ตอนที่ 467 เรียนรู้ที่จะอดทน
ตอนอาจารย์เข้ามาคว้าแขนผม และบอกว่าควรออกไปได้แล้วผมรู้สึกเจ็บมากจริงๆ
ตั้งแต่เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายมานี่เป็นสิ่งที่ทําให้ผมเจ็บที่สุด
ตอนแรกเริ่มในใจผมยังรู้สึกสับสน
แต่ความสับสนแบบนั้นผมก็เข้าใจได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้า กลับทําให้ผมพูดไม่ออก
อาจจะบอกว่าพวกเรากลายเป็นคนเลวก็ว่าได้
ตั้งแต่ตอนแรกคุณโจวไปหาพวกเรา พวกเราก็ติดตามเบาะแสตามสัญชาตญาณพบตัวคุณหวงจนกระทั่งคุณหวงและแม่ของเขาตาย
ทั้งหมดนี่ล้วนมีพวกเราอยู่ด้วย ถึงออกมาเป็นแบบนี้ได้
หรือจะพูดอีกอย่างคือถ้าพวกเราไม่ได้เข้ามายุ่ง “เรื่องไม่เป็นเรื่อง” พันนี้ คุณหวงก็คงไม่ตาย
เขายังทํางานให้สํานักสื่อเย่เฉินต่อไปครอบครัวของคุณโจว ก็จะไม่ต้องบ้านแตกสาแหรกขาด
แต่ ในฐานะของคนปราบสิ่งชั่วร้าย ในเมื่อรู้เรื่องที่คุณหวงเป็นสาวกของสํานักชั่วแล้ว และคุณหวงยังไม่เพียงไม่รู้สึกผิดกลับกันยังคิดว่าเป็นเพราะชะตาชีวิตและสถานการณ์ปัจจุบันบีบบังคับเขาก็เลยต้องเลือกแบบนั้น
เมื่อเป็นแบบนั้นคนปราบสิ่งชั่วร้ายอย่างพวกเรา ก็ได้แต่เป็นก้าวสุดท้ายของชีวิตเขาเมื่อทําแบบนั้นมันก็กลายเป็นการทําร้ายครอบครัวคุณโจวแทน
ตอนนี้หลังโดนอาจารย์ดึงแขนให้ออกไปในสมองของผมก็เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้
พออาจารย์เห็นผมไม่ร่าเริง เขาก็พูดกับผมตรงๆ “เสี่ยวฝาน งานของเราก็แบบนี้แหละ ในเมื่อแกเลือกทํางานนี้แล้ว แกก็ต้องรู้ที่จะอดทนเวลาคนอื่นเข้าใจผิด”
“เหมือนกับครั้งนี้ เห็นชัดๆว่าพวกเราทําตามหน้าที่ ทําในสิ่งที่ตัวเองควรทํา แต่สุดท้ายกลับโดนเข้าใจผิดว่าเป็นคนเลวโดนด่าว่าเป็นนักพรตที่ไร้น้ํายา แกว่าพวกเราควรไปอธิบายให้ใครฟังดีละ ?”
อาจารย์พูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ เหมือนคนไม่เป็นอะไร
พอผมเห็นอาจารย์เป็นแบบนั้น ผมก็หันไปพูดกับอาจารย์ “ อาจารย์ อาจารย์ไม่รู้สึกเจ็บใจบ้างเหรอ ?
ไม่อยากอธิบายให้คุณโจวฟังเลยเหรอ ?”
“ อธิบาย ? จะอธิบายยังไง ? เจ้าลูกศิษย์ ฉันว่าเรื่องนี้เราอธิบายไม่ไหวหรอก เดิมที่สายงานของพวกเราก็ไม่ค่อยมีใครยอมรับอยู่แล้ว และเรื่องบางเรื่อง ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะพูดออกมาได้ และถึงจะพูดออกไปเธอก็ไม่เชื่อพวกเราหรอก แกจะบอกคุณโจวว่าสามีของเธอเป็นมะเร็งเข้าร่วมนักชั่ว ฆ่าคนไปสามคนแล้ว
และเกือบฆ่าพวกเราด้วย แกว่าคุณโจวจะยอมเชื่อไหมละ ?”
อาจารย์พูดออกมายกใหญ่ ถึงผมจะเข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แต่ตอนอาจารย์พูดออกมา มันกลับทําให้ผมรู้สึกต่างออกไป
อาจารย์พูดถูกยิ่งกว่าถูก ในเมื่อเลือกทางนี้แล้ว เราก็ต้องเรียนรู้ที่จะอดทน อดทนกับการเข้าใจผิดของคนอื่น
ผมสูดหายใจเข้าสองสามครั้ง พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเอง
หากคิดจะเดินต่อไปในข้างหน้าก็อาจต้องทนกับสายตาต่างๆและความเข้าใจผิดที่มากกว่านี้
อาจารย์กลับตบไหล่ผมแล้วพูดว่า “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่สวรรค์ลิขิต พวกเราทําอะไรไม่ได้นอกจากทําหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทําสิ่งที่คนปราบภูติผีควรทําก็พอแล้วส่วนเรื่องอื่นคิดไป ก็ไม่มีประโยชน์อะไรขึ้นมา”
หลังจากพูดจบอาจารย์ก็ส่งบุหรี่ให้ผม
ผมสูบมันสองรอบ สัมผัสกับกลิ่นนิโคตินถึงจะรู้สึกเศร้านิดหน่อย แต่สรุปแล้วผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะ
และเข้าใจเรื่องนี้แล้ว
ผ่านไปไม่นานพวกเราก็เดินมาถึงหน้าสุสานผมหันกลับไปมองหนึ่งครั้ง
คุณโจวยังคงอยู่บนเนินเขา เผาเงินกระดาษให้สามีเธอต่อไป ควันสีขาวยังคงพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง
ผมถอนหายใจสุดท้ายก็เดินออกไปจากที่นี่พร้อมอาจารย์
คราวนี้ พวกเราไม่ได้ทําภารกิจเสร็จแบบน่าพอใจซะทีเดียว
แต่เรากลับได้ข้อมูลมาไม่น้อยสิ่งที่สําคัญที่สุดในนั้น ก็คือเรื่องของสํานักสื่อเย่เฉิน
เปลือกนอกบังหน้าด้วยบริษัทขนส่ง แต่แท้จริงแล้วเป็นสํานักที่ชั่วร้ายแห่งหนึ่ง
และคําพูดสุดท้ายของคุณหวง ยิ่งทําให้พวกเราตกใจเข้าไปใหญ่
สํานักชั่วนี้คิดจะทําให้คนทั้งโลกกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ แต่ทําไมถึงเป็นแบบนั้นละ
หรือว่าผู้นําของสํานักนั้นเป็นพวกมีจิตใจผิดปกติเหรอ หรือจะบอกว่านี่คือหลักคําสอนที่ผิดเพี้ยนอย่างหนึ่งของสํานักสื่อเย่เฉิน
แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไรเรื่องนี้ก็ต้องไปถึงหูของผู้ร่วมสายงานคนอื่น
พวกเขาต้องรู้ว่ามีสํานักชั่วเช่นนี้อยู่พวกเขาจะได้ส่งคนของสํานักใหญ่ๆไปจัดการ
ต่อจากนั้น ผมและอาจารย์ก็ขึ้นรถ แล้วรีบขับกลับไปที่ตําบลชิงฉือทันที
เมื่อมาถึงตําบลผมและอาจารย์ก็หาอะไรกินข้างนอกนิดหน่อยจากนั้นถึงได้เดินทางกลับบ้าน
พวกเราไม่ได้นอนมาครึ่งวันแล้ว แต่ละคนต่างเพลียมาก และบาดเจ็บกันทั้งคู่
หลังจากทําแผลให้อาจารย์เสร็จแล้วผมก็ประคองเขากลับเข้าไปพักในห้อง
ส่วนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเลือกโทรหาหยางเจ่วเป็นคนแรก
โทรศัพท์ถูกรับเร็วมากเสียงหวานๆของเด็กสาวดังขึ้นทันที “ติงฝานว่าไง ?”
“เอ่อหยางเฉ่ว ตอนนี้เธอว่างไหม ? ฉันมีเรื่องจะบอกเธอ” ผมพูดตามตรง
หยางเนิ่วตอบกลับทันที “อ๋อ ! ฉันว่างมีไรเหรอ ?”
พอได้ยินว่าหยางเฉวว่าง ผมก็ไม่ลังเล เล่าเรื่องทั้งหมดที่พวกเราเจอเมื่อคืน ให้หยางเน่าฟังทันที
หลังหยางเนิ่วได้ยินแล้ว ก็เห็นได้ชัดว่าเธอค่อนข้างตกใจ ในเวลาเดียวกันก็เหมือนจะไม่รู้จักสํานักสื่อเย่เฉินอะไรนั่น และตระกูลเหมียวหนานเหยียนด้วย
แต่หลังจากยืนยันเรื่องนี้กับผมอีกรอบแล้ว เธอก็บอกว่าเธอจะบอกอาจารย์ของเธอทันที
ต่อจากนั้น เราก็คุยกันอีกนิดหน่อย แล้วถึงวางสาย
ต่อจากนั้น ผมก็โทรหาจุ่ยเฉิงจึงต่อ
เนื่องจากหยางเจ่วเป็นศิษย์สํานักหวี่ตั้ง ส่วนจี๋ยเฉิงจึงเป็นศิษย์สํานักเหมาชาน คนละสํานักกัน
แต่ตอนนุ่ยเจ๋งจึงรับสาย เธอทําเสียงเบามาก เหมือนกับกําลังแอบคุย และบอกว่าเธอกําลังเรียนอยู่
พอผมได้ยินว่าเธอเรียนอยู่ผมก็กดวางสายทันทีจากนั้นก็ส่งข้อความสั้นๆ อธิบายให้เธอฟัง
ผลลัพธ์เพิ่งส่งข้อความได้ไม่นานเธอก็วิดีโอคอลมาหาทันที
ระหว่างวิดีโอคอลนุ่ยเฉิงจึงดูประหม่าและตื่นเต้นมาก
เธอพูดกับผมว่า “ลุงติงฝาน นายท่าอะไรมาน่ะ ? เรื่องที่น่าตื่นเต้นขนาดนั้นกลับไม่เรียกฉันสักคํา
สํานักสื่อเย่เฉิน ฟังดูน่าสนุกมากเลยนะ”
เมื่อเห็นฉ่ยเฉิงจึงตื่นเต้นแบบนั้น ผมก็กลอกตา แต่ก็ตั้งใจเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ อย่างละเอียดที่สุดให้เธอฟัง
แม้ฉ่ยเฉิงจึงจะดูเป็นคนไม่ค่อยจริงจังแต่ในด้านนี้ เธอยังเป็นคนที่รู้จักแยกแยะ
เธอบอกว่าอีกเดี๋ยวจะเล่าให้พวกอาจารย์ฟัง และจะให้พวกอาจารย์ส่งคนไปดูที่นั้น
หลังวางสาย ผมก็คิดว่าจะนอนพัก
แต่พอล้มตัวลงนอนแล้วไม่ว่าจะทํายังไงผมก็นอนไม่หลับ หัวผมเอาแต่คิดถึงเรื่องของคุณโจว
สถานการณ์ของครอบครัวคุณโจวตอนนี้ผมพอเข้าใจอยู่บ้าง ทั้งครอบครัวมีแค่พวกเธอไม่กี่คน
แทบไม่มีญาติคนไหนไปมาหาสู่
งานศพเมื่อเช้านี้ คุณโจวไม่ได้ติดต่อเพื่อนหรือญาติคนไหน เห็นได้ชัดว่าครอบครัวของเธอไม่มีญาติอะไรทั้งนั้น
ตอนนี้คุณหวงตายแล้ว ในครอบครัวไม่มีใครมีรายได้ และยังมีเด็กอีกสองคน และพ่อสมองเสื่อมอีกหนึ่งคนเธอจะทํายังไงต่อ
แม้ว่าเรื่องนี้จะอยู่เหนือความสามารถของผมแล้วอยู่เหนืออํานาจหน้าที่ในอาชีพแล้ว แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ
ผมกลับคิดว่าผมควรทําอะไรให้พวกเขาหน่อยหรือเปล่า
ไม่ว่าจะพูดยังไง สามีของคุณโจวก็ต้องมาตายเพราะพวกเรา
หลังจากครุ่นคิดมาพักใหญ่สุดท้ายผมก็เปิดรายชื่อในโทรศัพท์
เลื่อนไปที่เบอร์ของเสี่ยวม่านในบรรดาเพื่อนของผมบางทีเสี่ยวม่านอาจช่วยเรื่องนี้ได้
เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ผมได้แต่ทําหน้าด้านขอให้เสี่ยวม่านช่วย……