ตอนที่ 439 ฝึกยาก
ที่จริงอาจารย์ก็อยากฝึกวิชาเฟินเทียนกง เพียงแต่เป็นเพราะกลัวความสามารถของตัวเองไม่พอ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
แต่หลังจากได้ยินผมพูดแบบนั้น อาจารย์ก็ขมวดคิ้ว ทําใจแข็งขึ้นมาทันที “ตกลง ! วันนี้อาจารย์ไม่เปิดร้านแล้ว มาลองฝึกกัน”
ผมกับอาจารย์ยิ้มให้กัน จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง
ระหว่างกินข้าวเช้า ผมเอาตัวอักษรพวกนั้นให้อาจารย์ดู
ผลลัพธ์อาจารย์เองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เหตุผลแรกมันเป็นตัวเต็ม และเป็นเพราะอักษรบางตัวเป็นของที่โบราณมากอะไรประมาณนั้น พวกเราเลยอ่านไม่ออกกันสักคน
ดังนั้นสําหรับเจ้าสิ่งนี้ ค่อยหาคนที่เข้าใจมาแปลให้พวกเราในวันหลัง
ต่อจากนั้น หลังจากที่ผมจุดธูปให้น้องศพและเผ่าจิ้งจอกแล้ว แต่ละคนก็กลับเข้าไปฝึกในห้องของตัวเอง
ผมจําการเคลื่อนลมปราณทั้ง 38 จุดได้แล้ว ตอนนี้นั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วเริ่มเคลื่อนลมปราณไปทีละขั้นตอน
ถึงจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเลือดร้อนมาก ตื่นเต้นสุดๆ
เนื่องจากนี้คือวิชาใหม่ และยังเป็นวิชาที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
สําหรับคนอื่นของสิ่งนี้อาจดูไม่มีประโยชน์ แต่สําหรับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา หรือคนที่บําเพ็ญอย่างพวกเรา มันเป็นถึงของล้ําค่าที่ตีราคาไม่ได้
ในมือมีของล้ําค่าที่ตราคาไม่ได้อยู่ แล้วผมจะมีอารมณ์อยากนอนอีกงั้นเหรอ ?
ผมลองครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า
ผมทําซ้ําๆแบบนี้ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว
พอรู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกเหนื่อยมาก พยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถึงได้พบว่าตอนนี้เป็นเวลาช่วงหัวค่ําแล้ว
ผมถอนหายใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะใช้ช่วงเวลาในหนึ่งวันผ่านไปแบบนี้
แต่ผมก็ยังเคลื่อนลมปราณผ่านจุดทั้งหมดไม่ได้ แต่หลังจากใช้ช่วงเวลาทั้งเช้าแล้ว ผมกลับเลื่อนจากสี่จุด เป็นแปดจุดแล้ว
ถ้ายึดตามความเร็วนี้ อย่างมากที่สุดต้องใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ ผมถึงจะฝึกครบทั้งหมด
ขอแค่ฝึกการเคลื่อนลมปราณภาพแรกเสร็จ มันก็จะแสดงให้เห็นก้าวแรกในการฝึกวิธีเคลื่อนลมปราณและวิธีใช้วิชาเป็นเทียนกง
ต่อไปขอแค่ฝึกฝนมากกว่าเดิม ฝึกให้ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม หลังจากฝึกจนคุ้นชินแล้ว ค่อยเลื่อนไปฝึกอีกภาพหนึ่ง
ผมยืดตัว สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยแล้ว
ผมเดินออกมาจากห้อง เห็นอาจารย์ยังฝึกอยู่ในห้องตัวเอง ผมเลยไม่ได้ไปรบกวนเขา
ผมจึงเดินไปอาบน้ํา หลังจากนั้นก็สั่งบะหมี่มากิน
แต่ผมเพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งชาม จู่ๆอาจารย์ที่อยู่ในห้องก็ส่งเสียง “อั่ก” หลังจากนั้นก็เป็นเสียงไอเร็วๆ
“แค่กๆๆ !”
ในใจผมมีเสียงดัง “ปึ๊ก” รีบหันไปมองทันที “อาจารย์”
ส่วนอาจารย์ที่อยู่ในห้อง ยังไออยู่เหมือนเดิม เหมือนอาจารย์กําลังทรมานมาก
ผมเริ่มร้อนใจลากเก้าอี้ไปข้างหลัง จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องอาจารย์ทันที
พอมาถึงห้องอาจารย์ ผมกลับพบว่าปากอาจารย์เต็มไปด้วยเลือด ตอนนี้เขากําลังนั่งไออยู่บนเตียง
สีหน้าแย่มาก ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นอะไรไป ถึงได้ไอเป็นเลือดแบบนี้
“อาจารย์ อาจารย์เป็นอะไรไป ?” ผมรีบวิ่งมาตรงหน้าอาจารย์ จากนั้นก็เอามือตบหลังอาจารย์
ช่วยลดทรมานจากการไอให้เขา
อาจารย์พูดไม่ได้อยู่พักหนึ่ง พอผ่านไปพักใหญ่ ไอออกมาหลายครั้งแล้ว อาจารย์ถึงพูดออกมาช้าๆ
“เสี่ยว เสี่ยวฝาน”
“อาจารย์ผมอยู่นี่ !” ผมรีบขานรับ
อาจารย์หอบหายใจ “วิชาฝึกพลังนี่ วิชาฝึกพลังนอาจารย์ฝึก ฝึกไม่ได้ !”
“ทําไมละอาจารย์ ?” ผมไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะฝึกวิชาเฟินเทียนกงงั้นเหรอ เขาถึงได้ไอเป็นเลือดแบบนี้
“ วิชาเคลื่อนพลังนี่รุนแรงมาก อาจารย์ อาจารย์อายุมากแล้ว เลือดลมไม่ค่อยดีแล้ว บวกกับแคกๆๆๆ
บวกกับความสามารถไม่พอ ผืนฝึกวิชานี้ จนเกือบทําให้ธาตุไฟเข้าแทรก เลือดลมตีขึ้น ถึงได้ไอเป็นเลือด ” หลังจากพูดจบ อาจารย์ยังไออีกสองสามครั้ง
พอเห็นท่าทางทรมานของอาจารย์ ผมก็คิดว่าอาจารย์ไม่เหมาะกับวิชานี้จริงๆ
หลังจากรอให้อาจารย์ดีขึ้นมาพักนึง ผมก็ได้ยินเขาพูดกับผมอีกครั้ง “ เสี่ยวฝาน แกฝึกไปถึงไหนแล้ว
ผ่านไปถึงจุดไหนได้แล้ว ? ”
“แปดครับอาจารย์” ผมพูดตามตรง
อาจารย์พยักหน้า “ไม่เลว อาจารย์ลองฝึกตามภาพแล้ว แต่ยังควบคุมลมปราณให้เคลื่อนไปสองจุดไม่ได้เลย แถมยังเจ็บตัวอีกต่างหาก ส่วนแกกลับควบคุมไปถึงจุดที่แปดแล้ว แกนี่มันเก่งจริงๆ ต่อไปตั้งใจฝึกให้ดีๆ อย่าทิ้งพรสวรรค์ที่ดีถึงขนาดนี้ แกดูอาจารย์…..”
พอพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ก็มองเลือดที่ตัวเองสําลักออกมา แล้วฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้
ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้แรงๆเท่านั้น
ตอนนี้ดูเหมือน วิชาเฟินเทียนกงไม่ใช่แค่ฝึกยากอย่างเดียว แต่เมื่อคนธรรมดาฝึกแล้วยังต้องบาดเจ็บด้วย
ต่อจากนั้น ผมก็ช่วยเก็บกวาดทําความสะอาดให้อาจารย์ หาอะไรให้เขากิน แล้วสุดท้ายก็ประคองเขาไปนอนพัก
อาจารย์ฝึกจนบาดเจ็บ ตัวผมเลยรู้สึกผิดหน่อยๆ เพราะตัวเองเป็นคนเอาวิชาเฟินเทียนกงไปให้อาจารย์ฝึก
ที่จริงผมเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของอาจารย์
เพราะเรื่องนี้ คืนนั้นผมเลยไม่มีอารมณ์ฝึกต่อ โชคดีที่พอเข้าไปนอนแล้วผมก็เริ่มง่วงทันที
ผลลัพธ์หลังจากหลับไปแล้ว ผมกลับฝันถึงเรื่องที่แปลกมากๆ
ภายใต้สติที่ลางเลือน เหมือนผมจะได้มาอยู่ในสถานที่มืดมากๆแห่งหนึ่ง
ผ่านไปนานแสนนาน ทันใดนั้นผมก็เห็นห่างออกไปมีไฟสีเขียวกําลังลุกโชนอยู่
ผมอยากเข้าไปใกล้ ผลลัพธ์ภาพตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปทันที จู่ๆผมก็มาอยู่ในกองไฟสีเขียวอันนั้น
ผมยืนอยู่ในเปลวไฟ รู้สึกกดดันสุดๆ เหมือนมีความน่าสยดสยองบางอย่างที่ทําให้ผมรู้สึกทรมานมาก
ผมอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนั้นนานมาก แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีลูกไฟรูปหัวบางอย่างที่ใหญ่มากๆ โผล่ออกมา
เจ้าหัวอันนั้นมีรูปร่างเหมือนสิงโต มีเขา มีเครา และยังมีเกล็ดด้วย ไม่รู้ว่ามันคือสัตว์ประหลาดอะไร
แต่เจ้าหัวประหลาดนั้นเพิ่งโผล่ออกมา มันก็อ้าปากคํารามดัง “โฮก” แล้วทําท่าจะเข้ามากัดผม
พอเห็นถึงตรงนี้ ผมก็กลัวมาก จนอดตะโกนออกมาไม่ได้ “ไม่…….”
ผลลัพธ์เพิ่งตะโกนออกมา ผมก็ลืมตาขึ้น และลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที
ตอนนี้ฟ้าสางแล้ว
ผมถึงได้รู้ตัวว่า มันเป็นแค่ความฝัน
ผมยังอยู่บนเตียง ที่นี่ยังเป็นห้องของผม
ทุกอย่างที่อยู่ในความฝัน หายไปหมดแล้ว เจ้าหัวมหึมานั่นไม่เคยมีอยู่จริง
ทันใดนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา เอนตัวไปนั่งพิงหัวเตียง เอาบุหรี่ออกมาจุดจิตใต้สํานึกบอกให้หันไปมองเกล็ดสีม่วงทองที่อยู่บนหัวเตียง
ผมใช้มือลูบมันสองสามครั้ง เก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงได้ลุกไปใส่เสื้อผ้า
พอเดินออกไปนอกห้อง อาจารย์เองก็ตื่นแล้ว วันนี้สีหน้าของเขาดูดีกว่าเมื่อวานเยอะ
อาจารย์เห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดี เลยคิดว่าเมื่อคืนผมเอาแต่ฝึกไม่ยอมนอนอีกแล้ว เลยบอกให้ผมพักผ่อนสักสองวัน ไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น การรับฝึกก็เป็นข้อห้ามอย่างหนึ่ง
มันต้องใช้ความพยายามและใจที่ยึดมั่น ค่อยๆเป็นค่อยไป
ผมฉีกยิ้มให้อาจารย์ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าผมฝันร้าย
ในเวลาเดียวกัน ผมเองก็คิดว่า ช่วงหลายวันมานี้ผมเอาแต่ฝึก เอาแต่คิด
จิตใจเหนื่อยล้า ร่างกายเองก็เริ่มรับไม่ค่อยไหว ผมเลยวางแผนว่าจะหาเวลาพักผ่อนให้กับตัวเอง
ด้วยเหตุนี้ ผมเลยบอกอาจารย์ ว่าจะเข้าไปในเมือง
เพราะสัญญากับเสียวม่านไว้ ว่าจะเลี้ยงหนังเธอ
อาจารย์ไม่ได้สนใจผม เพียงบอกให้ผมระวังตัวดีๆ กลับมาให้เร็วๆหน่อย
ต่อจากนั้น ผมก็หยิบกุญแจขับรถตรงเข้าเมืองทันที……