ตอนที่ 469 คําขู่ของสื่อเย่
ตอนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาผมไม่คิดอะไรเลยสักนิด แต่หลังเห็นเนื้อหาในข้อความแล้ว ผมก็ตกใจทันที
“ติงฝาน พวกเราจะหาพวกแกเจอในอีกไม่นาน เตรียมตัวรับการพิพากษาของสื่อเย่ได้เลย !”
หาผมเจอเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ? แถมยังรู้ชื่อผมด้วย
ที่สําคัญและแปลกยิ่งกว่านั้นคือประโยคต่อจากนั้น เตรียมตัวรับการพิพากษาของสื่อเย่
การพิพากษาของสื่อเย่ ทําให้ผมคิดถึงสํานักสื่อเย่เฉินทันที
ในข่าวเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าปีศาจที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจตนนั้น ไม่ได้ชี้มาที่กล้องแล้วพูดว่า จะหาตัวพวกเราเหรอ
ดูเหมือน ข้อความนี้ อาจเป็นความต้องการของสาวกสํานักสื่อเย่เฉิน
พอคิดถึงตรงนี้ ในใจผมก็อดมีเสียงดัง “ถูก” ไม่ได้ รู้สึกเย็นหลังวาบขึ้นมาทันที
บนหน้าผากมีเส้นสีดําผุดขึ้นมาจํานวนมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว
ถ้าเราโดนสํานักสื่อเย่เฉินจ้องเล่นงาน และยังรู้ที่อยู่ของพวกเราในตอนนี้อีก
ผมกับอาจารย์ คงไม่ได้มีวันอยู่เป็นสุขอีก
แค่คิดก็กลัวแล้ว
อาจารย์ผมยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆก็เห็นผมมองโทรศัพท์ด้วยความตกใจยืนนิ่งไป เลยถามว่า
“เสี่ยวฝาน แกเป็นอะไรไป ?”
จู่ๆก็ได้ยินอาจารย์ถาม ผมเลยตกใจได้สติกลับมาอีกครั้ง
ผมสุดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง ต่อจากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อา อาจารย์ ดู ดูนี่ซิ !”
หลังจากพูดจบ ผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้เขา
อาจารย์ถือกระบอกสูบยา พร้อมทําหน้าสงสัย “อะไรเหรอ ? ดูสภาพแกซิ อีกเดี๋ยวผู้อาวุโส สํานักอู่ตั้งกับเหมาชานก็มาแล้ว แกห้ามทําให้อาจารย์ขายหน้าเชียวนะ !”
ขณะพูด อาจารย์ก็หยิบโทรศัพท์ไปดู
แต่ตอนอาจารย์กวาดสายตามอง และเห็นเนื้อหาในโทรศัพท์แล้ว เขาก็ตัวสั่น และเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที
“นี่ นี่ นี่มัน นี่มันสํานักสื่อเย่เฉิน…..” เมื่อกี้อาจารย์ยังทําหน้าสบายใจ พูดกับผมอย่างเหย่อหยิ่ง
แต่พอเป็นตัวเอง กลับท่าตัวเว่อร์กว่าผมซะอีก
ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง บนหน้าเขียนว่าตกใจไว้เต็มๆ
พอได้ยินอาจารย์พูดด้วยความตกใจแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้ทันที “ ใช่อาจารย์ สํานักสื่อเย่เฉิน
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อีกฝ่ายสืบเจอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผมแล้ว ”
“แต่ตอนนี้ น่า น่าจะยังไม่รู้ที่อยู่ของพวกเรา ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ส่งข้อความข่สั้นๆมาแบบนี้ ป่านนี้คงจะมาบุกถึงบ้านแล้ว”
ผมลองวิเคราะห์ หลังอาจารย์ฟังจบ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “คนลิขิตไม่สู้ฟ้าลิขิต ผมนึกว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แล้วนะ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังจะหาเจออีก”
“อาจารย์ ตอนนี้เราจะทํายังไงดี เราจะหนีกันไหม ?” ผมพูดอย่างร้อนรน
ถ้าเจ้าสํานักชั่วนั่นหาที่อยู่พวกเราเจอ ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงมากแน่ๆ
อาจารย์ขมวดคิ้ว หลังลังเลอยู่พักใหญ่ เขาถึงยอมพูดออกมาอีกครั้ง “อาจารย์อายุปูนนี้แล้วจะหนีไปไหนได้ และนอกจากที่นี่แล้ว พวกเราไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ช่างเถอะ ! ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ํามาใช้ดินต้าน พวกเราอยู่ที่นี่แหละ ถ้าเจ้าพวกนั้นกล้าบุกมาถึงที่นี่จริงๆ งั้นพวกเราก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดก็จบแล้ว”
พอเห็นอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
ในเมื่ออาจารย์ตัดสินใจแล้ว งั้นก็ทําแบบนั้นก็แล้วกัน !
เจ้าสํานักสื่อเย่เฉินนี่พิลึกมาก สาวกทุกคนล้วนเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่คนและปีศาจทั้งหมด
แต่ถ้ามาบุกถึงบ้านจริงๆ ด้วยอานาจของพวกเราในตําบลชิงฉือ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเราจะกลายเป็นปลาบนเขียง
เนื่องจากที่นี่พวกเรามีท่านนักพรตต์ เหล่าเฟิง ปู่หลิว เสี่ยวเหมย มู่หลงเหยียนและยายโม่อีก
ในช่วงเวลาสําคัญ ยังสามารถเชิญเซียนจิ้งจอกบนเขาออกมาช่วยได้อีกด้วย หรือแม้แต่ไปหาวิญญาณ
โจวหยุนที่สุสานแถวอ่างเก็บน้ํา
ดังนั้น หากอยู่ที่ตําบลชิงฉือ พวกเรายังถือว่าแข็งแกร่งมากอยู่
สุดท้าย ผมก็เก็บโทรศัพท์ แล้วพยักหน้าให้อาจารย์
ส่วนอาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ ตอนบ่ายผู้อาวุโสของสํานักเหมาชานกับอู่ตั้งจะมาไม่ใช่เหรอ ? รอให้พวกเขามาถึงแล้ว ก็ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง ขอแค่สํานักทั้งสองร่วมมือกัน พวกเราก็ไม่กังวลเรื่องสํานักสื่อเย่เฉินจะมาแก้แค้นขนาดนั้นแล้ว”
ผมตอบ “อ๋อ” กับอาจารย์สั้นๆ “เรื่องนี้ผมเข้าใจดี !”
พออาจารย์ได้ยินผมตอบกลับ ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็ยกกระบอกสูบยาขึ้นมาสูบอีกครั้ง
แต่คราวนี้ อาจารย์กลับขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม
ตอนนี้พวกเรา ไม่ได้แค่ทําให้องค์กรตาผีไม่พอใจ แต่ยังไปสร้างความแค้นกับสํานักสื้อเย่เฉินอีกด้วย
องค์กรชั่วทั้งสอง ล้วนเป็นองค์กรใหญ่
ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคนฝึกตนทั่วไปจะไปต่อกรด้วยได้ แต่พวกเรากลับไปยุ่งกับองค์กรชั่วพวก
และยังฝังความแค้นไว้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย
ผมมองสีหน้ากังวลใจของอาจารย์ แล้วรู้สึกอารมณ์เสียพอสมควร
ในใจมีคําถามผุดขึ้นมา มันก็แค่คือสํานักชั่วนี่ แล้วมันได้ข้อมูลของผมมาได้ยังไง ?
หรือเป็นเพราะคุณโจวงั้นเหรอ ? พอลองคิดดูให้ละเอียดแล้ว มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น
คุณโจวไม่รู้เรื่องสาวกลือเย่มาก่อน ถ้าสาวกลื่อเปสืบมาถึงเธอจริงๆ
สิ่งที่พวกเขาได้ ก็ไม่ควรเป็นแค่เบอร์ของผม แต่เป็นของอาจารย์
และคุณโจวก็รู้แค่ว่าผมแซ่ตั้ง ผมชื่ออะไร เธอไม่รู้เลยสักนิด
นอกจากนี้ ถ้าสาวกลื่อเย่สืบได้ข้อมูลอาจารย์แล้ว ก็น่าจะรู้ที่อยู่ของพวกเราถึงจะถูก แต่พวกเขากลับรู้แค่ชื่อและเบอร์ของผม
ชัดเจน เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น แล้วอีกฝ่ายหาเบอร์ของผมเจอได้ยังไง ?
สมองผมแล่นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ ผมถึงหันไปมองรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ทันใดนั้น “ตูม” เสียงก็ดังขึ้นในสมองของผม
ใช่ ต้องเป็นเพราะรถแน่ๆ
ตอนพวกเราขับรถหนีออกมา อีกฝ่ายต้องจําป้ายทะเบียนรถผมได้ หลังจากนั้นก็ใช้บริการแพลตฟอร์มหมายเลข ตามหาข้อมูลจากทะเบียนรถ จนเจอเบอร์โทรผมที่ผูกติดเอาไว้กับรถ…
ในวินาทีนั้น ผมก็เข้าใจทุกอย่างทันที
ถ้าใช้วิธีนี้ อีกฝ่ายก็จะหาเบอร์ที่ผมผูกติดไว้กับรถเจอ
ส่วนเรื่องหาที่อยู่ของพวกเรา คงเป็นเรื่องยากหน่อย
เมื่อเป็นแบบนี้ ผมจะยังต้องกังวลอะไรอีกละ ? ถึงจะมีเบอร์ผม พวกเขาก็ยังหาพวกเราไม่เจออยู่ดี
แน่นอน นี่เป็นการคาดเดาของผม
ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช้วิธีนี้ 100% แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ถึง 80% หรือมากกว่านั้น
พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็อธิบายความคิดของผมให้อาจารย์ฟังทันที
หลังอาจารย์ได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น คิ้วที่เคยขมวดกันแน่นของเขา ก็คลายออกในทันที
“เสี่ยวฝาน แกจะบอกว่า อีกฝ่ายสืบเจอแค่เบอร์โทรของแกเท่านั้น ยังไม่เจอที่อยู่ของพวกเรา
* ใช่อาจารย์ ผมคิดว่างั้น ตอนโผล่ไปแถวบริษัทหมิงโลจิสติกส์ เราไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือเบาะแสอะไรไว้ แล้วพวกมันจะรู้ชื่อผมกับเบอร์ได้ยังไง ? ถ้าไปรู้มาจากคุณโจว ก็น่าจะรู้ชื่อของอาจารย์กับเบอร์ถึงจะถูก
แต่ทําไมถึงเป็นของผมแทนละ ?”
“มันอธิบายได้แค่อย่างเดียว คืออีกฝ่ายสืบผ่านทะเบียนรถจนเจอผม แต่ถ้าอยากรู้ที่อยู่ของพวกเราผ่านทะเบียนรถ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นอกซะจากพวกมันจะสามารถควบคุมรัฐบาล หรือมีลูกน้องอยู่ในนั้น…..