ศพ – ตอนที่ 45 อั่งเปาก้อนโต

เสียง “ขอบคุณมากค่ะ” ดังเบามาก แต่ผมมั่นใจ ว่าคนที่พูดจะต้องเป็นคุณหนูเหวินอย่างแน่นอน

ตอนนี้เถ้ากระดูกของคุณหนูเหวินถูกฝังอย่างสงบแล้ว ส่วนผู้บงการทำร้ายเธอ เมื่อคืนก็ถูกคุณหนูเหวินลงโทษเรียบร้อย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง

ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอดีตทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหวินอีกแล้ว

คุณหนูเหวินเองก็สามารถจากโลกนี้ ไปลงนรก และเกิดใหม่ได้อีกครั้ง

แม้จะมองไม่เห็นคุณหนูเหวิน แต่ตอนที่ได้ยินคำว่า “ขอบคุณมากค่ะ” มันทำให้ผมซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นหัวใจมาก

 

ผมดีใจมาก เพราะพวกเราช่วยวิญญาณผีสาวไว้ได้

ถ้าไม่มีพวกเรา คุณหนูเหวินคงกลายเป็นทาสของผีชั่วอย่างสมบูรณ์ เป็นผีร้ายที่เอาแต่รับคำสั่ง

ผมมองที่หลุมศพของคุณหนูเหวินอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ท่าทางของคุณเหวินและภรรยาค่อนข้างอาการหนัก คุณนายเหวินกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง

ต่อมา พวกเรายังอยู่ที่นี่ต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ออกจากที่นี่พร้อมกับคุณเหวินและภรรยา

หลังออกมาจากสุสาน คุณเหวินมอบซองให้พวกเราทุกคนคนละหนึ่งซอง ด้านในเป็นค่าตอบแทนของพวกเรา

 

หลังจากที่เขาให้ค่าตอบแทนกับพวกเรา ก็ยังพูดขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ขึ้นรถและออกไปจากที่นี่ทันที

เมื่อเห็นคุณเหวินจากไป ผมก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยจึงเปิดซองดู

พบว่าด้านในซอง มีเงินจำนวน 2,000 หยวน

นี่เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ถ้าพูดกันตามปกติ จากดูแลงานศพหนึ่งงาน จะได้ค่าตอบแทนประมาณ 500-1,000 หยวนเท่านั้น

แต่ถ้าเจอลูกค้ารายใหญ่หน่อย ก็ได้ไม่ถึง 2,000 หยวนอยู่ดี

แต่คุณเหวินคนนี้ ไม่เพียงให้เงิน 2,000 หยวนกับผมแค่คนเดียว แต่ยังมีอาจารย์ นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานด้วย

 

วินาทีที่ผมเห็น ทั้งตัวของผมก็ตื่นตัวทันที

ส่วนอาจารย์และนักพรตตู๋ ก็เปิดดูค่าตอบแทนของตัวเองเช่นกัน พวกเขาต่างได้เงินคนละ 15,000 หยวน

เนื่องจากผมและเฟิงเฉ่วหานเป็นลูกศิษย์ จึงได้เงินแค่ 2,000 หยวน

แต่ถ้าพูดอีกแบบ พิธีกราบไหว้ฟ้าดินทั้งสามวันนี้ คุณเหวินก็ให้ค่าตอบแทนกับพวกเราถึง 34,000 หยวนเชียวนะ และยังกินฟรีอยู่ฟรี สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นเจ้าบ้านที่ใจดีมาก

แน่นอน ว่าเงินก้อนนี้กับข้อเสนอที่คุณเหวินให้ผมเปิดตาให้เขา เพื่อจะได้มองเห็นลูกสาวของตัวเองนั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

แต่ผมคนนี้ไม่ใช่คนโลภ ดังนั้นเงินจำนวน 2,000 หยวนนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีมากแล้ว

 

ถ้าให้ทำเรื่องต้องห้าม ถึงจะให้เงินเยอะแค่ไหน ผมก็ไม่ทำ ผมไม่กล้าทำน่ะ!

หลังจากเก็บเงินค่าตอบแทนก้อนแรกจากการทำงานข้างนอกเรียบร้อย ผมก็พูดกับอาจารย์และนักพรตตู๋ว่า “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ วิญญาณของคุณหนูเหวินก็สงบแล้ว แล้วตอนนี้พวกเราจะไปป่าช้าเก่าจริงเหรอครับ”

แต่อาจารย์กลับโบกมือ “นี่มันยังเร็วเกินไป ถ้ารีบไปแบบนี้ พวกเราจะไม่ได้อะไร และอีกอย่าง เหล่าฉินของแกยังไม่มาเลย!”

“อือ พวกเราไปหาที่พักรอก่อน จากนั้นก็กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” นักพรตตู๋เองก็พูดเสริม

 

เมื่อได้ยินตาแก่สองคนพูดขนาดนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่พูดไร้สาระต่อ

เพราะที่นี่คือสุสาน ดังนั้นรอบๆนอกจากจะมีร้านขายธูปและกระดาษเงินกระดาษทอง ก็ไม่มีร้านขายอาหารเลยสักเจ้า

จากนั้นพวกเราก็นั่งรถตู้สีดำเข้าไปในเมือง มองหาที่พักที่ไหนสักแห่ง กินอะไรสักหน่อย จากนั้นเมื่อถึงตอนกลางคืนพวกเราก็ค่อยออกไปที่ป่าช้าเก่ากัน

หลังจากลงรถ พวกเราก็พบว่าเหล่าฉินมาถึงก่อนแล้ว

รู้ว่าพวกเรายังไม่ได้กินอะไร จึงสั่งอาหารรออยู่ในร้าน

พึ่งเข้ามาในร้านอาหารเท่านั้น เหล่าฉินก็เห็นพวกเรา “อยู่นี่ นั่งตรงนี้!”

 

ทุกคนมองเหล่าฉินแวบนึง จากนั้นก็เข้าไปหาทันที

พึ่งนั่งลง เหล่าฉินก็รีบพูดออกมาทันที “สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบเรียกฉันมาแบบนี้ !”

เหล่าฉินขมวดคิ้ว เมื่อนักพรตตู๋ได้ยินเขาก็พูดออกมาตรงๆ “ศิษย์พี่ ในละแวกนี้มีผีชั่วตนหนึ่งออกอาละวาด และยังมีหมอผีอีกคนหนึ่ง”

“พวกแกไม่ได้ไปดูแลงานศพรึไง แล้วทำไมไปเจอเรื่องแบบนี้ได้ละ พูดให้ละเอียดหน่อย……” เหล่าฉินพูดต่อ

เพราะเมื่อเช้าตอนคุยโทรศัพท์อาจารย์และนักพรตตู๋ไม่ได้พูดให้ละเอียด บอกแค่ว่าฝั่งของพวกเราเจอเรื่องยุ่งยากเข้า และต้องการความช่วยเหลือจากเขา

 

ดังนั้นเหล่าฉินจึงมึนงง ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด

นักพรตตู๋และอาจารย์ไม่ลังเล เริ่มเล่าเรื่องที่เจอในสองสามวันที่ผ่านมาให้เล่าฉินฟังแบบเบาๆ

ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร หิวกันจนจะเป็นลม เพราะไม่ได้กินข้าวเช้าและข้าวเที่ยง

ตอนนี้พวกเราจึงกินกันอย่างมูมมาม หลังจากทั้งสามคนคุยกันเสร็จ ผมสองคนก็เกือบจะอิ่มแล้ว

ตอนนี้เหล่าฉินยกคิ้วขึ้น และด่าออกมาทันที “แม่…ซิ บนโลกของเรายังมีหมอผีชั่วช้าแบบนี้อยู่งั้นเหรอ ไม่ต้องพูดแล้ว กินให้อิ่ม คืนนี้พวกเราจะไปอัดมัน!”

แม้ว่าเหล่าฉินจะเป็นคนเผาศพ แต่ในร่างกายของเขาก็มีความเป็นนักเลงอยู่

 

จะพูดจะทำอะไร ต่างให้ความรู้สึกเหมือนอันธพาลรุ่นเก่า

หลังกินข้าวเสร็จ ก็เป็นบ่ายโมงแล้ว

เนื่องจากป่าช้าเก่าอยู่ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ไม่ไกลมากนัก และพระอาทิตย์ก็กำลังสาดส่อง ถึงจะไปตอนนี้ ก็หาผีชั่วตนนั้นไม่เจออยู่ดี

ดังนั้นพวกเราจึงไปเช่าห้องที่อยู่ใกล้ๆนอนหลับกันสักพัก และวางแผนว่าหลังพระอาทิต์ตกดิน พวกเราค่อยรีบออกเดินทาง

สองสามวันมานี้พวกเราไม่ค่อยได้พักผ่อน โดยเฉพาะตอนกลางคืน

ดังนั้นหลังจากเข้ามาในห้องพัก ก็หลับกันทันที

 

แต่ตอนที่ผมกึ่งหลับกึ่งตื่น กลับได้ยินเสียงฟันกระทบกันจนทำให้ผมตื่น

ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่จากนั้นผมก็พบว่า เฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเป็นคนทำเสียงนั้นขึ้น

ผมตกใจมาก คิดไม่ถึงเจ้าเฟิงเฉ่วหานจะเป็นคนนอนกัดฟัน และเสียงที่ออกมายังดังมากด้วย

ผมขยี้ตา เดินเข้าไปมองเฟิงเฉ่วหานที่อยู่บนเตียง

แต่เมื่อเห็น ผมกลับพบว่าฟันของเฟิงเฉ่วหานไม่ได้กัดกัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลัง “ชัก”

ฉากนั้นเหมือนกับคนที่เป็นลมชัก ไม่ใช่แค่ตัวสั่นไปทั่งตัว ปากของเขายังมีเสียงฟันกระทบกัน “กึกกึกกึก” ตาเหลือก และพ่นฟองน้ำลายขาวๆออกมา

 

จู่ๆก็เห็นฉากนี้ ร่างกายของผมจึงแข็งทื่อไปทันที

จากนั้นเสียงของร่างกายที่กระโดดขึ้นไปบนเตียงก็ดังขึ้น “บึก” ผมตะโกนใส่เฟิงเฉ่วหานด้วยความหวาดกลัว “เฟิงเฉ่วหาน เหล่าเฟิงนายเป็นอะไรไป……”

ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน วินาทีนั้นจึงมึนงงเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะไปเรียกนักพรตตู๋ให้โทรเรียกรถพยาบาล

แต่ทันใดนั้น ผมก็พบว่าเฟิงเฉ่วหานกำลังพยายามมองมาที่ผม จากนั้นปากที่สั่นเทาของเขาก็พูดเสียงติดๆขัดๆออกมา “ยา ยา ใน ในกระเป๋า……”

หลังจากพูดจบ ปากของเขาก็กลับมมามีเสียงฟันกระทบกันอีกครั้ง “กึกกึกกึก”

 

แม้มันจะไม่ชัดเจน แต่ผมก็เข้าใจ

ความหมายของเฟิงเฉ่วหานคือให้ผมไปหยิบยาให้เขา และยานั้นก็อยู่ในกระเป๋านั้นเอง

ผมไม่กล้าลีรอ  รีบวิ่งไปที่กระเป๋าของเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นก็เริ่มค้นหาทันที

สุดท้ายในกระเป๋าชั้นในสุด ก็มีขวดยาสีดำและขาวอยู่สองขวด ด้านบนยังไม่เขียนคำอธิบายใดๆไว้ด้วย

ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร หยิบยาได้ก็รีบวิ่งไปตรงหน้าเฟิงเฉ่วหาน “ขวดไหน”

อาการสั่นของเฟิงเฉ่วหานยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตาทั้งสองข้างพลิกเป็นสีขาว เขายังพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก “ขาว สีขาว หนึ่ง หนึ่งเม็ด……”

 

เมื่อผมเห็นสภาพของเฟิงเฉ่วหาน จึงเกิดความกลัวว่าเขาอาจตายอย่างกระทันหัน

รีบเปิดขวดสีขาว เทยาออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของเฟิงเฉ่วหานทันที

ผมคิดไม่ถึงจริงๆ เฟิงเฉ่วหานทั้งหล่อและเย็นชา จะมีโรคติดตัวได้แบบนี้……

แต่ตอนนั้นผมไม่รู้อะไร คิดว่าเป็นโรคบางอย่าง แต่มันไม่ใช่โรคเลยสักนิด

แต่ตอนนั้นเฟิงเฉ่วหานเอง ก็ไม่อาจพูดความลับที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset