ศพ – ตอนที่ 451 ตรวจสอบ

ตอนที่ 451 ตรวจสอบ

คุณโจวมองพวกเราด้วยสายตาคาดหวัง อยากได้ยินคําตอบจากพวกเราเร็วๆ

ผมสูดหายใจเข้า จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ นี่มันใช่วิญญาณปีศาจออกมาทําชั่วเหรอ ?”

อาจารย์ขมวดคิ้ว ไม่ได้ตอบคําถามผม เพียงโบกมือให้ผมเท่านั้น

จากนั้นก็พูดกับคุณโจวอีกครั้ง “ คุณโจว คุณบอกว่าสามีของคุณเปลี่ยนไป หลังจากเริ่มทํางานใหม่

ถ้างั้นคุณเคยไปที่ทํางานของสามีบ้างไหม ? ”

เมื่อคุณโจวได้ยินอาจารย์ผมพูดแบบนั้น ก็ส่ายหน้าทันที “ ไม่ค่ะ ไม่เคยไป ฉันยุ่งอยู่กับงานบ้านทุกวัน

ไม่มีเวลาไปเลยสักครั้ง สามีของฉันบอกว่า ที่ทํางานของเขาอยู่ที่โกดังขนส่งสินค้าในแถบชานเมือง

เขาเป็นหัวหน้าคมโกดัง เพราะเวลาขนส่งสินค้าไม่แน่นอน ดังนั้นเวลาทํางานของเขาเลยไม่แน่นอนเช่นกันค่ะ

“มีอะไรเหรอคะ ? ท่านนักพรตติง หรือเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับที่ทํางานของเขาเหรอคะ ?” คุณโจวพูดด้วยความสงสัย

อาจารย์กลับส่ายหน้า “เอ่อมันก็ไม่ใช่แบบนั้นซะทีเดียว แค่ถามดูเฉยๆก็เท่านั้น ! แต่คุณโจว เรื่องของคุณค่อนข้างจัดการยากหน่อย เราต้องไปดูสถานการณ์ที่บ้านคุณด้วยตัวเองก่อน”

“ได้ค่ะ ท่านนักพรตติง ถ้าคุณยอมช่วยพวกเรา แบบนั้นก็จะเยี่ยมไปเลยละค่ะ ตอนนี้ครอบครัวของเรา

ต้องพึ่งพาสามีของฉันคนเดียว ฉันไม่อยากให้เขาเป็นอะไรไปหรือได้รับบาดเจ็บแม้แต่นิดเดียวค่ะ……”

พอพูดถึงตรงนี้ คุณโจวก็ร้องไห้ออกมาอีกครั้ง

จะเห็นได้ว่า คุณโจวรักสามีของเธอมากจริงๆ

ในบ้านต้องดูแลคนแก่สองคน เด็กอีกสองคน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ ไม่มีเงินเก็บ

ในแต่ละวันต้องทําและคิดทุกอย่างอย่างรอบคอบ หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ ในแต่ละเดือนไม่มีโอกาสได้กินเนื้อกันเลยสักครั้งด้วยซ้ํา

คุณโจวยังทนและผ่านมันมาได้ เธอยังคงยืนเคียงข้างสามี ใช้กําลังทั้งหมดปกป้องครอบครัวนี้ของเธอ

คุณโจวไม่ใช่ผู้หญิงประเภทที่สวยเว่อร์ แต่ก็ไม่ได้น่าเกลียด รูปร่างยังดูสง่ามีราศี แถมยังเพิ่งอายุ 30 เท่านั้น

คนประเภทเธอ ถ้าเอาไปโพสหาคู่ในเน็ต หาสามีที่มีฐานะธรรมดาคนหนึ่ง ย่อมไม่มีปัญหา อย่างแน่นอน

ผมหยิบทิชชูขึ้นมา จากนั้นก็ยื่นให้คุณโจว “ คุณโจว ไม่ต้องร้องครับ ในเมื่อคุณมาหาเราสองครูศิษย์แล้ว

เราก็ต้องจัดการเรื่องนี้ให้คุณอย่างแน่นอน ถ้าสามีของคุณโดนของไม่ดีเข้าสิง พวกเราก็ต้องช่วยคุณแก้ปัญหาแน่ๆ”

คุณโจวรับกระดาษทิชชูไว้ เธอเช็ดน้ําตาของตัวเอง “ขอบ ขอบคุณพวกคุณมาก แต่ แต่ไม่รู้ว่าพวกท่านนักพรตจะคิดค่าตอบแทนยังไง !”

อาจารย์ยิ้ม ทําท่าทางเหมือนเทพเจ้า “ ข้าใช้ชีวิตเป็นผู้พิทักษ์ ไม่ได้ทําเพื่อเงิน ไม่ได้หลงไหลทางโลก

สามร้อยห้าร้อยก็ได้แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่สําคัญ เราไปดูบ้านของคุณก่อนแล้วค่อยว่ากันเถอะ ! ”

พอคุณโจวได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น และยังเห็นอาจารย์ผมทําท่าทางเหมือนเทพเซียนองค์
หนึ่ง

เลยรู้สึกเหมือนได้มาเจอบุคคลที่สูงส่งตัวจริง

หมอดที่เธอเคยไปดูดวงในสมัยก่อน ยังไม่ทันแสดงฝีมือ ก็จะเอาเงินจากเธอ 200 หยวนแล้ว

แต่อาจารย์ผม กลับไม่สนใจเรื่องเงิน ทําให้เธอรู้สึกปลอดภัย สามารถวางใจได้

คุณโจวพยักหน้ารัวๆทันที “ค่ะค่ะ ! ขอบคุณท่านนักพรต ขอบคุณท่านนักพรตมากค่ะ !”

อาจารย์ยิ้มอ่อน ส่งสัญญาณให้ผมไปเก็บข้าวของ อีกเดี๋ยวจะไปบ้านคุณโจว

ผมเองก็ไม่ลีลา ช่วยคนเหมือนช่วยดับเพลิง รีบไปเก็บอาวุธและข้าวของต่างๆทันที

ต่อจากนั้น พวกเราก็ปิดร้าน แล้วขึ้นรถผม

ผมขับรถไปบ้านเธอ ตามทางที่คุณโจวบอก

หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมง พวกเราก็มาถึงหมู่บ้านที่คุณโจวอยู่

ที่นี่ตั้งอยู่ในเขตชานเมือง รอบๆเต็มไปด้วยโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นด้านคมนาคม สภาพแวดล้อมการศึกษา หรือการรักษาพยาบาล ก็อยู่ในระดับแย่สุดทั้งนั้น

บ้านของคุณโจวอยู่ในอาคารเก่าหลังหนึ่ง มันเป็นตึกสูงห้าชั้นที่ไม่มีลิฟต์อํานวยความสะดวก

พวกเราเดินตามคุณโจวขึ้นไปบนตึก ผ่านไปไม่นานเราก็มาถึงหน้าประตูบ้านเธอ

เพิ่งเปิดประตูออก เสียงไร้เดียงสาสองเสียงก็ดังขึ้น “แม่ !”

เมื่อกวาดตามอง เราก็เห็นเด็กน้อยอายุประมาณสามสี่ขวบ ชายหนึ่งหญิงหนึ่ง

เมื่อคุณโจวเห็นเด็กสองคนนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความรัก เธอย่อตัวลงพื้นแล้วโอบกอดเด็ก ทั้งสองคนทันที “แม่ไม่อยู่ พวกลูกสองคนเป็นเด็กดีหรือเปล่า ?”

เด็กผู้ชายทําหน้าจริงจัง “เป็นเด็กดีครับ หลังคุณยายหลิวบ้านข้างๆพาเรากลับบ้านแล้ว ผมกับน้องก็ดูแลคุณยายกับคุณตาอยู่ในบ้านครับ”

ขณะเสียงพูดดังขึ้น ผมก็เห็นบนโซฟา มีคนแก่ทําหน้าอมทุกข์นั่งอยู่คนหนึ่ง

เขาน่าจะเป็นพ่อสมองเสื่อมคนนั้น จากนั้นในบ้านก็มีเสียงอีกคนดังขึ้น “เสี่ยวโจวกลับมาแล้วเหรอ ?

“อ่า ! หนูเองแม่” คุณโจวตอบกลับ จากนั้นก็ปล่อยมือจากเด็กๆ

แล้วพูดกับพวกเขาว่า “นี่คือคุณลุงติงกับคุณปู่ตั้ง พวกเขาเป็นแขกของบ้านเรานะจ๊ะ”

เด็กทั้งสองคนน่ารักมาก และไม่ดื้อเลยสักนิด

ขณะมองผมกับอาจารย์ ดวงตาก็โตขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงตะโกนของเด็กน้อยก็ดังขึ้น “คุณลุงกับคุณปู่”

ผมลบหัวพวกเขา จากนั้นก็เดินเข้ามาในบ้านพร้อมอาจารย์

และคุณโจวก็ให้พวกเรานั่งรอก่อน ส่วนตัวเธอก็ไปจัดการงานในบ้านตามเคย

พวกเราเองก็มองสถานการณ์ในบ้านคุณโจวพอสมควร เด็กน้อยสองคน พ่อสมองเสื่อม แม่อัมพาต

ดังนั้น พวกเราเลยไม่ได้ไปกวนคุณโจว และมองสารวจภายในบ้านแทน
ห้องนั่งเล่นสองห้อง ใบบ้านรกมาก แสงที่ส่องผ่านเข้ามาก็ไม่ดีเท่าไหร่

แต่นอกจากเรื่องพวกนี้แล้ว สิ่งที่เราสนใจเป็นพิเศษคือ ในบ้านนี้มีไอปีศาจอยู่หรือเปล่า

เพราะไอพวกนี้ สามารถทําให้พวกเราตัดสินได้ว่า ในบ้านหลังนี้มีของไม่พึงประสงค์อยู่หรือเปล่า

แต่หลังจากผมและอาจารย์กวาดตามองรอบๆบ้านหลังนี้แล้ว เรากลับสัมผัสไม่ได้เลยว่าในบ้านหลังนี้มีพลังที่ไม่ใช่ของมนุษย์อยู่

แต่ เมื่อเดินเข้ามาในห้องน้ํา ผมกลับพบว่ามีดโกนมีขนสีเหลืองติดอยู่

ผมเอามาใส่ไว้ในมือ มองมันพักหนึ่ง รู้สึกว่าขนพวกนี้เหมือนกับที่คุณโจวพูดไว้พอสมควร

ดังนั้นผมเลยเอาเจ้าพวกนี้ไปให้อาจารย์ดู “อาจารย์ ดูนี่ซิ เหมือนกับที่คุณโจวพูดเลยนะ !”

อาจารย์ขมวดคิ้ว เอามาใส่ไว้ในมือ แล้วมองอยู่พักหนึ่ง

หลังผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ได้เสียงอาจารย์พูดว่า “เอ๊ะ เจ้าขนนี่ ทําไม ทําไมมันถึงเหมือนขนหนูขนาดนี้นะ ?”

“หนู” ผมพูดด้วยความตกใจ

“น่าจะไม่ผิด ตอนอาจารย์ทํางานโกนผมให้พระอยู่บนเขา ถึงจะเป็นคนโกนผมพระแล้ว แต่ก็ยังไม่ปฏิบัติตามกฏอยู่บ้าง บางครั้งอาจารย์ก็จะไปจับพวกหนูมาทํากับข้าว นี่เป็นขนของหนู น่าจะใช่นะ” อาจารย์พูดด้วยสีหน้าจริงจัง
พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมกลับสูดหายใจเข้าลึกๆ “ผม ผมเจอขนนจากที่โกนหนวดในห้องน้ํา บางทีมันคงเป็นของคุณหวง”

อาจารย์พยักหน้า “ เสี่ยวฝาน มันอาจเป็นเหมือนที่แกพูดเอาไว้ก่อนหน้านี้ วิญญาณปีศาจออกมาทําชั่ว

ในร่างของคุณหวง อาจมีวิญญาณหนูที่บรรลุแล้ว แต่ก็ตายไปแล้วสิ่งอยู่”

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็อดเผยท่าทางเคร่งเครียดออกมาเล็กน้อยไม่ได้

เพราะก่อนหน้านี้ ผมไม่เคยเผชิญหน้ากับเรื่องแบบนี้มาก่อน เลยไม่รู้ว่าควรรับมือหรือจัดการยังไง

ผมพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ ถ้างั้นเราควรจัดการเรื่องนี้ยังไงดี ?”

“อาจารย์ก็ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน แต่ดูต่อไปก่อน พอมั่นใจแล้วค่อยว่ากันอีกที ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆ เดี๋ยวอาจารย์จะโทรไปหาเหล่าติ ดูว่าเขามีวิธีอะไรบ้างไหม” อาจารย์พูด

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็พยักหน้าเบาๆ ท่านนักพรตตู้เดินทางมาทั้งชีวิต ได้พบเห็นอะไรมาไม่น้อย
ถึงจะเป็นอาจารย์ ก็ยังมีประสบการณ์ไม่เท่าท่านนักพรตต์

สิ่งที่พวกเราต้องทําในตอนนี้ ก็คือสรุปสถานการณ์ให้แน่ชัด

มีเพียงทางนี้เท่านั้น ถึงจะกําหนดการกระทําในขั้นต่อไปได้
แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเสียงร้องกรี๊ด ก็ดังมาจากในห้อง “อร้าย ! ปี ปีศาจ……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset