ศพ – ตอนที่ 439 ฝึกยากอ

ตอนที่ 439 ฝึกยาก

ที่จริงอาจารย์ก็อยากฝึกวิชาเฟินเทียนกง เพียงแต่เป็นเพราะกลัวความสามารถของตัวเองไม่พอ ไม่เชื่อมั่นในตัวเอง

แต่หลังจากได้ยินผมพูดแบบนั้น อาจารย์ก็ขมวดคิ้ว ทําใจแข็งขึ้นมาทันที “ตกลง ! วันนี้อาจารย์ไม่เปิดร้านแล้ว มาลองฝึกกัน”

ผมกับอาจารย์ยิ้มให้กัน จากนั้นก็เดินออกไปนอกห้อง

ระหว่างกินข้าวเช้า ผมเอาตัวอักษรพวกนั้นให้อาจารย์ดู

ผลลัพธ์อาจารย์เองก็ไม่รู้จักเหมือนกัน เหตุผลแรกมันเป็นตัวเต็ม และเป็นเพราะอักษรบางตัวเป็นของที่โบราณมากอะไรประมาณนั้น พวกเราเลยอ่านไม่ออกกันสักคน

ดังนั้นสําหรับเจ้าสิ่งนี้ ค่อยหาคนที่เข้าใจมาแปลให้พวกเราในวันหลัง

ต่อจากนั้น หลังจากที่ผมจุดธูปให้น้องศพและเผ่าจิ้งจอกแล้ว แต่ละคนก็กลับเข้าไปฝึกในห้องของตัวเอง

ผมจําการเคลื่อนลมปราณทั้ง 38 จุดได้แล้ว ตอนนี้นั่งท่าขัดสมาธิอยู่บนเตียง แล้วเริ่มเคลื่อนลมปราณไปทีละขั้นตอน

ถึงจะไม่ได้นอนมาทั้งคืน แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกเลือดร้อนมาก ตื่นเต้นสุดๆ

เนื่องจากนี้คือวิชาใหม่ และยังเป็นวิชาที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

สําหรับคนอื่นของสิ่งนี้อาจดูไม่มีประโยชน์ แต่สําหรับคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา หรือคนที่บําเพ็ญอย่างพวกเรา มันเป็นถึงของล้ําค่าที่ตีราคาไม่ได้

ในมือมีของล้ําค่าที่ตราคาไม่ได้อยู่ แล้วผมจะมีอารมณ์อยากนอนอีกงั้นเหรอ ?

ผมลองครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วก็ล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่า

ผมทําซ้ําๆแบบนี้ จนไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนแล้ว

พอรู้ตัวอีกทีผมก็รู้สึกเหนื่อยมาก พยายามลืมตาขึ้นอีกครั้ง ถึงได้พบว่าตอนนี้เป็นเวลาช่วงหัวค่ําแล้ว

ผมถอนหายใจ คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะใช้ช่วงเวลาในหนึ่งวันผ่านไปแบบนี้

แต่ผมก็ยังเคลื่อนลมปราณผ่านจุดทั้งหมดไม่ได้ แต่หลังจากใช้ช่วงเวลาทั้งเช้าแล้ว ผมกลับเลื่อนจากสี่จุด เป็นแปดจุดแล้ว

ถ้ายึดตามความเร็วนี้ อย่างมากที่สุดต้องใช้เวลาประมาณสองอาทิตย์กว่าๆ ผมถึงจะฝึกครบทั้งหมด

ขอแค่ฝึกการเคลื่อนลมปราณภาพแรกเสร็จ มันก็จะแสดงให้เห็นก้าวแรกในการฝึกวิธีเคลื่อนลมปราณและวิธีใช้วิชาเป็นเทียนกง

ต่อไปขอแค่ฝึกฝนมากกว่าเดิม ฝึกให้ลึกลงไปยิ่งกว่าเดิม หลังจากฝึกจนคุ้นชินแล้ว ค่อยเลื่อนไปฝึกอีกภาพหนึ่ง

ผมยืดตัว สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยแล้ว

ผมเดินออกมาจากห้อง เห็นอาจารย์ยังฝึกอยู่ในห้องตัวเอง ผมเลยไม่ได้ไปรบกวนเขา

ผมจึงเดินไปอาบน้ํา หลังจากนั้นก็สั่งบะหมี่มากิน

แต่ผมเพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งชาม จู่ๆอาจารย์ที่อยู่ในห้องก็ส่งเสียง “อั่ก” หลังจากนั้นก็เป็นเสียงไอเร็วๆ

“แค่กๆๆ !”

ในใจผมมีเสียงดัง “ปึ๊ก” รีบหันไปมองทันที “อาจารย์”

ส่วนอาจารย์ที่อยู่ในห้อง ยังไออยู่เหมือนเดิม เหมือนอาจารย์กําลังทรมานมาก

ผมเริ่มร้อนใจลากเก้าอี้ไปข้างหลัง จากนั้นก็รีบวิ่งไปที่ห้องอาจารย์ทันที

พอมาถึงห้องอาจารย์ ผมกลับพบว่าปากอาจารย์เต็มไปด้วยเลือด ตอนนี้เขากําลังนั่งไออยู่บนเตียง

สีหน้าแย่มาก ไม่รู้ว่าอาจารย์เป็นอะไรไป ถึงได้ไอเป็นเลือดแบบนี้

“อาจารย์ อาจารย์เป็นอะไรไป ?” ผมรีบวิ่งมาตรงหน้าอาจารย์ จากนั้นก็เอามือตบหลังอาจารย์

ช่วยลดทรมานจากการไอให้เขา

อาจารย์พูดไม่ได้อยู่พักหนึ่ง พอผ่านไปพักใหญ่ ไอออกมาหลายครั้งแล้ว อาจารย์ถึงพูดออกมาช้าๆ

“เสี่ยว เสี่ยวฝาน”

“อาจารย์ผมอยู่นี่ !” ผมรีบขานรับ

อาจารย์หอบหายใจ “วิชาฝึกพลังนี่ วิชาฝึกพลังนอาจารย์ฝึก ฝึกไม่ได้ !”

“ทําไมละอาจารย์ ?” ผมไม่เข้าใจ หรือเป็นเพราะฝึกวิชาเฟินเทียนกงงั้นเหรอ เขาถึงได้ไอเป็นเลือดแบบนี้

“ วิชาเคลื่อนพลังนี่รุนแรงมาก อาจารย์ อาจารย์อายุมากแล้ว เลือดลมไม่ค่อยดีแล้ว บวกกับแคกๆๆๆ

บวกกับความสามารถไม่พอ ผืนฝึกวิชานี้ จนเกือบทําให้ธาตุไฟเข้าแทรก เลือดลมตีขึ้น ถึงได้ไอเป็นเลือด ” หลังจากพูดจบ อาจารย์ยังไออีกสองสามครั้ง

พอเห็นท่าทางทรมานของอาจารย์ ผมก็คิดว่าอาจารย์ไม่เหมาะกับวิชานี้จริงๆ

หลังจากรอให้อาจารย์ดีขึ้นมาพักนึง ผมก็ได้ยินเขาพูดกับผมอีกครั้ง “ เสี่ยวฝาน แกฝึกไปถึงไหนแล้ว

ผ่านไปถึงจุดไหนได้แล้ว ? ”

“แปดครับอาจารย์” ผมพูดตามตรง

อาจารย์พยักหน้า “ไม่เลว อาจารย์ลองฝึกตามภาพแล้ว แต่ยังควบคุมลมปราณให้เคลื่อนไปสองจุดไม่ได้เลย แถมยังเจ็บตัวอีกต่างหาก ส่วนแกกลับควบคุมไปถึงจุดที่แปดแล้ว แกนี่มันเก่งจริงๆ ต่อไปตั้งใจฝึกให้ดีๆ อย่าทิ้งพรสวรรค์ที่ดีถึงขนาดนี้ แกดูอาจารย์…..”

พอพูดถึงตรงนี้ อาจารย์ก็มองเลือดที่ตัวเองสําลักออกมา แล้วฝืนยิ้มอย่างช่วยไม่ได้

ผมไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้าให้แรงๆเท่านั้น

ตอนนี้ดูเหมือน วิชาเฟินเทียนกงไม่ใช่แค่ฝึกยากอย่างเดียว แต่เมื่อคนธรรมดาฝึกแล้วยังต้องบาดเจ็บด้วย

ต่อจากนั้น ผมก็ช่วยเก็บกวาดทําความสะอาดให้อาจารย์ หาอะไรให้เขากิน แล้วสุดท้ายก็ประคองเขาไปนอนพัก

อาจารย์ฝึกจนบาดเจ็บ ตัวผมเลยรู้สึกผิดหน่อยๆ เพราะตัวเองเป็นคนเอาวิชาเฟินเทียนกงไปให้อาจารย์ฝึก

ที่จริงผมเองก็ต้องมีส่วนรับผิดชอบอาการบาดเจ็บของอาจารย์

เพราะเรื่องนี้ คืนนั้นผมเลยไม่มีอารมณ์ฝึกต่อ โชคดีที่พอเข้าไปนอนแล้วผมก็เริ่มง่วงทันที

ผลลัพธ์หลังจากหลับไปแล้ว ผมกลับฝันถึงเรื่องที่แปลกมากๆ

ภายใต้สติที่ลางเลือน เหมือนผมจะได้มาอยู่ในสถานที่มืดมากๆแห่งหนึ่ง

ผ่านไปนานแสนนาน ทันใดนั้นผมก็เห็นห่างออกไปมีไฟสีเขียวกําลังลุกโชนอยู่

ผมอยากเข้าไปใกล้ ผลลัพธ์ภาพตรงหน้ากลับเปลี่ยนไปทันที จู่ๆผมก็มาอยู่ในกองไฟสีเขียวอันนั้น

ผมยืนอยู่ในเปลวไฟ รู้สึกกดดันสุดๆ เหมือนมีความน่าสยดสยองบางอย่างที่ทําให้ผมรู้สึกทรมานมาก

ผมอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมแบบนั้นนานมาก แต่แล้วทันใดนั้นเองก็มีลูกไฟรูปหัวบางอย่างที่ใหญ่มากๆ โผล่ออกมา

เจ้าหัวอันนั้นมีรูปร่างเหมือนสิงโต มีเขา มีเครา และยังมีเกล็ดด้วย ไม่รู้ว่ามันคือสัตว์ประหลาดอะไร

แต่เจ้าหัวประหลาดนั้นเพิ่งโผล่ออกมา มันก็อ้าปากคํารามดัง “โฮก” แล้วทําท่าจะเข้ามากัดผม

พอเห็นถึงตรงนี้ ผมก็กลัวมาก จนอดตะโกนออกมาไม่ได้ “ไม่…….”

ผลลัพธ์เพิ่งตะโกนออกมา ผมก็ลืมตาขึ้น และลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที

ตอนนี้ฟ้าสางแล้ว

ผมถึงได้รู้ตัวว่า มันเป็นแค่ความฝัน

ผมยังอยู่บนเตียง ที่นี่ยังเป็นห้องของผม

ทุกอย่างที่อยู่ในความฝัน หายไปหมดแล้ว เจ้าหัวมหึมานั่นไม่เคยมีอยู่จริง

ทันใดนั้นผมก็ถอนหายใจออกมา เอนตัวไปนั่งพิงหัวเตียง เอาบุหรี่ออกมาจุดจิตใต้สํานึกบอกให้หันไปมองเกล็ดสีม่วงทองที่อยู่บนหัวเตียง

ผมใช้มือลูบมันสองสามครั้ง เก็บอย่างระมัดระวัง จากนั้นถึงได้ลุกไปใส่เสื้อผ้า

พอเดินออกไปนอกห้อง อาจารย์เองก็ตื่นแล้ว วันนี้สีหน้าของเขาดูดีกว่าเมื่อวานเยอะ

อาจารย์เห็นสีหน้าผมไม่ค่อยดี เลยคิดว่าเมื่อคืนผมเอาแต่ฝึกไม่ยอมนอนอีกแล้ว เลยบอกให้ผมพักผ่อนสักสองวัน ไม่ต้องฝืนตัวเองขนาดนั้น การรับฝึกก็เป็นข้อห้ามอย่างหนึ่ง

มันต้องใช้ความพยายามและใจที่ยึดมั่น ค่อยๆเป็นค่อยไป

ผมฉีกยิ้มให้อาจารย์ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าผมฝันร้าย

ในเวลาเดียวกัน ผมเองก็คิดว่า ช่วงหลายวันมานี้ผมเอาแต่ฝึก เอาแต่คิด

จิตใจเหนื่อยล้า ร่างกายเองก็เริ่มรับไม่ค่อยไหว ผมเลยวางแผนว่าจะหาเวลาพักผ่อนให้กับตัวเอง

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยบอกอาจารย์ ว่าจะเข้าไปในเมือง

เพราะสัญญากับเสียวม่านไว้ ว่าจะเลี้ยงหนังเธอ

อาจารย์ไม่ได้สนใจผม เพียงบอกให้ผมระวังตัวดีๆ กลับมาให้เร็วๆหน่อย

ต่อจากนั้น ผมก็หยิบกุญแจขับรถตรงเข้าเมืองทันที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset