ศพ – ตอนที่ 457 หนี้

ตอนที่ 457 หนี้

หลังจากชายคนนั้นโดนผมห้ามเอาไว้ ก็เห็นได้ชัดว่าเขาเดิมตามหลังด้วยท่าทีหวาดระแวง

ส่วนตัวผมกลับรีบเปิดโลงที่สอง

ในโลงที่สองก็ใส่คนเอาไว้

แต่ครั้งนี้เป็นหญิงสาวแถมยังหน้าตาสะสวยอีกด้วย

แต่ตอนนี้ ผมกลับไม่มีอารมณ์มามองความงดงามของเธอ ผมรีบแกะยันต์ที่ตัวเธอออกทันที

เธอเหมือนกับคนแรก หลังแกะยันต์ออกมาแล้ว ก็ปิดปากอีกฝ่าย ไม่อย่างนั้นเธออาจร้องออกมาได้

เห็นได้ชัดว่าผู้หญิงคนนั้นกลัวมาก เธอพยายามดิ้นสองสามครั้ง ขณะเดียวกันก็ร้อง “อย่าฆ่า ฉันอย่าฆ่าฉัน” ด้วยคําพูดแบบนี้ไม่หยุด

แต่หลังจากผมอธิบายและเตือนเสร็จแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ค่อยๆสงบลง

เรื่องก็เป็นแบบนี้ หลังช่วยคนที่สองเสร็จแล้ว

ผมก็ใช้วิธีแบบนี้ เปิดโลงและช่วยอีกแปดคนติดๆกัน

ทั้งแปดคนนี้ตัวสั่น ตอนนี้พวกเขาไม่รู้ฐานะของผม แม่ใบหน้าจะเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและสงสัย

แต่เพราะความหวาดกลัวที่อยู่ในใจ พวกเขาเลยไม่มีใครกล้าพูดออกมา

พวกเขามองรอบๆอย่างต่อเนื่องมีสองสามคนที่ตัวสั่นอย่างไม่รู้ตัว

ส่วนผมก็ไม่สนใจพวกเขา เตรียมจะไปช่วยคนที่เก้าต่อ

แต่ทันใดนั้นเองจู่ๆอาจารย์ก็พุ่งเข้ามา แล้วพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน รีบหนีเร็ว มีคนมา”

จู่ๆก็ได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้นผมเลยอดไม่ได้ที่จะเครียดจากนั้นก็หันไปมองอาจารย์

“แต่ แต่ยังมีคนอีกตั้งเยอะ”

อาจารย์กลับขมวดคิ้ว ทําหน้าซีเรียส “มัวสนใจพวกเขาไม่ได้แล้ว รีบหนีเร็ว ไม่อย่างงั้นถ้าโดนจับได้แล้วละก็อย่าหวังว่าพวกเราจะหนีรอดไปได้สักคน !”

น้ําเสียงของอาจารย์จริงจังเห็นได้ชัดว่าเขาค่อนข้างกังวล

ส่วนอีกแปดคนที่เหลือก็เริ่มลนลาน “ทํายังไงดีทํายังไงดี”

“พวก พวกเรารีบหนีกันเถอะ !”

“ใช่ใช่ใช่ พวกเรารีบหนีกันเถอะ……”

คนพวกนี้เริ่มพูดไม่หยุดท่าทางดูหวาดกลัวมาก

หนึ่งในนั้นมีผู้หญิงคนนึง เธอดึงเสื้อผม ขอร้องให้ผมพาพวกเธอออกไป และยังบอกว่าบ้านเธอมีลูกชายอายุสามขวบ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่ และยิ่งไม่อยากโดน “พวกค้ามนุษย์” จับตัวกลับไป

แม้จะไม่พอใจ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วผมเองก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้

กําลังมีจํากัด สิ่งที่ผมพอทําได้ก็มีแค่เท่านี้แล้ว

เหมือนกับที่อาจารย์พูดไว้ถ้าโดนจับได้

อย่าว่าแต่ช่วยคนเลย แม้แต่พวกเราเองก็ยากที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้

ผมกัดฟันพูดกับทุกคนว่า “ตามผมมา อย่าส่งเสียงไม่อย่างนั้นพวกเราได้ตายกันหมดแน่ !”

คนพวกนี้โดนสํานักชั่วแห่งนี้ใช้ทุกวิธีทาง จับมาที่นี่

ตอนนี้เพื่อเอาชีวิตรอดย่อมไม่กล้าส่งเสียง ต่างพยักหน้าให้ผมทันที

ส่วนผม ก็พาทั้งแปดคนออกไปข้างนอกอย่างรวดเร็ว

เพิ่งมาถึงตรงประตู อาจารย์ก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เร็วเข้า มีคนจํานวนมากกําลังเข้ามาไปทางนี้ระวังกันหน่อย อย่างส่งเสียงออกมา……”

ขณะพูด เขาก็ชี้ทางหนีให้คนพวกนี้ ส่วนผมก็เป็นคนเดินนํา

หลังคนพวกนี้เดินออกมาแล้วอาจารย์ก็ล็อกประตู แล้วรีบตามมาทันที

พวกเราเดินตามทางขามา

ใช้สิ่งของหรือพวกที่อยู่รอบๆมากําบังตัวเอง และรีบวิ่งไปยังหน้าต่างที่ปืนเข้ามาอย่างรวดเร็ว

พวกเราไม่กล้าทําอะไรเสียงดัง บวกกับทุกคนไม่อยากตายอยู่ที่นี่

ดังนั้น ทุกอย่างเลยผ่านไปอย่างราบรื่น

เมื่อมาถึงหน้าต่างแล้วผมก็กวาดสายตามองรอบๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีคนผมก็กระโดดออกไปคนแรก

ด้านนอกหน้าต่างคือความมืดมิด และยังไม่มีแสงไฟไม่มีใครสังเกตเห็นตรงนี้อย่างแน่นอน

เมื่อเห็นรอบๆไม่มีคนผมก็ส่งสัญญาณให้แปดคนนั้นกระโดดตามออกมา

หน้าต่างไม่สูงมากสําหรับพวกวัยรุ่น มันไม่มีปัญหาอะไรใหญ่โต

ผ่านไปสักพักทุกคนก็กระโดดออกมาจนหมด

แต่ในขณะทกคนเพิ่งออกมาจากหน้าต่างจนครบ ด้านในโกดังก็มีเสียงร้องด้วยความตกใจดัง

“ใครก็ได้ช่วยด้วย ! คนของเราโดนทําร้ายจนสลบไปแล้ว……”

เสียงเพิ่งเงียบลงในโกดังก็มีการเคลื่อนไหวทันที

ส่วนกลุ่มของพวกเรา กลับมีผมเป็นผู้นําวิ่งตรงไปที่กําแพงแล้ว

แต่เพิ่งมาถึงกําแพงเสียง “วู่ๆ” ของสัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้น และมันยังดังมาก

พวกปีศาจในบริษัทหมิงโลจิสติกส์โดนกระตุ้นให้ตื่นตัวกันทั้งหมด

เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากทุกที่ และมีเสียงร้องตะโกนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง “เกิดอะไรขึ้น ?”

“ใครกดสัญญาณเตือนภัย ?”

“เกิดอะไรขึ้นฮะ ?”

เสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มของพวกเรากลับประหม่ามาก เวลาที่เหลือให้พวกเรามีไม่มากแล้ว

ในสายตาของคนพวกนี้ พวกเขาโดนพวกค้ามนุษย์จับมา พวกมันอยากจะชําแหละร่างของพวกเขา

แล้วเอาอวัยวะต่างๆไปขาย

ตอนนี้สัญญาณเตือนภัยดังขึ้นแล้ว คนพวกนี้เลยตกใจจนเหมือนตายไปแล้วครึ่งตัว

ส่วนผมรีบพูดกับคนพวกนี้ทันที “อย่าตกใจ ปืนจากตรงนี้ออกไป จากนั้นก็วิ่งขึ้นไปทางเหนือก็จะถึงในเมืองที่จะมีทางหลวงอยู่”

เสียงเพิ่งเงียบลง เด็กหนุ่มคนหนึ่งกลับพูดกับผมและอาจารย์ว่า “ผู้มีพระคุณทั้งสองไม่ทราบ พวกคุณชื่ออะไร ? ถ้าวันนี้ผมหลวงตาฟาหนีจากเงื้อมมือพวกค้ามนุษย์ได้ผมต้องตอบแทนพวกคุณอย่างดีแน่นอน”

“ใช่ผู้มีพระคุณ อย่างน้อยก็หาทางติดต่อเอาไว้ ต่อไปพวกเราต้องตอบแทนพวกคุณอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มอีกคนพูดขึ้น

แต่อาจารย์ผมกลับกังวลสุดๆ ผมโบกมือให้พวกเขาทันที “ตอบแทนหรือไม่ก็ไม่สําคัญ รีบหนีออกไปก่อนเถอะ ! ถ้าพวกนายยังไม่รีบหนีอีกจะหนีออกไปไม่ได้แล้วนะ”

พอผู้ชายสองสามคนได้ยินคําพูดนี้ ก็ไม่สนใจมากแล้ว

พวกเขาไม่ลังเลเลยสักนิดกระโดดจับขอบกําแพงแล้วปืนออกไปทันที

ชายหนุ่มสองคนที่บอกว่าจะตอบแทนพวกเรา ตอนนี้ก็ไม่มัวพูดหนีเอาชีวิตรอดสําคัญที่สุดพวกเขาเองก็กระโดดปืนกําแพง หลังจากนั้นก็กระโดดลงไปข้างนอกแล้ววิ่งหนีต่อทันที

แต่ในบรรดาคนพวกนี้ กลับมีผู้หญิงสองคนและเจ้าอ้วนอีกหนึ่งคน

พวกเขากําลังมองกําแพงสูงสองเมตรท่าทางเหมือนจะไม่มีแรงปืนขึ้นไป

ตอนนี้ผมเองก็ไม่สนเรื่องชายหญิงอะไรพันนั้น ผมจับเอวผู้หญิงคนหนึ่ง แล้วยกตัวเธอขึ้นทันที

ผู้หญิงคนนั้นไม่คิดว่าผมจะทําแบบนั้นเธอเลย “กรี๊ด” ออกมาทันที และยังคิดว่าผมจะลวนลามเธอ

“อย่าร้อง ฉันจะอุ้มขึ้นกําแพงปืนไหล่ฉันออกไป !” ผมรีบพูด

พอผู้หญิงคนนั้นได้ยินค่าพูดของผม เธอถึงได้สงบสติอารมณ์ลง

จากนั้นก็ขานรับ “อือๆ” แล้วทําตามที่ผมพูด ค่อยๆปืนขึ้นบนตัวผม แล้วปีนขึ้นไปบนกําแพงทันที

อาจารย์อุ้มผู้หญิงคนหนึ่งเธอเองก็เริ่มปีนออกไปข้างนอกเช่นกัน

แต่ใครจะรู้ในวินาทีนั้น เพราะเสียงร้องของผู้หญิงคนนี้ ทําให้ปีศาจบริษัทหมิงโลจิสติกส์สองคนวิ่งมาถึงตรงนี้

ตอนเห็นพวกเรา สีหน้าพวกเขาก็เปลี่ยนไปและตะโกนออกมาทันที “นั่นใคร ?”

หลังจากพูดจบปีศาจสองตนนั้นก็วิ่งเข้ามาหาพวกเราทันที

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมและอาจารย์ก็อดตกใจไม่ได้เราคิดไม่ถึงว่าจะโดนจับได้ในเวลาสําคัญแบบ

ไม่รอให้ผู้หญิงสองคนนั้นพร้อม เราก็ออกแรงดันตัวพวกเธอออกไปทันที

ในเวลาเดียวกันอาจารย์ก็ดึงดาบไม้ออกมา แล้วพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน แกไปส่งพวกเขา ออกไป ฉันจะไปถ่วงพวกมันเอาไว้ !”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็วิ่งไปทางปีศาจสองตนนั้น

พอปีศาจสองตนนั้นเห็นภาพนี้ นอกจากจะวิ่งมาทางพวกเราแล้วยังตะโกนออกมาเสียงดังลั่น “ใครก็ได้รีบมาที่นี่เร็วเข้า”

“มีผู้บุกรุก มีผู้บุกรุกอยู่ที่นี่”

เสียงเพิ่งเงียบลงอาจารย์ก็ยกดาบเข้าไปปะทะแล้ว

ส่วนเจ้าสองคนนั้นถือท่อนไม้พอเห็นอาจารย์พุ่งเข้ามาพร้อมดาบ เขาก็รีบรับการโจมตีทันที

ส่วนผม กลับออกแรงยกเจ้าอ้วนคนนั้น

เจ้าอ้วนคนนั้นหนัก 100 โลเป็นอย่างต่ำ อ้วนอย่างกับถังน้ํา ถึงจะเคลื่อนพลังแล้ว แต่ผมก็ยังรับน้ําหนักเขาไม่ไหว

ขณะยกเจ้าหมอนขึ้น เรื่องใช้พลังแบบสุดตัวคงไม่ต้องพูดถึง แต่ผมแทบยกเจ้าหมอนันแทบไม่ไหวด้วยซ้ํา

เจ้าหมอนี่ก็เงอะงะเคลื่อนไหวช้าอย่างกับอะไรดี

ตอนนี้พอเหยียบบนไหล่ผมได้แล้ว กว่าจะปีนขึ้นไปได้เจ้าหมอนั้นก็ใช้เวลาอยู่นานสองนาน

ผมพูดเร่ง “เจ้าอ้วน แม่งเอ้ย เร็วๆหน่อยซิวะ……”

“สูง สูงหน่อยฉัน ฉันปืนขึ้นไปไม่ได้……” เจ้าอ้วนรีบพูด

ทําอะไรไม่ได้ ผมได้แต่ออกแรงเพิ่ม ยืนตัวตรง

แต่น้ําหนัก 170-180 โลแบบนี้ กดอยู่บนตัวอย่าว่าแต่ยืนตรงเลย แม้จะหอบหายใจแล้ว ผมก็รู้สึกว่ามันกินแรงมาก

ทางอาจารย์ ตอนนี้เขาเริ่มสู้กับสาวกชั่วสองคนนั้นแล้ว

ถึงเจ้าสองคนนั้นจะไม่ร้ายกาจมาก แต่เพิ่งเริ่มสู้ ร่างกายของพวกมันก็เปลี่ยนไปทันที

สิ่งที่เห็นชัดที่สุดคือ ขนสัตว์ที่อยู่บนหน้า เขี้ยวที่งอกออกมาจากปาก และกรงเล็บที่แหลมคมในมือ

บนตัว ปล่อยไอแปลกๆออกมา อีกคนหนึ่งมีหางหนูที่คล้ายกับแม่คุณโจวออกมาด้วย สภาพดูผิดมนุษย์สุดๆ

เมื่อคนธรรมดาเห็นแล้วต้องตกใจอย่างแน่นอน

เหมือนปีศาจแต่ก็ไม่ใช่ปีศาจ เหมือนคนแต่ก็ไม่ใช่คน สาวกสํานักชั่วพวกนี้ ล้วนอยู่อย่างครึ่งคนครึ่งปีศาจทั้งนั้น

แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสําคัญ เรื่องที่สําคัญก็คือ จู่ๆก็มีเสียงฝีเท้ามาทางพวกเรา และต่อจากนั้นก็ มีสิบกว่าคนปรากฏตัวออกมา
พวกเขาเพิ่งมาถึง ก็เห็นพวกเรา

หนึ่งในผู้นํา ตะโกนออกมาทันทีพร้อมเผยให้เห็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวของสัตว์ร้าย “กล้าบุกสํานักของพวกเรา ฆ่าไม่เว้นฆ่า…

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset