ศพ – ตอนที่ 470 ผู้อาวุโสจากสํานัก

ตอนที่ 470 ผู้อาวุโสจากสํานัก

หลังฟังจบ สีหน้าของอาจารย์ก็เปลี่ยนไปทันที

ต่อจากนั้น อาจารย์ก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง แล้วพูดกับผมว่า “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แน่นอน ถึงพวกสํานักชั่วจะร้ายกาจ แต่ก็ไม่เก่งไปกว่ารัฐบาลแน่นอน ตอนนี้ดูเหมือนพวกเราจะปลอดภัยอยู่ !”

ช่วงเวลานั้น อาจารย์สบายใจขึ้นไม่น้อย

แต่ในขณะที่ผมและอาจารย์กําลังคุยกัน รถเช่าคันหนึ่งก็มาจอดที่หน้าร้านพวกเรา

พอเห็นรถเช่าจอดที่หน้าร้านเรา ผมและอาจารย์ก็อดหันไปมองไม่ได้ พวกเราต่างคิดว่าเป็นลูกค้ามาหาที่ร้าน

แต่หลังประตูรถเปิดออก ผมกลับเห็นภาพที่ไม่คาดคิด

คนที่ลงมาก่อน เป็นผู้หญิงสองคนที่คุ้นหน้า หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจึง

สาวสวยทั้งสองคน ล้วนเป็นสาวสวย ผิวขาว ขายาวประเภทนั้น

จู่ๆก็เห็นหยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจึง ผมเลยรู้ตกใจพอสมควร

เพราะทั้งสองสาวบอกผมว่า พวกเธอน่าจะมาถึงประมาณ 4-5 โมงเย็น

แต่ตอนนี้เพิ่งเที่ยงตรง แต่พอเห็นผู้หญิงทั้งสองคนแล้ว ผมและอาจารย์ก็ลุกขึ้นทันที

ผมและอาจารย์เพิ่งลุกขึ้น เราก็เห็นชายอีกสองคนเดินลงมาจากรถ

พวกเขาเป็นชายชราทั้งสองคน ชายแก่สองคนนี้น่าจะมีอายุพอๆกับอาจารย์ ประมาณ 60 ได้

ท่าทางดูมีพลังเต็มเปี่ยม หนึ่งในนั้นใส่ชุกนักพรต ถือแส้ขนหางจามรี และเกล้าผมมวยด้วย

ส่วนอีกคนกลับดูเป็นคนทันสมัยมาก เขาใส่หมวกกันแดด ใส่เสื้อลายดอก ไว้หนวดหน่อยๆ กางเกงขายาวสีขาวและรองเท้าหนังสีขาวดูมีสไตล์สุดๆ

ชายแก่สองคนนี้เพิ่งลงรถ นุ่ยเฉิงจังและหยางเฉวก็พูดกับพวกเขาสองสามประโยคพร้อมกัน นั้นยังชี้มาทางพวกเราด้วย

พออาจารย์เห็นแบบนั้น ก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที รีบพูดกับผมว่า “มาแล้ว นี่คงเป็นผู้อาวุโสของสํานักใหญ่ทั้งสอง”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็เหล่ตามองผม แล้วทําตาโต พร้อมกันนั้นยังเอากระบอกสูบยามาเคาะหลังผมหนึ่งครั้ง “ หลังตรงหน่อย เกร็งหน้าท้องเข้าไว้ เงยหน้า เบิกตากว้างๆ ทําท่าทาง เคร่งขรึมเข้าไว้ ใช่ ใช่แบบนั้นละ อีกเดี๋ยวยืนตัวตรงๆละเอาท่าทางแบบนี้แหละ ถ้าไม่ได้บอกให้ แกพูด ก็อย่าเผลอพูดออกมามั่วๆนะ

ถึงศาลของพวกเราจะเล็ก แต่ก็อย่าทําให้อาจารย์ขายหน้าเชียว เข้าใจไหมฮี? ”

“แบบ แบบนี้มันทรมานมากเลยนะอาจารย์ !” ผมรู้สึกว่าท่าทางแบบนี้มันแปลกมาก

ผลลัพธ์อาจารย์กลับทําหน้าเข้มใส่ผม “อย่ามาพูดไร้สาระกับฉัน ยืนดีๆละ นี่เรียกว่าการวางตัวถ้ากล้าขัดคําสั่งฉัน แกรอดูเลยว่าฉันจะจัดการแกยังไง”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ยังจ้องผมพักหนึ่ง

ผมละไม่กล้าขัดคําสั่งอาจารย์จริงๆ เนื่องจากผมรู้ดีว่าอาจารย์เป็นตาแก่ที่รักศักดิ์ศรีตัวเองมาก

และบางทีอาจเป็นเพราะอาจารย์เองก็ไม่เคยเจอผู้อาวุโสของสํานักมาก่อน ตอนนี้เขาน่าจะกําลังตื่นเต้นและประหม่าเหมือนผม

พอได้ยินคําพูดนี้ ผมก็ได้แต่กลอกตาในใจ แต่ก็ไม่กล้าลีลาท่าเยอะ

ต่อจากนั้น ผมก็เห็นอาจารย์วางกระบอกสูบยาลง จัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แล้วเดินตรงไปที่หน้าร้านทันที
ผมเองก็ไม่ได้หยุดอยู่ที่เดิม รีบเดินตามออกไปทันที

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมได้เจอผู้อาวุโสในลัทธิเลยรู้สึกตื่นเต้นมากเช่นกัน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าระวังตัวมาก

และกลัวจะเสียมารยาท

ผ่านไปเพียงครู่เดียว ผมและอาจารย์ก็ออกมาอยู่หน้าประตูแล้ว

ผมยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์ ทําตามที่อาจารย์พูดยืนตัวตรง หน้าเคร่งขรึม หรือแม้แต่แทบจะตายด้านไร้อารมณ์ใดๆเลยก็ว่าได้

หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิงที่ยืนอยู่ข้างนอก ต่างเหลือบมองผมทันที

พอเห็นผมยืนอย่างกับทหาร สีหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตาเบิกกว้าง พวกเธอก็แทบกลั้นหัวเราะเอาไว้ไม่อยู่

แต่ตอนนี้มีผู้อาวุโสอยู่ตรงหน้า พวกเธอทั้งสองคนเลยไม่กล้าทําผิดกฎ และไม่กล้าทําตัวร่าเริงเหมือนปกติ

เนื่องจากในสายงานของพวกเรา เคารพกฎมาก

และเพิ่งมาถึงหน้าประตู ผมก็เห็นนุ่ยเฉิงจึงและหยางเจ่วทําท่ากลั่นหัวเราะ พร้อมพูดกับอาจารย์ผมด้วยความเคารพ “ท่านผู้อาวุโสติง !”

อาจารย์ผมยิ้มและพยักหน้าให้ ในเวลาเดียวกันชายแก่ทั้งสองคนก็ทําตามกฎ ทํามือคํานับอาจารย์ผม

แม้จะยังไม่รู้จักกัน แต่มันก็แสดงถึงมิตรภาพที่ดี

อาจารย์ย่อมไม่กล้าทําตัวหยิ่ง เขาเองก็ทํามือคํานับกลับ “ข้าถึงโย่วซาน ท่านทั้งสองคงเป็นผู้อาวุโสของสํานักอู่ตั้งและเหมาชาน”

เสียงอาจารย์เพิ่งเงียบลง นุ่ยเฉิงจึงก็ยืนแนะนําอยู่ข้างๆ “ ท่านผู้อาวุโสทิ้ง นี้คืออาจารย์ลุงของหนู

ท่านนักพรตเฉินแห่งเหมาชาน ”

เฉยเฉิงจึงเพิ่งแนะนําเสร็จ คนที่โดนเรียกว่านักพรตเฉินก็พูดกับอาจารย์ผมด้วยรอยยิ้ม “ ข้าเฉินจือ

ได้ยินชื่อเสียงท่านนักพรตติ้งมานานแล้ว !”

ชายแก่ที่ชื่อเฉินจอคนนี้ เป็นคนที่ใส่เสื้อลายดอก แม้จะเป็นถึงผู้อาวุโสของสานักเหมาชานที่ยิ่งใหญ่แบบนั้น มีตําแหน่งสูงส่ง แต่ก็เป็นคนที่ถ่อมตัวมาก

คนทั่วไป อาจไม่ได้เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร

แต่ในสายงานของพวกเรา ผู้อาวุโสสํานักเหมาชานเป็นบุคคลที่สูงส่ง หรือจะเทียบได้กับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเมือง

และพวกเราก็เป็นเหมือนคนเปิดร้านแผงลอยข้างถนน มักจะโดนพวกเจ้าหน้าที่แต่งตัวด้วยชุดแปลกๆมาขับไล่เสมอ

อาจารย์ย่อมเข้าใจดีว่าอีกฝ่ายกําลังชมเขา คนที่เปิดร้านเล็กๆ และเป็นนักพรตธรรมดาคนหนึ่งอย่างอาจารย์ผม อาจมีชื่อเสียงในตําบลชิงฉือที่มีเนื้อที่เล็กๆอย่างนี้อยู่บ้าง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสสํานักเหมาชาน

เราก็มีชื่อเสียงแค่เส้นขนบางๆเท่านั้น

อาจารย์ฉีกยิ้ม พร้อมพูดด้วยน้ําเสียงเขินอายหน่อยๆ “ไม่ขนาดนั้นหรอก”

ในเวลาเดียวกัน เขาก็หันไปมองชายแก่ที่ใส่ชุดนักพรต และถือแส้ขนหางจามรี

“ไม่ทราบว่านักพรตท่านนี้มีนามว่าอะไร ?” อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้ม และทํามือคารวะ

หยางเนิ่วที่อยู่ข้างๆ แนะนําทันที “ท่านผู้อาวุโสติง นี่คืออาจารย์ลุงของหนูค่ะ”

“ข้าหวังเฉิงกาน ชื่นชมท่านนักพรตติงมานานแล้ว” อีกฝ่ายถือแส้ด้วยมือข้างเดียว พร้อมยกฝ่ามืออีกข้างขึ้นเป็นแนวตั้งเหมือนท่าพนมมือข้างเดียว
อาจารย์ย่อมสุภาพมาก “ท่านนักพรตหวังเกรงใจแล้ว รีบ รีบเข้าไปด้านในเถอะทุกคนเชิญ !”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ผายมือเชิญ

ผมในฐานะผู้น้อย เวลาผู้ใหญ่กําลังคุยกัน ย่อมเข้าไปพูดแทรกไม่ได้อยู่แล้ว เพราะมันเป็นกฎอย่างหนึ่ง

ตอนนี้เมื่อเห็นอาจารย์พูดเชิญ ผมถึงได้พูดออกมา “ท่านผู้อาวุโสทั้งสองเชิญ……”

นักพรตหวังและนักพรตเฉินยิ้มให้ผมและอาจารย์เล็กน้อย จากนั้นก็ตามอาจารย์ผมเข้าไปด้านใน

อาจารย์และผู้อาวุโสทั้งสองเพิ่งเข้าไปข้างใน ฉียเฉิงจิงและหยางเฉวก็เข้ามาใกล้ผมทันที

ผมเห็นหยางเฉวยิ้มและล้อผมคนแรก “ยืนแบบทหารได้ไม่เลว !”

หลังจากพูดจบ หยางเฉวก็เดินเข้าไปด้านใน

àยเฉิงจึงเองก็ “ฮ่าๆ” กลั้นหัวเราะไม่อยู่แล้ว “ลุงตึง ไม่ต้องเครียดขนาดนั้น อาจารย์ลุงเฉินของฉันใจดีมาก บางครั้งยังพาฉันไปอัพเวลอีกด้วย !”

หลังจากพูดจบ ยัยนี่ก็หัวเราะ “คิค” แล้วเดินเข้าไป

ผมทําหน้าเลิกลักทันที พวกเธอสองคนคิดว่าฉันอยากเป็นแบบนี้หรือไง

หลังสูดหายใจเข้าลึกๆแล้ว ผมก็เดินตามเข้าไป

เพิ่งเข้ามาในบ้าน อาจารย์ก็ให้ผมไปยกชามาเสิร์ฟทันที

ส่วนอาจารย์ ก็คุยกับผู้อาวุโสของทั้งสองสํานักสองสามประโยค

แต่ผ่านไปไม่นาน อีกฝ่ายก็เข้าประเด็นทันที

ตอนนี้เห็นเพียงหวังเฉิงกานหรือนักพรตหวังแห่งสํานักอู่ตั้งที่ใส่ชุดนักพรตคนนั้นพูดว่า “นักพรตติง น่าจะรู้ดีว่าข้าและนักพรตเฉินมาที่นี่ทําไม พวกเรามาเข้าเรื่องกันเถอะ ! พวกเราอยากรู้เรื่องทุกอย่างที่เกี่ยวกับสํานักสื้อเย่เฉินมาก นักพรตติ้งได้โปรดเล่าที่คุณรู้ให้พวกเราฟังด้วย……”

พออาจารย์ได้ยินถึงตรงนี้ ก็ทําท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมาอีกครั้ง

เขาพยักหน้าให้นักพรตทั้งสอง จากนั้นก็เริ่มเล่าเรื่องที่พวกเราเห็นและรู้ ให้นักพรตทั้งสองฟัง

ผม หยางเฉ่ว และนุ่ยเฉิงจึงยืนอยู่ข้างๆแม้พวกเราจะสนิทกันมาก

แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเหล่าอาจารย์ เราก็ไม่กล้าพูดมาก ได้แต่ยืนเงียบๆอยู่แบบนั้น…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset