ศพ – ตอนที่ 469 คําขู่ของสื่อเย่

ตอนที่ 469 คําขู่ของสื่อเย่

ตอนผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาผมไม่คิดอะไรเลยสักนิด แต่หลังเห็นเนื้อหาในข้อความแล้ว ผมก็ตกใจทันที

“ติงฝาน พวกเราจะหาพวกแกเจอในอีกไม่นาน เตรียมตัวรับการพิพากษาของสื่อเย่ได้เลย !”

หาผมเจอเร็วขนาดนั้นเลยเหรอ ? แถมยังรู้ชื่อผมด้วย

ที่สําคัญและแปลกยิ่งกว่านั้นคือประโยคต่อจากนั้น เตรียมตัวรับการพิพากษาของสื่อเย่

การพิพากษาของสื่อเย่ ทําให้ผมคิดถึงสํานักสื่อเย่เฉินทันที

ในข่าวเมื่อก่อนหน้านี้ เจ้าปีศาจที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจตนนั้น ไม่ได้ชี้มาที่กล้องแล้วพูดว่า จะหาตัวพวกเราเหรอ

ดูเหมือน ข้อความนี้ อาจเป็นความต้องการของสาวกสํานักสื่อเย่เฉิน

พอคิดถึงตรงนี้ ในใจผมก็อดมีเสียงดัง “ถูก” ไม่ได้ รู้สึกเย็นหลังวาบขึ้นมาทันที

บนหน้าผากมีเส้นสีดําผุดขึ้นมาจํานวนมาก นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆแล้ว

ถ้าเราโดนสํานักสื่อเย่เฉินจ้องเล่นงาน และยังรู้ที่อยู่ของพวกเราในตอนนี้อีก

ผมกับอาจารย์ คงไม่ได้มีวันอยู่เป็นสุขอีก

แค่คิดก็กลัวแล้ว

อาจารย์ผมยืนอยู่ข้างๆ จู่ๆก็เห็นผมมองโทรศัพท์ด้วยความตกใจยืนนิ่งไป เลยถามว่า

“เสี่ยวฝาน แกเป็นอะไรไป ?”

จู่ๆก็ได้ยินอาจารย์ถาม ผมเลยตกใจได้สติกลับมาอีกครั้ง

ผมสุดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง ต่อจากนั้นก็พูดกับอาจารย์ว่า “อา อาจารย์ ดู ดูนี่ซิ !”

หลังจากพูดจบ ผมก็ยื่นโทรศัพท์ให้เขา

อาจารย์ถือกระบอกสูบยา พร้อมทําหน้าสงสัย “อะไรเหรอ ? ดูสภาพแกซิ อีกเดี๋ยวผู้อาวุโส สํานักอู่ตั้งกับเหมาชานก็มาแล้ว แกห้ามทําให้อาจารย์ขายหน้าเชียวนะ !”

ขณะพูด อาจารย์ก็หยิบโทรศัพท์ไปดู
แต่ตอนอาจารย์กวาดสายตามอง และเห็นเนื้อหาในโทรศัพท์แล้ว เขาก็ตัวสั่น และเผยสีหน้าตกใจออกมาทันที

“นี่ นี่ นี่มัน นี่มันสํานักสื่อเย่เฉิน…..” เมื่อกี้อาจารย์ยังทําหน้าสบายใจ พูดกับผมอย่างเหย่อหยิ่ง

แต่พอเป็นตัวเอง กลับท่าตัวเว่อร์กว่าผมซะอีก

ดวงตาเบิกกว้าง อ้าปากค้าง บนหน้าเขียนว่าตกใจไว้เต็มๆ

พอได้ยินอาจารย์พูดด้วยความตกใจแบบนั้น ผมก็พยักหน้าให้ทันที “ ใช่อาจารย์ สํานักสื่อเย่เฉิน

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่อีกฝ่ายสืบเจอชื่อและเบอร์โทรศัพท์ของผมแล้ว ”

“แต่ตอนนี้ น่า น่าจะยังไม่รู้ที่อยู่ของพวกเรา ไม่อย่างงั้นก็คงไม่ส่งข้อความข่สั้นๆมาแบบนี้ ป่านนี้คงจะมาบุกถึงบ้านแล้ว”

ผมลองวิเคราะห์ หลังอาจารย์ฟังจบ ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ “คนลิขิตไม่สู้ฟ้าลิขิต ผมนึกว่าไม่ได้ทิ้งร่องรอยเอาไว้แล้วนะ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายยังจะหาเจออีก”

“อาจารย์ ตอนนี้เราจะทํายังไงดี เราจะหนีกันไหม ?” ผมพูดอย่างร้อนรน

ถ้าเจ้าสํานักชั่วนั่นหาที่อยู่พวกเราเจอ ผลที่ตามมาต้องร้ายแรงมากแน่ๆ

อาจารย์ขมวดคิ้ว หลังลังเลอยู่พักใหญ่ เขาถึงยอมพูดออกมาอีกครั้ง “อาจารย์อายุปูนนี้แล้วจะหนีไปไหนได้ และนอกจากที่นี่แล้ว พวกเราไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น ช่างเถอะ ! ทหารมาใช้ขุนพลต้านรับ น้ํามาใช้ดินต้าน พวกเราอยู่ที่นี่แหละ ถ้าเจ้าพวกนั้นกล้าบุกมาถึงที่นี่จริงๆ งั้นพวกเราก็ฆ่าพวกมันทั้งหมดก็จบแล้ว”

พอเห็นอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

ในเมื่ออาจารย์ตัดสินใจแล้ว งั้นก็ทําแบบนั้นก็แล้วกัน !

เจ้าสํานักสื่อเย่เฉินนี่พิลึกมาก สาวกทุกคนล้วนเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่คนและปีศาจทั้งหมด

แต่ถ้ามาบุกถึงบ้านจริงๆ ด้วยอานาจของพวกเราในตําบลชิงฉือ ก็ไม่ได้แปลว่าพวกเราจะกลายเป็นปลาบนเขียง

เนื่องจากที่นี่พวกเรามีท่านนักพรตต์ เหล่าเฟิง ปู่หลิว เสี่ยวเหมย มู่หลงเหยียนและยายโม่อีก

ในช่วงเวลาสําคัญ ยังสามารถเชิญเซียนจิ้งจอกบนเขาออกมาช่วยได้อีกด้วย หรือแม้แต่ไปหาวิญญาณ

โจวหยุนที่สุสานแถวอ่างเก็บน้ํา

ดังนั้น หากอยู่ที่ตําบลชิงฉือ พวกเรายังถือว่าแข็งแกร่งมากอยู่

สุดท้าย ผมก็เก็บโทรศัพท์ แล้วพยักหน้าให้อาจารย์

ส่วนอาจารย์ก็พูดกับผมว่า “ ตอนบ่ายผู้อาวุโสของสํานักเหมาชานกับอู่ตั้งจะมาไม่ใช่เหรอ ? รอให้พวกเขามาถึงแล้ว ก็ค่อยเล่าเรื่องนี้ให้พวกเขาฟัง ขอแค่สํานักทั้งสองร่วมมือกัน พวกเราก็ไม่กังวลเรื่องสํานักสื่อเย่เฉินจะมาแก้แค้นขนาดนั้นแล้ว”

ผมตอบ “อ๋อ” กับอาจารย์สั้นๆ “เรื่องนี้ผมเข้าใจดี !”

พออาจารย์ได้ยินผมตอบกลับ ก็พยักหน้าให้เล็กน้อย จากนั้นก็ยกกระบอกสูบยาขึ้นมาสูบอีกครั้ง

แต่คราวนี้ อาจารย์กลับขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิม

ตอนนี้พวกเรา ไม่ได้แค่ทําให้องค์กรตาผีไม่พอใจ แต่ยังไปสร้างความแค้นกับสํานักสื้อเย่เฉินอีกด้วย

องค์กรชั่วทั้งสอง ล้วนเป็นองค์กรใหญ่

ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราคนฝึกตนทั่วไปจะไปต่อกรด้วยได้ แต่พวกเรากลับไปยุ่งกับองค์กรชั่วพวก

และยังฝังความแค้นไว้อย่างลึกซึ้งอีกด้วย

ผมมองสีหน้ากังวลใจของอาจารย์ แล้วรู้สึกอารมณ์เสียพอสมควร

ในใจมีคําถามผุดขึ้นมา มันก็แค่คือสํานักชั่วนี่ แล้วมันได้ข้อมูลของผมมาได้ยังไง ?

หรือเป็นเพราะคุณโจวงั้นเหรอ ? พอลองคิดดูให้ละเอียดแล้ว มันไม่น่าจะเป็นแบบนั้น

คุณโจวไม่รู้เรื่องสาวกลือเย่มาก่อน ถ้าสาวกลื่อเปสืบมาถึงเธอจริงๆ

สิ่งที่พวกเขาได้ ก็ไม่ควรเป็นแค่เบอร์ของผม แต่เป็นของอาจารย์

และคุณโจวก็รู้แค่ว่าผมแซ่ตั้ง ผมชื่ออะไร เธอไม่รู้เลยสักนิด

นอกจากนี้ ถ้าสาวกลื่อเย่สืบได้ข้อมูลอาจารย์แล้ว ก็น่าจะรู้ที่อยู่ของพวกเราถึงจะถูก แต่พวกเขากลับรู้แค่ชื่อและเบอร์ของผม

ชัดเจน เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน

แต่ถึงจะเป็นอย่างงั้น แล้วอีกฝ่ายหาเบอร์ของผมเจอได้ยังไง ?

สมองผมแล่นอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งผ่านไปพักใหญ่ ผมถึงหันไปมองรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ทันใดนั้น “ตูม” เสียงก็ดังขึ้นในสมองของผม

ใช่ ต้องเป็นเพราะรถแน่ๆ

ตอนพวกเราขับรถหนีออกมา อีกฝ่ายต้องจําป้ายทะเบียนรถผมได้ หลังจากนั้นก็ใช้บริการแพลตฟอร์มหมายเลข ตามหาข้อมูลจากทะเบียนรถ จนเจอเบอร์โทรผมที่ผูกติดเอาไว้กับรถ…

ในวินาทีนั้น ผมก็เข้าใจทุกอย่างทันที

ถ้าใช้วิธีนี้ อีกฝ่ายก็จะหาเบอร์ที่ผมผูกติดไว้กับรถเจอ

ส่วนเรื่องหาที่อยู่ของพวกเรา คงเป็นเรื่องยากหน่อย

เมื่อเป็นแบบนี้ ผมจะยังต้องกังวลอะไรอีกละ ? ถึงจะมีเบอร์ผม พวกเขาก็ยังหาพวกเราไม่เจออยู่ดี

แน่นอน นี่เป็นการคาดเดาของผม

ผมไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายใช้วิธีนี้ 100% แต่ผมคิดว่า เรื่องนี้เป็นไปได้ถึง 80% หรือมากกว่านั้น

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็อธิบายความคิดของผมให้อาจารย์ฟังทันที

หลังอาจารย์ได้ยินผมพูดถึงขนาดนั้น คิ้วที่เคยขมวดกันแน่นของเขา ก็คลายออกในทันที

“เสี่ยวฝาน แกจะบอกว่า อีกฝ่ายสืบเจอแค่เบอร์โทรของแกเท่านั้น ยังไม่เจอที่อยู่ของพวกเรา

* ใช่อาจารย์ ผมคิดว่างั้น ตอนโผล่ไปแถวบริษัทหมิงโลจิสติกส์ เราไม่ได้ทิ้งร่องรอยหรือเบาะแสอะไรไว้ แล้วพวกมันจะรู้ชื่อผมกับเบอร์ได้ยังไง ? ถ้าไปรู้มาจากคุณโจว ก็น่าจะรู้ชื่อของอาจารย์กับเบอร์ถึงจะถูก

แต่ทําไมถึงเป็นของผมแทนละ ?”

“มันอธิบายได้แค่อย่างเดียว คืออีกฝ่ายสืบผ่านทะเบียนรถจนเจอผม แต่ถ้าอยากรู้ที่อยู่ของพวกเราผ่านทะเบียนรถ มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ นอกซะจากพวกมันจะสามารถควบคุมรัฐบาล หรือมีลูกน้องอยู่ในนั้น…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset