ศพ – ตอนที่ 468 ช่วยเหลือ

ตอนที่ 468 ช่วยเหลือ

ผมกดเปิดรายชื่อของเสี่ยวม่าน แล้วกดโทรออกทันที

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว เสี่ยวม่านก็รับสาย

เพราะเป็นการข้อร้อง ดังนั้นพอสายเพิ่งถูกรับ ผมก็รู้สึกประหม่าขึ้นมา “เสี่ยว เสี่ยวม่าน……”

“อ๋อ ! ฉันเอง เป็นอะไรไป…เป่า ทําไมพูดอําๆอึ้งๆแบบนั้น ?” เสี่ยวม่านตอบกลับด้วยน้ําเสียง สบายๆ

“เอ่อ เอ่อคือฉันมีเรื่อง….

“มีเรื่องอะไรนายก็พูดมาซิ !” เสี่ยวม่านพูดต่อ

ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นถึงเริ่มเปิดประเด็น “เรื่องเป็นแบบนี้ ฉันอยากถามว่า เธอพอมีตําแหน่งงานอะไรว่างแถวนั้นบ้างไหม เอาแบบทํางานค่อนข้างเต็มเวลาที่พักอยู่ห่างจากที่ทํางานไม่ไกล และมีเงินเดือนให้ก็พอแล้ว เป็นงานที่เหมาะกับผู้หญิงอะไรประเภทนั้น”

ผมพูดรวดเดียว พอเสียวม่านได้ยินแบบนั้น กลับ “ฮะ !” ทําเสียงหัวเราะออกมา “ทําไม… เป่า เดี๋ยวนี้นายคิดจะแนะนํางานให้สาวแล้วเหรอ ?”

พอได้ยินน้ําเสียงล้อเลียนของเสี่ยวม่าน ผมก็รู้สึกอึดอัดพอสมควร “ไม่ใช่สาว แต่เป็นแม่คนที่มีลูกแล้ว”

“อะไรนะ ? แม่คน นายมีลูกแล้วเหรอ ?” เสี่ยวม่านตกใจ

“ไม่ไม่ไม่ ไม่ใช่ลูกฉัน เป็นแม่หม้ายคนหนึ่ง ไม่ไม่ เป็นลูกค้าของฉันคนหนึ่ง สามีของเธอเพิ่งเสีย ตอนนี้ไม่มีงานทํา ไม่มีเงินใช้……” พอรีบพูด ผมก็พูดผิดจนได้

พอเสี่ยวม่านได้ยินถึงตรงนี้ เธอถึงท่าเสียง “อ่อ” ออกมา “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้ ! งั้นนายรอฉันเดี๋ยวนะ……”

พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็ได้ยินเสียงเคาะแป้นพิมพ์ “แป๊กๆๆๆ”

หลังผ่านไปพักหนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงเสี่ยวม่านพูดอีกครั้ง “แถวนั้นฉันมีบริษัทขนส่งอยู่ นายให้เพื่อนนายไปทํางานที่นั้นก็ได้ ฉันจะอนุมัติให้เป็นพิเศษ”

พอได้ยินคําว่า “ขนส่ง” สองคํานี้ ผมก็คิดถึงบริษัทหมิงโลจิสติกส์ขึ้นมาทันที

ดังนั้นเลยถามเพิ่มอีกหน่อย “เสี่ยวม่าน บริษัทขนส่งที่เธอว่าชื่ออะไรเหรอ ?”

“ฮงหยุนโลจิสติกส์ไง ทําไมเหรอ ?” เสี่ยวม่านถามกลับ

“ไม่ไม่ไม่มีไร แค่เรื่องที่เจอเมื่อคืน เกี่ยวข้องกับบริษัทขนส่งพอดี เลยยังฝังใจอยู่ !” ผมพูดอย่างกระอักกระอ่วน

“ไหนเล่ามาซิ เกิดอะไรขึ้น ? ตอนนี้ฉันก็ว่าง นายไปล่าผีมาอีกแล้วใช่ไหมละ ?” เสี่ยวม่านดูตื่นเต้นหน่อยๆ
เพราะเป็นการขอร้อง ดังนั้นผมเลยเล่าเรื่องเมื่อคืนให้เธอฟังนิดหน่อย หลักๆจะเป็นจุดเริ่มและจุดจบ

แน่นอน พวกเรื่องส่นักลื่อเย่เฉิน ครึ่งคนครึ่งปีศาจอะไรพวกนั้นผมไม่ได้เล่าให้เธอฟัง

เพียงเล่าสั้นๆ พูดประมาณว่าสามีของลูกค้าผมโดนรถชนตาย

ตอนนี้พอตายแล้ว ครอบครัวก็ไม่มีรายได้อื่นอีก

ในเวลาเดียวกันผมก็หวังว่าทางเสี่ยวม่าน จะสามารถจัดการเรื่องงานให้คุณโจวได้

หลังฟังจบ เสี่ยวม่านก็ทําเสียง “อือๆ” สองครั้ง “…เป่า นายนี่มันเป็นคนดีจริงๆ ! ตกลง ฉันจะช่วย

ทางนั้นมีตําแหน่งผู้จัดการอยู่ คนปกติสามารถทําได้ แต่ฉันจะบอกเป็นการส่วนตัวนะ ฉันสามารถเพิ่มเงินเดือนให้เธอสองขั้นได้ และให้ประกันระดับห้า หากทํางานสิบปีขึ้นไป สามารถกู้เงินแบบไม่มีดอกได้ และส่วนลดที่พักของพวกพนักงาน ! ”

เสี่ยวม่านพูดรัวๆ พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ดีใจสุดๆ

“ เยี่ยมไปเลยเสี่ยวม่าน แบบนี้ ฉันก็รู้สึกสบายใจขึ้นหน่อย แต่เสี่ยวม่าน ฉันบอกเบอร์โทรกับเธอ

แล้วเธอช่วยโทรไปบอกทางนั้นได้ไหมว่ารับสมัครพนักงาน หาเหตุผลอะไรก็ได้ ฉันกลัวว่าถ้าฉันโทรไปเอง อีกฝ่ายจะไม่ยอม……”

เสี่ยวม่านพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ซิ ! นายพูดอะไรก็ได้หมดแหละ อีกเดี๋ยวนายส่งข้อมูลมาให้ฉัน แต่ฉันบอกไว้ก่อนนะ ถึงฉันจะเปิดไฟเขี้ยวแล้ว แต่ถ้าลูกค้าของนายทํางานไม่ดี ก็อาจโดนไล่ออกนะ !”

“แน่นอน แน่นอน” ผมยิ้ม

ส่วนเสี่ยวม่านก็คุยเล่นกับผมอีกพักหนึ่ง และผมก็ถามเธอว่าเจ้าโง่ที่ขับรถเฟอร์รารี่มากวนเธออีกหรือเปล่า

เสี่ยวม่านบอกว่าไม่ จากนั้นเราก็คุยกันอีกสองสามประโยค เพราะท้ายที่สุดเธอต้องไปประชุมเลยวางสายผม

ด้วยเหตุนี้ เรื่องของคุณโจวก็ถือว่าสิ้นสุดลง

เมื่อเป็นแบบนี้ ผมเลยไม่รู้สึกผิดถึงขนาดนั้นแล้ว หลังจากวางโทรศัพท์แล้ว ผมก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง

พอตื่นมาอีกครั้ง ก็เป็นเช้าวันรุ่งขึ้นแล้ว

ผมอารมณ์ดีใช้ได้ และยังนั่งฝึกลมปราณอยู่พักหนึ่ง

ตอนนี้ผม สามารถฝึกวิชาเฟินเทียนกง ไปได้ 23 จุดแล้ว ยังเหลืออีก 15 จุด ผมก็จะฝึกขั้นต้าโจวเทียนเสร็จแล้ว จากนั้นก็จะได้เลื่อนไปฝึกขั้นโจวเทียนหยุนต่อ

เช้านี้ยังได้มาอีกจุดหนึ่ง ดังนั้นเลยอารมณ์ดีพอสมควร

พอเดินออกมาจากห้องก็เห็นอาจารย์กําลังดูข่าวอยู่พอดี เมื่อกวาดตามอง กลับพบว่าเนื้อหาของข่าวเกี่ยวกับบริษัทหมิงโลจิสติกส์ หรือสํานักสื่อเย่เฉิน

มันก็ดึงดูดความสนใจของผมทันที ผมได้ยินเพียงพิธีกรด้านในพูดว่า ตามข่าวที่เราได้รับ ตํารวจได้รับแจ้งความว่าบริษัทหมิงโลจิสติกส์ในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองเรามีแก๊งค้ามนุษย์อยู่

หลังจากตํารวจเข้าไปตรวจสอบแล้ว กลับพบว่ามันเป็นเรื่องเท็จ

สถานที่คือบริษัทขนส่งขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง รับขนส่งอาหารทะเลแช่แข็งเป็นหลัก ไม่ใช่มนุษย์

ดังนั้นประชาชนทุกคน อย่างหลงเชื่อข่าวลือ

ด้านล่างเป็นเนื้อหาที่ตํารวจบุกจู่โจมเข้าไปตรวจสอบ……

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ค่อยๆขมวดคิ้ว

ทันใดนั้นเองผมก็เห็นภาพเปลี่ยนเป็นรูปบริษัทหมิงโลจิสติกส์ และในภาพนั้นยังมีคนอีกหลายคนที่ผมรู้จักอยู่ด้วย

พวกเขาก็คือคนที่ผมเจอเมื่อคืน ตอนที่พวกเรากําลังปืนกําแพงหนี พวกแก๊งครึ่งคนครึ่งปีศาจที่ไล่ตามพวกเรา

แต่เพียงชั่วพริบตาเดียว พวกเขาก็เปลี่ยนเป็นผู้นําบริษัท ท่าทางสุภาพอ่อนโยน และยังยอมให้สัมภาษณ์ด้วย

ไม่เพียงแค่นั้น เตาเผาที่อยู่ในโกดังก่อนหน้านี้ ก็ยังหายไปอย่างไร้ร่องรอย

โลงหลายสิบใบที่วางอยู่ข้างหลัง และยังมีผู้ที่เกิดปีหยินและเดือนหยินอีกหลายสิบคนในห้องก็เปลี่ยนไปหมด ทุกอย่างถูกเปลี่ยนเป็นอาหารทะเลแช่แข็ง

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์พูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “เจ้าพวกนั้นไหวตัวเร็วจริงๆ เตาเผาใหญ่ขนาดนั้น ก็ยังย้ายได้ในเวลาสั้นๆ มีฝีมือจริงๆ”

มันเป็นเหมือนที่อาจารย์ว่าไว้ในตอนแรก ถึงการแจ้งตํารวจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่มันก็สร้างความลําบากให้อีกฝ่ายไม่น้อย

เตาเผาใหญ่ขนาดนั้น ต้องโดนย้ายออกไปแล้วแน่ๆ

แบบนี้ อีกฝ่ายก็จะไม่หลอมโอสถ โลหิตศพอะไรนั่นได้เร็วขนาดนั้นแล้ว อย่างน้อยมันก็ถือว่าได้โจมตีอีกฝ่ายทางอ้อม

แต่ตอนท้ายของรายการ เจ้าครึ่งคนครึ่งสัตว์ที่แกล้งทําเป็นผู้นําบริษัทก็พูกว่า “ บริษัทหมิงโลจิสติกส์ของเราใสสะอาดและปฏิบัติตามกฎหมาย แต่พวกเราไม่ปล่อยคนที่ใส่ร้ายพวกเราไปแน่นอน ต่อจากนี้ทางบริษัท

หมิงโลจิสติกส์ของเราจะใช้ทุกวิถีทางเพื่อหาตัวคุณให้พบ จับคนที่ปล่อยข่าวลือมั่วๆขึ้นศาล และดําเนินคดีตามกฎหมาย

ตอนพูดถึงประโยคสุดท้าย เจ้าหมอนั้นยังชี้มาที่กล้อง

คนอื่นอาจดูไม่ออก แต่ผมกับอาจารย์กลับเข้าใจความหมายแฝงที่อีกฝ่ายพูด

มันชัดเจนมาก พวกเขาอยากหาตัวพวกเรา อยากลงมือกับพวกเรา

พออาจารย์เห็นแบบนั้น ก็ปิดทีวีทันที “เดรัจฉาน อยากจะตามหาพวกเรางั้นเหรอ ? ฝันไปเถอะ !”

ผมยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

หลังกินข้าวเช้าเสร็จ เราก็เริ่มใช้ชีวิตกันตามปกติ พอว่างแล้วก็ฝึกวิชาเป็นเทียนกง

สําหรับวิชาที่บรรพบุรุษทิ้งไว้วิชานี้ ผมลองคิดมาโดยตลอด ว่าถ้าฝึกเดินลมปราณเสร็จ ผมจะร้ายกาจขึ้นขนาดไหน

แต่ยังไม่ทันถึงวันถัดไป ไม่รอให้ผมได้เดินลมปราณครบทั้ง 38 จุด

หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิงก็ส่งข้อความมาบอกว่า อาจารย์ของพวกเธอได้รับข่าวแล้ว และให้ความสําคัญกับเรื่องนี้มาก

ในเวลาเดียวกัน ก็ส่งผู้อาวุโสของสํานักออกมาดูลาดเลาแล้ว และยังบอกว่าบ่ายวันนี้ ก็จะมาหาผมที่ตําบลชิงฉือของพวกเรา

พอได้ยินแบบนั้น ผมก็ค่อนข้างตกใจพอสมควร

ภายในสายงาน ผู้อาวุโสของสํานักใหญ่ทั้งสอง เดินทางมาเป็นพันลี้ เพื่อจะมาหาผมที่ตําบลชิงฉือด้วยตัวเองมาคุยเรื่องนี้ให้กระจ่างจากผม เกียรติครั้งนี้ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ

แต่สิ่งที่ทําให้ผมคาดไม่ถึงคือ ผมกับอาจารย์ยังไม่ทันได้เจอผู้อาวุโสของสํานักอู่ตั้งและสํานักเหมาชาน

เราก็ได้รับข้อความสั้นๆจากคนแปลกหน้า

ตอนผมอ่านข้อความข้างใน ในใจกลับมีเหงื่อตกอย่างช่วยไม่ได้

มันเป็นเพียงข้อความสั้นๆ ติงฝาน พวกเราจะหาพวกแกเจอในอีกไม่นาน เตรียมตัวรับการพิพากษาของลื่อเย่ได้เลย !

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset