยวฝาน อย่า อย่าบอกนะว่าแกหาวิธีได้แล้ว เห็นวิชาลับในนั้นแล้ว ?”

ผมหัวเราะ “แฮะๆ” “ใช่อาจารย์ ! ตอนนี้ที่ผมกําลังฝึกอยู่ คือวิชาเฟินเทียนกง เพียงแต่วิธีฝึกของวิชานี้ค่อนข้างแปลก แผ่นแรกมี 38 จุด ตอนนี้ผมเพิ่งผ่านไปแค่สี่จุดเอง”

พอพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ําเสียงผมก็ฟังดูเศร้าอยู่หน่อยๆ

ผลลัพธ์พออาจารย์ได้ยินทั้งหมดแล้ว เขาก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆไม่ได้ “พระเจ้าช่วย ! เสี่ยวผ่าน แก แกอย่ามาหลอกอาจารย์ นี่ นี่มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเอง แก แกกลับรู้วิธีเปิดมันแล้วงั้นเหรอ ?”

อาจารย์ทําหน้าไม่อยากเชื่อ สิ่งนี้ไม่ได้เป็นเพียงของตกทอดจากอาจารย์เขา ที่ผ่านมากว่า 40 ปีแล้ว

แต่อาจารย์ยังใช้เวลากว่า 40 ปี ก็ยังไขความลับในนั้นไม่ได้

แต่ผมละ ? เพิ่งรับไปไม่กี่วัน

ทั้งหมดก็ราวๆประมาณหนึ่งอาทิตย์ได้ ผมไม่เพียงสามารถไขความลับในนั้นได้ แต่ยังเริ่มฝึกแล้วด้วย

ความแตกต่างแบบนี้ จะทําให้อาจารย์ใจเย็นหรือไม่ตกใจได้ยังไง

“ฮ่าๆๆ อาจารย์ ที่จริงมันก็ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนเจอวิธีหรอก เมื่อคืนผมไปป่ากุยหม่ามา ผมเอาเจ้านี้ออกมาให้ยายโม่ดู……” ผมพูดเบาๆ

พออาจารย์ได้ยินคําว่า “ยายโม่” เขาก็ขมวดคิ้วทันที “พี่ พี่สาวคนนั้นนะเหรอ”

“อ๋อ ! ใช่ เธอนั่นแหละ สุดท้ายเธอเพิ่งมองมัน ก็เห็นความพิเศษของเจ้าเกล็ดสีม่วงทองอันนี้ทันที……”

ต่อจากนั้น ผมก็เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้อาจารย์ฟังทั้งหมด

หลังฟังจบ อาจารย์ก็ดูตกใจมาก

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า เจ้าของที่เขาเห็นเป็นของล้ําค่ามาโดยตลอด จะต้องใช้การดํารงอยู่ของสองสิ่งที่ไม่เหมือนกันมาประสานเข้าด้วยกัน ถึงจะไขความลับในนั้นได้

แต่ความพิเศษของเจ้าเกล็ดสีม่วงทองอันนี้ ไม่เคยออกมาแสดงต่อหน้าอาจารย์หรือคนรุ่นก่อนหน้านี้มาก่อน เลยไม่ต้องพูดถึงเรื่องร่วมมือกับสิ่งมีชีวิตธาตุหยินเลย

ดังนั้น ก่อนหน้านี้ เลยไม่มีใครค้นพบความลับนี้ นอกจากศิษย์พี่คนนั้นของผม

“เอ้ย ! สงสัยมันจะเป็นโชคชะตา เสี่ยวฝาน แกฉลาดมีพรสวรรค์ แถมยังมีโชคชะตาที่ไม่ธรรมดา ถึงเจ้าศิษย์พี่ของเจ้าคนนั้น จะห่างไกลจากเจ้ามาก ตอนนั้นนะถึงเขาจะเริ่มฝึกวิชานี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยมาเล่าให้อาจารย์ฟัง ยิ่งทําตัวห่างเหินกับอาจารย์มากกว่าเดิม จนกระทั่งวันที่ใจเปลี่ยนไปเยอะแล้ว ทุกอย่างก็สายไปแล้ว” อาจารย์พูดด้วยน้ําเสียงท้อแท้

แต่ผมกลับลงมาจากเตียง หยิบกระดาษที่จดคําอธิบายและภาพการเดินลมปราณเอาไว้ มายื่นให้อาจารย์ อาจารย์ นี่เป็นสิ่งที่ผมจดเอาไว้ เราศิษย์อาจารย์มาฝึกด้วยกันเถอะ ! ถึงตอนนี้จะมีเนื้อหาแค่หนึ่งในสาม

แต่การเดินลมปราณนี้ยากมาก ไม่มีทางฝึกภาพนี้สําเร็จได้ในเวลาสั้นๆแน่”

อาจารย์มือสัน มองภาพเดินลมปราณที่อยู่บนกระดาษ เขาซาบซึ้งมาก

เขาหายใจแรงๆ “นี่ นี่ก็คือ นี่ก็คือวิชาเฟินเทียนกง ภาพการเคลื่อนลมปราณของวิชาเฟินเทียนกงเหรอ ?”

ขณะพูด อาจารย์ก็เอามือลูบภาพวาดและตัวอักษรพวกนั้น

พอเห็นท่าทางตื่นเต้นและดีใจของอาจารย์ ผมก็ฉีกยิ้มออกมาทันที “อาจารย์ นี่เป็นแผ่นแรก ผมจําได้หมดแล้ว อาจารย์เอาไปฝึกเถอะ”

อาจารย์มองภาพการเดินลมปราณในกระดาษแผ่นแรก เขาจับมันจนแทบไม่อยากวาง จากนั้นก็มองผมแล้วถอนหายใจออกมา “ แม้แต่พรสวรรค์แบบแก ฝึกมาทั้งคืนก็ผ่านไปได้แค่สองจุด คนแก่อย่างอาจารย์ ใช้ทั้งชีวิตก็คงฝึกไม่สําเร็จ”

คราวนี้อาจารย์ไม่ได้พูดโม้กับผมอีก

อาจารย์มีพรสวรรค์เหมือนคนปกติ เขาฝึกมานานขนาดนี้ ก็ยังเพิ่งถึงเต้าซื้อขั้นกลางอยู่เลย

มันแทบจะเป็นเวลา 50 ปีสําหรับอาจารย์ แต่พอมาเทียบกับผม ผมกลับใช้เวลาแค่หนึ่งปี ก็มาถึงเต้าฉือขั้นสุดแล้ว และยังเริ่มแตะเขตขั้นเต้าชื่อแล้ว

พรสวรรค์ของผมกับอาจารย์ เป็นอะไรที่เรียกว่าอยู่กันคนละระดับ

ดังนั้นอาจารย์ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา เขาเองก็เข้าใจพรสวรรค์ของตัวเองดี

แต่ผมกลับไม่คิดอย่างงั้น “อาจารย์ รับไปก่อน มันอาจสําเร็จก็ได้ !”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset