ศพ – ตอนที่ 463 อาจารย์ระเบิด

ตอนที่ 463 อาจารย์ระเบิด

ตอนนี้สถานการณ์เข้าสู่ขั้นวิกฤต หลังอาจารย์ได้รับบาดเจ็บ เลือดไหลไม่หยุด

ไม่มีทางเลือก ผมได้แต่เรียกคนมาช่วยเท่านั้น

เพราะผมค่อนข้างสนิทกับมู่หลงเหยียน ดังนั้นผมเลยคิดถึงเธอเป็นคนแรก

ผมเดินพลัง กระตุ้นไฝดําที่ข้อมือซ้าย เตรียมเปิดใช้วงเวทย์ เรียกมู่หลงเหยียนออกมา

ต่อจากนั้น ผมก็ตะโกนออกมาว่า “มู่หลงเหยียน……”

ทันใดนั้นเอง ไฝดําก็เริ่มทํางานไอเย็นลอยอยู่เหนือไฝดําบนข้อมือซ้ายของผม

ไฝดําาเริ่มเปลี่ยนไป มันค่อยๆเปลี่ยนเป็นรูปปลาหยินหยาง

แต่ทันใดนั้นเอง ผมกลับคิดว่าแบบนี้ไม่ถูกต้อง

เหมือนมู่หลงเหยียนยังเก็บตัวอยู่ ผมเรียกเธออกมาตอนนี้ จะทําให้เธอเสียสมาธิ รบกวนการรักษาตัวของเธอหรือเปล่า ? หรืออาจธาตุไฟเข้าแทรกได้

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ใจผมก็มีเสียงดัง “อีก” คิดว่าการเรียกมู่หลงเหยียนออกมาตอนนี้ไม่เหมาะสม

ดังนั้น ผมหลังจากตะโกนคําว่ามู่หลงเหยียนออกมาหนึ่งครั้งแล้ว ผมก็หยุดเดินพลังไม่กระตุ้น

ไฝดําต่อ

หลังไม่สนใจไฝดําแล้ว ผมก็ได้แต่เลือกวิธีที่ยุ่งยากกว่าคือเชิญเซียนจิ้งจอกสถิตร่าง

ดังนั้น ผมเลยหันไปพูดกับอาจารย์ว่า “อาจารย์ ช่วยคุ้มครองผมแป๊บนึง ผมจะเชิญเซียนจิ้งจอกสถิตร่าง !”

พออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น ก็พยักหน้าให้ทันที “ได้ ! มอบให้เป็นหน้าที่อาจารย์เถอะ !”

หลังจากพูดจบ จู่ๆอาจารย์ก็กัดลิ้น ประสานมือข้างเดียว “สึก” และยกดาบไม่ขึ้น

เขาพ่นเลือดใส่ดาบไม้หนึ่งครั้ง

ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ใช้มือลูบไปตามคมดาบ จากนั้นก็เอานิ้วมาจิ้มที่คิ้วของตัวเองแล้ว ตะโกนออกมาว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้งเปิด !”

เสียงเพิ่งเงียบลง ก็มีพลังล้นออกมาจากตัวอาจารย์ เหมือนกับว่าเขาแข็งแกร่งขึ้นไปอีกเท่าหนึ่ง

ผมสัมผัสได้เพียงคลื่นพลังที่รุนแรง ต่อจากนั้นก็เห็นพลังของอาจารย์ดูทรงพลังขึ้นมาก ดวงตาทั้งสองข้างก็ดูจะแดงหน่อยๆ

ไม่ใช่แค่นั้น หลังจากอาจารย์ทําท่าทางพวกนี้เสร็จแล้ว เหมือนพลังรบของเขาก็จะเพิ่มขึ้นไม่น้อย

มีปีศาจสองตนที่ไม่กลัวตายกําลังพุ่งเข้ามาพอดี อาจารย์เลยยกดาบขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้นดาบก็ตัดแขนข้างหนึ่งของปีศาจหนึ่งตน ส่วนปีศาจอีกตน ก็โดนอาจารย์ถีบกระเด็นออกไป

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็อดตกใจไม่ได้

สุดยอด นี่มันวิชาอะไรเนี่ย ? ทําไมเพียงแค่พริบตาเดียวอาจารย์ก็ร้ายกาจขึ้นมาถึงขนาดนี้ได้

แม้จะสงสัย แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาพอให้ไปสนใจหรือไล่ถาม

ภายใต้การคุ้มกันของอาจารย์ ผมรีบหยิบธูปหอมพิเศษออกมา มันยาวประมาณนิ้วมือได้

และรีบใช้ไฟแช็กจุด จากนั้นก็ปักลงดินทันที

ประสานมือทั้งสองข้าง แล้วท่องคาถาอัญเชิญเซียน

ช่วงเวลานี้ค่อนข้างยาวนานหน่อย ดังนั้นเวลาอยู่ในการต่อสู้ ผมเลยไม่ค่อยอยากเชิญเซียนสถิตร่าง

มันต้องเสียเวลาพักหนึ่ง ซึ่งในช่วงเวลานั้นอาจเกิดอะไรขึ้นมากมาย

ดังนั้น การเชิญเซียนในมาสถิตร่างชั่วคราว เลยเป็นเรื่องที่ยุ่งยากมาก

แต่ดูเหมือนตอนนี้อาจารย์จะกลายเป็นนักรบผู้กล้าหาญคนหนึ่ง บวกกับตําแหน่งที่ผมอยู่ ก็ค่อนข้างดีเหมือนกัน

ด้านหลังมีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่งพอดี เมื่อเป็นแบบนี้ อาจารย์ก็ไม่ต้องป้องกันด้านหลังผมแล้ว

เขาเพียงต้องป้องกันด้านหน้าของผม เขาเลยสามารถป้องกันผมได้อย่างสมบูรณ์แบบ

ตอนนี้อาจารย์ดูทรงพลังมาก ฝีมือเหนือกว่า

ไม่ว่าจะดาบหรือเท้าก็รุนแรงทั้งนั้นไม่เหมือนตาแก่คนนึงเลยสักนิด แต่เหมือนกับ “ระเบิดในร่างมนุษย์

วิชาที่ร้ายกาจขนาดนี้ ต่อไปต้องให้อาจารย์สอนให้ผมให้ได้

เรื่องก็เป็นแบบนี้ อาจารย์คอยป้องกันอยู่หน้าผมประมาณ 3-4 นาที

อย่าดูถูกเวลา 3-4 นาทีเชียว เพียงแค่ 3-4 นาทีนั้น ถึงอาจารย์จะร้ายกาจถึงขนาดนั้นแล้ว แต่เขาก็ได้รับบาดเจ็บหลายแห่ง

อาจารย์แทบจะใช้ร่างกายและชีวิตของตัวเอง ถ่วงเวลาให้ผมในช่วงเวลานั้น

หลังท่องคาถาอัญเชิญเซียนเสร็จ ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด มือประสานอินอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ตะโกนออกมาว่า “ศิษย์ติงฝาน ขอเชิญเซียนจิ้งจอกสถิตร่าง !”

ทันใดนั้นป่าอันเงียบสงบ ก็มีสายลมพัดเข้ามา

“ฮๆๆๆ” พัดป่ารอบๆสะท้อนเสียงแบบนี้ออกมาไม่หยุด

ไม่ใช่แค่นั้น ทันใดนั้นไอปีศาจที่ทรงพลังมากก็ปรากฏขึ้น มันเริ่มวนรอบตัวผม

และควันที่ออกมาจากธูปหอมอันนั้น ก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นหัวจิ้งจอกขนาดใหญ่ตรงหน้าผม

หัวจิ้งจอกอันนั้นอ้าปากขึ้น แล้วพุ่งเข้ามาหาผมทันที

แต่พอเข้ามาใกล้ตัวผมมันก็หายเข้าไปในร่างผมอย่างรวดเร็ว

และในวินาทีนั้นเองผมก็ค่อยๆสูญเสียการควบคุมร่างกายตัวเอง

ผมกระพริบตาพบว่าเซียนจิ้งจอกมาสถิตร่างแล้ว

ส่วนจะเป็นใครนั้น ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

ผมถามเซียนในร่างตัวเอง “ศิษย์ติงฝาน ขอถามเป็นเซียนจิ้งจอกท่านไหนเหรอครับ ! ใช่ท่านปู่หลิวไหมครับ”

เพราะท่านปู่หลิวเป็นองค์รักษ์คอยปกป้องผมที่ตําบลชิงฉือเต็มเวลา ดังนั้นเซียนที่ผมเชิญมาอาจเป็นปู่หลิว

แน่นอน ผมเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก เซียนทั้งเผ่าจิ้งจอก ย่อมสามารถอุ่นเชียวผม หรือมาสถิตร่างผมได้

ดังนั้นใครจะมาอุ่นเชียวย่อมเป็นเรื่องที่ไม่แน่นอน

ตอนนี้ เซียนจึงจอกกําลังควบคุมร่างผมกวาดสายตามองรอบ ยังไม่ได้ตอบกลับทันที เขายกมือขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทันใดนั้น คลื่นพลังปีศาจที่แข็งแกร่งก็ถูกพัดออกไปราวกับคลื่นสึนามิ

ปีศาจสามคนที่กําลังพุ่งมาหาพวกเรา ก็โดนพลังปีศาจนั้นซัดออกไปทันที พวกมันลงไปนอนกองกับพื้น ร้องโอดครวญออกมาไม่หยุด ท่าทางเหมือนจะลุกขึ้นไม่ไหว

อาจารย์หันมามองผมทันที “ท่านเซียนจิ้งจอก !”

จนกระทั่งมาถึงตอนนี้ เซียนจิ้งจอกในร่างผมถึงยอมพูด “ข้าเย่เสี่ยวซี”

ตอนผมได้ยินค่าว่า “เย่เสี่ยวซี” สามค่านี้ ผมก็ช็อกทันที

เย่เสี่ยวซี นี่เป็นชื่อของนางพญาจิ้งจอกเชียวนะ

คิดไม่ถึงว่าที่เชิญมาครั้งนี้ จะไม่ใช่ป่หลิ่ว แต่เป็นนางพญาจิ้งจอก

“นาง นางพญา ?” ผมค่อนข้างตกใจ

อาจารย์ทํามือคารวะนางพญาจิ้งจอก “นางพญามาเยือน ข้าขอคารวะ”

นางพญาควบคุมร่างของผม คลี่ยิ้มให้อาจารย์เล็กน้อย “ท่านนักพรตไม่ต้องมากพิธี เจ้าพวกไม่ใช่คนไม่ใช่ปีศาจแบบนี้ มอบให้ข้าจัดการเองเถอะ !”

หากนางพญามาเยือนเอง อย่าว่าแต่พวกลูกกระจ๊อกสํานักลือเย่เฉินพวกนี้เลย

แม้แต่ชายชุดด่าเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับนางพญาได้

แต่เห็นได้ชัดว่าสาวกสํานักสื่อเย่เฉินที่อยู่วงนอกพวกนั้นจะไม่รู้เรื่องอะไร พวกเขาไม่เห็นมันเป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด

หนึ่งในนั้นตะโกนขึ้นมาว่า “เล่นละครบ้าอะไร ? คอยดูฉันฆ่าแกเถอะ !”

“ไอ้ลูกหมาเอ้ย ฉันนี่แหละเป็นพ่อของแก !”

“ใช่ เย่เสี่ยวซี ทําไมแกไม่ชื่อลือเสี่ยวซีไปเลยละฮะ ?”

“ไอ้โง่นี่ คงตกใจจนเสียสติไปแล้ว รอดฉันฆ่าแกเถอะ….”

พูดตรงๆ คนพวกนี้เพิ่งเข้าร่วมสานักไม่นาน พวกเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ในปัจจุบันเลยสักนิด

อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อของนางพญาจิ้งจอก และเรื่องกุนเชี่ยวมาก่อน

เป็นเพียงพวกหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้าวงการเท่านั้น ไม่เข้าใจว่า “นางพญาเย่เสี่ยวซี” ห้าคํานี้ หมายความว่ายังไง

แต่ไม่รอให้พวกเขาได้ลงมืออีกครั้ง นางพญาก็เค้นเสียงดัง ฮีเธอไม่เกรงใจเลยสักนิด

ถ้าเมื่อกี้อาจารย์เป็น “ระเบิดในร่างมนุษย์” งั้นตอนนี้นางพญา ก็เป็นระเบิด…

นางพญาแข็งแกร่งมาก พลังก็เยอะมาก

ในฐานะนางพญาที่แข็งแกร่งที่สุดในเผ่าจิ้งจอก นางพญาเพียงตัวสั่นครู่เดียว ทันใดนั้นพลังปีศาจมหาศาล

ที่เหมือนกับคลื่นสึนามีขนาดยักษ์ ก็ควบคุมทุกคนทันที

ระหว่างยกมือขึ้น สายลมกระโชกแรงก็ปรากฏขึ้น ในวินาทีนั้นปีศาจหลายสิบตนก็โดนฆ่าในพริบตา

เป็นการ “ฆ่า” ไม่ใช่ “สยบ”

เหมือนฝ่ามือนี้ของนางพญา จะเป็นการระเบิดพลังปีศาจมหาศาล มันยิงไปที่ตัวของปีศาจพวกนั้นทันที

เสียงโหยหวนดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ละตัวต่างล้มลง และตายทันที หรือยังไม่ทันร้องออกมาด้วยซ้ํา

ที่เหลือมีเพียงสิบตนเท่านั้น คุณหวงเองก็รวมอยู่ในนั้น ตอนนี้พวกเขาตกตะลึงในทันที

แต่ละคนมือไม้อ่อนสีหน้าหวาดกลัว ตกใจ หรือแม้แต่ช็อกกับภาพตรงหน้า……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset