เสียง “ขอบคุณมากค่ะ” ดังเบามาก แต่ผมมั่นใจ ว่าคนที่พูดจะต้องเป็นคุณหนูเหวินอย่างแน่นอน
ตอนนี้เถ้ากระดูกของคุณหนูเหวินถูกฝังอย่างสงบแล้ว ส่วนผู้บงการทำร้ายเธอ เมื่อคืนก็ถูกคุณหนูเหวินลงโทษเรียบร้อย ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นตายร้ายดียังไง
ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปอดีตทั้งหมดที่อยู่บนโลกใบนี้ ก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณหนูเหวินอีกแล้ว
คุณหนูเหวินเองก็สามารถจากโลกนี้ ไปลงนรก และเกิดใหม่ได้อีกครั้ง
แม้จะมองไม่เห็นคุณหนูเหวิน แต่ตอนที่ได้ยินคำว่า “ขอบคุณมากค่ะ” มันทำให้ผมซึ้งใจจนพูดอะไรไม่ออก มันเป็นความรู้สึกที่อบอุ่นหัวใจมาก
ผมดีใจมาก เพราะพวกเราช่วยวิญญาณผีสาวไว้ได้
ถ้าไม่มีพวกเรา คุณหนูเหวินคงกลายเป็นทาสของผีชั่วอย่างสมบูรณ์ เป็นผีร้ายที่เอาแต่รับคำสั่ง
ผมมองที่หลุมศพของคุณหนูเหวินอีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ท่าทางของคุณเหวินและภรรยาค่อนข้างอาการหนัก คุณนายเหวินกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่เธอเริ่มร้องไห้อีกครั้ง
ต่อมา พวกเรายังอยู่ที่นี่ต่ออีกประมาณครึ่งชั่วโมง จากนั้นก็ออกจากที่นี่พร้อมกับคุณเหวินและภรรยา
หลังออกมาจากสุสาน คุณเหวินมอบซองให้พวกเราทุกคนคนละหนึ่งซอง ด้านในเป็นค่าตอบแทนของพวกเรา
หลังจากที่เขาให้ค่าตอบแทนกับพวกเรา ก็ยังพูดขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ขึ้นรถและออกไปจากที่นี่ทันที
เมื่อเห็นคุณเหวินจากไป ผมก็รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยจึงเปิดซองดู
พบว่าด้านในซอง มีเงินจำนวน 2,000 หยวน
นี่เป็นเงินจำนวนไม่น้อย ถ้าพูดกันตามปกติ จากดูแลงานศพหนึ่งงาน จะได้ค่าตอบแทนประมาณ 500-1,000 หยวนเท่านั้น
แต่ถ้าเจอลูกค้ารายใหญ่หน่อย ก็ได้ไม่ถึง 2,000 หยวนอยู่ดี
แต่คุณเหวินคนนี้ ไม่เพียงให้เงิน 2,000 หยวนกับผมแค่คนเดียว แต่ยังมีอาจารย์ นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานด้วย
วินาทีที่ผมเห็น ทั้งตัวของผมก็ตื่นตัวทันที
ส่วนอาจารย์และนักพรตตู๋ ก็เปิดดูค่าตอบแทนของตัวเองเช่นกัน พวกเขาต่างได้เงินคนละ 15,000 หยวน
เนื่องจากผมและเฟิงเฉ่วหานเป็นลูกศิษย์ จึงได้เงินแค่ 2,000 หยวน
แต่ถ้าพูดอีกแบบ พิธีกราบไหว้ฟ้าดินทั้งสามวันนี้ คุณเหวินก็ให้ค่าตอบแทนกับพวกเราถึง 34,000 หยวนเชียวนะ และยังกินฟรีอยู่ฟรี สามารถพูดได้ว่าเขาเป็นเจ้าบ้านที่ใจดีมาก
แน่นอน ว่าเงินก้อนนี้กับข้อเสนอที่คุณเหวินให้ผมเปิดตาให้เขา เพื่อจะได้มองเห็นลูกสาวของตัวเองนั้น มันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
แต่ผมคนนี้ไม่ใช่คนโลภ ดังนั้นเงินจำนวน 2,000 หยวนนี้ก็ถือว่าเป็นรายได้ที่ดีมากแล้ว
ถ้าให้ทำเรื่องต้องห้าม ถึงจะให้เงินเยอะแค่ไหน ผมก็ไม่ทำ ผมไม่กล้าทำน่ะ!
หลังจากเก็บเงินค่าตอบแทนก้อนแรกจากการทำงานข้างนอกเรียบร้อย ผมก็พูดกับอาจารย์และนักพรตตู๋ว่า “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ วิญญาณของคุณหนูเหวินก็สงบแล้ว แล้วตอนนี้พวกเราจะไปป่าช้าเก่าจริงเหรอครับ”
แต่อาจารย์กลับโบกมือ “นี่มันยังเร็วเกินไป ถ้ารีบไปแบบนี้ พวกเราจะไม่ได้อะไร และอีกอย่าง เหล่าฉินของแกยังไม่มาเลย!”
“อือ พวกเราไปหาที่พักรอก่อน จากนั้นก็กินอะไรสักหน่อยแล้วค่อยคุยกันเถอะ!” นักพรตตู๋เองก็พูดเสริม
เมื่อได้ยินตาแก่สองคนพูดขนาดนี้ ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่พูดไร้สาระต่อ
เพราะที่นี่คือสุสาน ดังนั้นรอบๆนอกจากจะมีร้านขายธูปและกระดาษเงินกระดาษทอง ก็ไม่มีร้านขายอาหารเลยสักเจ้า
จากนั้นพวกเราก็นั่งรถตู้สีดำเข้าไปในเมือง มองหาที่พักที่ไหนสักแห่ง กินอะไรสักหน่อย จากนั้นเมื่อถึงตอนกลางคืนพวกเราก็ค่อยออกไปที่ป่าช้าเก่ากัน
หลังจากลงรถ พวกเราก็พบว่าเหล่าฉินมาถึงก่อนแล้ว
รู้ว่าพวกเรายังไม่ได้กินอะไร จึงสั่งอาหารรออยู่ในร้าน
พึ่งเข้ามาในร้านอาหารเท่านั้น เหล่าฉินก็เห็นพวกเรา “อยู่นี่ นั่งตรงนี้!”
ทุกคนมองเหล่าฉินแวบนึง จากนั้นก็เข้าไปหาทันที
พึ่งนั่งลง เหล่าฉินก็รีบพูดออกมาทันที “สรุปแล้วมันเกิดอะไรขึ้น ถึงได้รีบเรียกฉันมาแบบนี้ !”
เหล่าฉินขมวดคิ้ว เมื่อนักพรตตู๋ได้ยินเขาก็พูดออกมาตรงๆ “ศิษย์พี่ ในละแวกนี้มีผีชั่วตนหนึ่งออกอาละวาด และยังมีหมอผีอีกคนหนึ่ง”
“พวกแกไม่ได้ไปดูแลงานศพรึไง แล้วทำไมไปเจอเรื่องแบบนี้ได้ละ พูดให้ละเอียดหน่อย……” เหล่าฉินพูดต่อ
เพราะเมื่อเช้าตอนคุยโทรศัพท์อาจารย์และนักพรตตู๋ไม่ได้พูดให้ละเอียด บอกแค่ว่าฝั่งของพวกเราเจอเรื่องยุ่งยากเข้า และต้องการความช่วยเหลือจากเขา
ดังนั้นเหล่าฉินจึงมึนงง ไม่เข้าใจอะไรเลยสักนิด
นักพรตตู๋และอาจารย์ไม่ลังเล เริ่มเล่าเรื่องที่เจอในสองสามวันที่ผ่านมาให้เล่าฉินฟังแบบเบาๆ
ผมและเฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร หิวกันจนจะเป็นลม เพราะไม่ได้กินข้าวเช้าและข้าวเที่ยง
ตอนนี้พวกเราจึงกินกันอย่างมูมมาม หลังจากทั้งสามคนคุยกันเสร็จ ผมสองคนก็เกือบจะอิ่มแล้ว
ตอนนี้เหล่าฉินยกคิ้วขึ้น และด่าออกมาทันที “แม่…ซิ บนโลกของเรายังมีหมอผีชั่วช้าแบบนี้อยู่งั้นเหรอ ไม่ต้องพูดแล้ว กินให้อิ่ม คืนนี้พวกเราจะไปอัดมัน!”
แม้ว่าเหล่าฉินจะเป็นคนเผาศพ แต่ในร่างกายของเขาก็มีความเป็นนักเลงอยู่
จะพูดจะทำอะไร ต่างให้ความรู้สึกเหมือนอันธพาลรุ่นเก่า
หลังกินข้าวเสร็จ ก็เป็นบ่ายโมงแล้ว
เนื่องจากป่าช้าเก่าอยู่ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ไม่ไกลมากนัก และพระอาทิตย์ก็กำลังสาดส่อง ถึงจะไปตอนนี้ ก็หาผีชั่วตนนั้นไม่เจออยู่ดี
ดังนั้นพวกเราจึงไปเช่าห้องที่อยู่ใกล้ๆนอนหลับกันสักพัก และวางแผนว่าหลังพระอาทิต์ตกดิน พวกเราค่อยรีบออกเดินทาง
สองสามวันมานี้พวกเราไม่ค่อยได้พักผ่อน โดยเฉพาะตอนกลางคืน
ดังนั้นหลังจากเข้ามาในห้องพัก ก็หลับกันทันที
แต่ตอนที่ผมกึ่งหลับกึ่งตื่น กลับได้ยินเสียงฟันกระทบกันจนทำให้ผมตื่น
ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองหูฝาด แต่จากนั้นผมก็พบว่า เฟิงเฉ่วหานที่กำลังนอนอยู่บนเตียงเป็นคนทำเสียงนั้นขึ้น
ผมตกใจมาก คิดไม่ถึงเจ้าเฟิงเฉ่วหานจะเป็นคนนอนกัดฟัน และเสียงที่ออกมายังดังมากด้วย
ผมขยี้ตา เดินเข้าไปมองเฟิงเฉ่วหานที่อยู่บนเตียง
แต่เมื่อเห็น ผมกลับพบว่าฟันของเฟิงเฉ่วหานไม่ได้กัดกัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลัง “ชัก”
ฉากนั้นเหมือนกับคนที่เป็นลมชัก ไม่ใช่แค่ตัวสั่นไปทั่งตัว ปากของเขายังมีเสียงฟันกระทบกัน “กึกกึกกึก” ตาเหลือก และพ่นฟองน้ำลายขาวๆออกมา
จู่ๆก็เห็นฉากนี้ ร่างกายของผมจึงแข็งทื่อไปทันที
จากนั้นเสียงของร่างกายที่กระโดดขึ้นไปบนเตียงก็ดังขึ้น “บึก” ผมตะโกนใส่เฟิงเฉ่วหานด้วยความหวาดกลัว “เฟิงเฉ่วหาน เหล่าเฟิงนายเป็นอะไรไป……”
ผมไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน วินาทีนั้นจึงมึนงงเล็กน้อย ขณะที่กำลังจะไปเรียกนักพรตตู๋ให้โทรเรียกรถพยาบาล
แต่ทันใดนั้น ผมก็พบว่าเฟิงเฉ่วหานกำลังพยายามมองมาที่ผม จากนั้นปากที่สั่นเทาของเขาก็พูดเสียงติดๆขัดๆออกมา “ยา ยา ใน ในกระเป๋า……”
หลังจากพูดจบ ปากของเขาก็กลับมมามีเสียงฟันกระทบกันอีกครั้ง “กึกกึกกึก”
แม้มันจะไม่ชัดเจน แต่ผมก็เข้าใจ
ความหมายของเฟิงเฉ่วหานคือให้ผมไปหยิบยาให้เขา และยานั้นก็อยู่ในกระเป๋านั้นเอง
ผมไม่กล้าลีรอ รีบวิ่งไปที่กระเป๋าของเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นก็เริ่มค้นหาทันที
สุดท้ายในกระเป๋าชั้นในสุด ก็มีขวดยาสีดำและขาวอยู่สองขวด ด้านบนยังไม่เขียนคำอธิบายใดๆไว้ด้วย
ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือยาอะไร หยิบยาได้ก็รีบวิ่งไปตรงหน้าเฟิงเฉ่วหาน “ขวดไหน”
อาการสั่นของเฟิงเฉ่วหานยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตาทั้งสองข้างพลิกเป็นสีขาว เขายังพูดออกมาได้อย่างยากลำบาก “ขาว สีขาว หนึ่ง หนึ่งเม็ด……”
เมื่อผมเห็นสภาพของเฟิงเฉ่วหาน จึงเกิดความกลัวว่าเขาอาจตายอย่างกระทันหัน
รีบเปิดขวดสีขาว เทยาออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นก็ยัดเข้าไปในปากของเฟิงเฉ่วหานทันที
ผมคิดไม่ถึงจริงๆ เฟิงเฉ่วหานทั้งหล่อและเย็นชา จะมีโรคติดตัวได้แบบนี้……
แต่ตอนนั้นผมไม่รู้อะไร คิดว่าเป็นโรคบางอย่าง แต่มันไม่ใช่โรคเลยสักนิด
แต่ตอนนั้นเฟิงเฉ่วหานเอง ก็ไม่อาจพูดความลับที่ยิ่งใหญ่ออกมาได้……