ศพ – ตอนที่ 471 ฐานะที่น่าตกใจ

ตอนที่ 471 ฐานะที่น่าตกใจ

ผู้อาวุโสทั้งสองตั้งใจฟังอย่างละเอียดเพราะกลัวว่าตัวเองจะฟังตกหล่นไป

ไม่ใช่แค่นั้น ตอนพวกอาจารย์ลุงฟังเรื่องทุกอย่างจบแล้ว

อีกฝ่ายยังเริ่มถามเราก่อนว่ามีตรงไหนที่ตกหล่อนหรือยังไม่ได้เล่าให้พวกเขาฟังหรือเปล่า

แต่ตั้งแต่ที่อาจารย์รู้ว่าผู้อาวุโสแห่งสํานักใหญ่ทั้งสองจะมาเยือน เขาก็พูดเช็คกับผมหลายต่อหลายรอบแล้ว

ดังนั้นอาจารย์ไม่มีทางพูดตกหล่นไปแน่นอน และเขาก็พูดได้ละเอียดมากด้วย

พอผู้อาวุโสทั้งสองได้ยินอย่างงั้นก็พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็เริ่มถามถึงกําลังของอีกฝ่ายจากอาจารย์ผม และระดับการกลายสภาพต่างๆด้วย

ถามแบบมืออาชีพสุดๆ หรือแม้แต่ละเอียดโครตๆ แม้แต่เรื่องที่กรงเล็บของอีกฝ่ายใช้เวลาประมาณไหนถึงจะงอกออกมาพวกเขาก็ถาม

แต่หลังจากอาจารย์ตอบคําถามทุกอย่างเสร็จแล้ว เฉินจือหรือนักพรตเฉิน ที่ใส่เสื้อลายดอกกลับถามขึ้นมาด้วยสีหน้าสงสัย “นักพรตติงไม่ทราบว่าคุณกับศิษย์ฝึกตนไปถึงขั้นไหนแล้ว ?”

พออาจารย์ได้ยินนักพรตเฉินถามถึงเรื่องพลัง เขาก็อดฝืนยิ้มออกมาไม่ได้ “ ข้าเกิดมาไร้พรสวรรค์ ฝึกตนมา

กว่าสิบปี ตอนนี้ยังอยู่เพียงระดับเต่าชื่อขั้นกลางส่วนศิษย์ของข้าถึงฝาน ก็เพิ่งอยู่ระดับเต้าฉือขั้นสุดเท่านั้น”

หลังนักพรตเฉินได้ยินถึงตรงนี้ สีหน้าสงสัยของเขาก็ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม “นักพรตติง ถ้าอย่างงั้น ระดับพลังของทั้งสองท่านก็อยู่ในขั้นเต้าชื่อเท่านั้น แต่เมื่อกี้นักพรตติงบอกว่าก่อนหน้านี้พวกคุณได้ต่อสู้กับปีศาจหลายสิบตนมา แต่ระดับพลังของพวกคุณสามารถเอาชนะปีศาจหลายสิบตนนั้นได้ยังไง ?”

พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านคงไม่รู้ นอกจากศิษย์ของข้าจะเป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว เขายังเป็นชูหม่าด้วย ! ที่สามารถมีชีวิตรอดจากวงล้อมของปีศาจหลายสิบตนนั้นได้ ก็เป็นเพราะความช่วยเหลือของเซียนทั้งนั้น !”

พอนักพรตหวังและนักพรตเฉินได้ยินคําพูดนี้ ก็ตกใจขึ้นมานิดหน่อย

นักพรตเฉินพูดด้วยน้ําเสียงสงสัย “โห ไม่ทราบลูกศิษย์คุณเป็นชูหม่าของตระกูลไหน ?”

“ตระกูลหู !” อาจารย์ตอบทันที

พอหวังเฉิงกานที่อยู่ข้างๆได้ยินว่าเป็นตระกูลหูก็พยักหน้าเล็กน้อย “ตระกูลหู น่าจะเป็นตระกูลหูแห่งเขาฉินซินะ ไม่ทราบว่าศิษย์ของคุณเป็นชูหม่าของเซียนจิ้งจอกล่าดับที่เท่าไหร่ !”

ล่าดับของเซียนจิ้งจอก ก็เหมือนล่าดับลูกศิษย์ในลัทธิ

ล่าดับแรกคือผู้อาวุโสสูงสุด ลำดับที่สองคือผู้นํา ลำดับที่สามคือหัวหน้า ล่าดับที่สี่ก็คือศิษย์ของศิษย์เอกคนปัจจุบันและลําดับอื่นๆ แต่ไม่ว่ายังไงหากตัวเลขยิ่งเยอะขึ้นเท่าไหร่ลําดับก็จะยิ่งต่ำขึ้นเท่านั้น

หลังอาจารย์ฟังจบก็อดไม่ได้ที่จะทําตัวมั่นหน้า หรือแม้แต่ดูภูมิใจขึ้นพอสมควร

อาจารย์สูดหายใจยาวๆ แล้วพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน บอกผู้อาวุโสทั้งสอง ว่าแกเป็นชูหม่าของใคร !”

นักพรตหวังและนักพรตเฉินหันมามอง พอเห็นอาจารย์พูดแบบนั้น ก็เป็นธรรมดาที่ผมจะไม่กล้ารอช้า

ผมก้าวไปข้างหนึ่งก้าว แล้วทํามือคารวะท่านผู้อาวุโสทั้งสองแล้วพูดว่า “ ท่านผู้อาวุโสทั้งสองผู้น้อยเป็น

ชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก ! เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก”

ผมค่อยๆพูดที่ละประโยค แต่หลังจากผมพูดจบผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนโซฟา ด้วยท่าทางที่สบายๆ

กลับดูเหมือนโดนฟ้าผ่าในวินาทีนั้น “พรึบ” สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที

เดิมที่นักพรตเฉินที่ใส่เสื้อลายดอกคนนั้นกําลังดื่มชาอยู่ พอฟังผมพูดจบ เขาก็ “ฟู” พ้นน้ําชาออกมาทันที ท่าเอาบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ําทันที

โชคดีที่ไม่มีใครอยู่ตรงหน้าไม่อย่างนั้นคงกระอักกระอ่วนกว่านี้

เพาะนักพรตเฉินสําลักน้ําออกมา เขาเลยเริ่มไอต่อ “แค่กๆๆๆ อะ อะไรนะ ? ชู ชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก แค่กๆๆ”

นักพรตเฉินคนนี้ยังพูดไม่จบนักพรตหวังที่ถือแส้ขนหางจามรีอยู่ๆก็ลุกขึ้นยืนทันที

เขาทําหน้าช็อกดวงตาเบิกกว้าง พูดอย่างไม่อยากเชื่อ “เป็น เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก

เหมือนอาจารย์จะรู้ว่าผู้อาวุโสจะเป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกเขาดูมีความสุขเป็นพิเศษ หรือแม้แต่ทําตัวได้ใจออกมาเล็กน้อยด้วย

พอผมเห็นท่านผู้อาวุโสทั้งสองตกใจแบบนั้น ตัวผมเองก็ค่อนข้างตกใจพอสมควร

แต่ก็ยังพูดต่อ “ ใช่ครับผู้น้อยไม่ได้เป็นชูหม่าของเซียนท่านไหน แต่เป็นชูหม่าของทั้งเผ่าจิ้งจอก เป็นศิษย์ของนางพญาจิ้งจอก ! ”

ผมพูดยืนยันอีกรอบหลังนักพรตหวังและนักพรตเฉินฟังจบพวกเขาก็ดูประหลาดใจสุดๆ พร้อมกันนั้นยังสูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งครั้ง

ชหม่าของทั้งเผ่าจิ้งจอกในสายตาของคนทั่วไปจะมีใครสามารถมีวาสนา และฐานะแบบผมได้

สําหรับผม เจ้าสิ่งนี้ยังไม่ได้มีอิทธิพลอะไรมากนัก

แต่ในสายตาของผู้อาวุโสที่อยู่ในสานักใหญ่ๆพวกนี้ ผมไม่ได้แค่โชคดี แต่ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสุดๆ

นี่ไม่ใช่แค่ชหม่าของเซียนทั่วไป ผมเป็นถึงชหม่าของทั้งเผ่า และยังเป็นเผ่าจิ้งจอก หนึ่งในเผ่าปีศาจที่ยิ่งใหญ่ด้วย

เขาฉันมีเนื้อที่ทอดยาวหลายพันลี้ในนั้นมีป่าดึกด่าบรรพ์อยู่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ เซียนตระกูลหมีมากน้อยขนาดไหนก็ไม่รู้

แต่ผมละ ! กลับเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอกทั้งเผ่า

นี่หมายความว่าอะไร มันหมายความว่าผมเป็นมนุษย์ผู้ส่งสารของเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉิน เป็นตัวแทน

และเป็นหน้าเป็นตาของเผ่าจิ้งจอก

หรือจะพูดอีกอย่างคือผมก็คือเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉินหาเรื่องผมก็คือหาเรื่องเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉินทั้งเผ่า

หากคบหากับผม ก็เหมือนมีเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉันเป็นเพื่อน

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสทั้งสองท่านก็คิดถึงจุดนี้ และเรื่องพวกนี้ได้

แต่ที่ทําให้ตกใจคือคิดไม่ถึงว่านักพรตตัวเล็กๆในชนบทจะเป็นหน้าเป็นตาของเผ่าจิ้งจอก

แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเขาตกใจ หรือช็อกได้ยังไง

หากสร้างสัมพันธ์อันดีกับผม ก็เท่ากับได้สร้างความสัมพันธ์กับเผ่าจิ้งจอกแห่งเขาฉิน สําหรับลัทธิในยุคนี้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่าดีแน่นอน

จนกระทั่งผ่านไปสองสามวินาทีแล้ว ผู้อาวุโสทั้งสองท่านถึงสงบสติอารมณ์ได้อีกครั้ง

ตอนนี้ สามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผมมีตัวตนอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว

และดูจากท่าทางพวกเขาไม่ได้นิ่งเงียบเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนี้เปลี่ยนเป็นกันเองขึ้นไม่น้อย

ตอนนี้ผมเห็นเพียงนักพรตเฉินที่ใส่เสื้อลายดอกคนนั้นทํามือค่านับอาจารย์ผม “ ข้ามีตาหามีแววไม่

ไม่ทราบว่าศิษย์ของนักพรตติงเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก เสียมารยาทแล้วๆ ”

ขณะพูด นักพรตหวังก็ทํามือค่านับ

อาจารย์ค่อนข้างได้ใจ หรือแม้แต่ดูตัวลอยเลยก็ว่าได้

“ฮ่าๆๆ ! ไม่หรอกๆ ศิษย์ของผมมีวาสนา ! วันข้างหน้ายังต้องพึ่งพาท่านนักพรตทั้งสองอยู่ !” อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้ม

นักพรตเฉินโบกมือ “นักพรตติ้งถ่อมตัวไปแล้ว ในเมื่อถึงฝานเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก วันข้างหน้าก็ต้องมีอนาคตที่สดใสแน่นอน และทางสํานักย่อมมีตําแหน่งให้เขาอยู่แล้ว”

เพราะเรื่องที่ผมเป็นชูหม่าของเผ่าจิ้งจอก ส่งผลให้หยุดการสนทนาของพวกเขาไว้ชั่วคราวจากนั้นพวกเขาก็เริ่มเอ่ยชมตัวผมแทน

มันทําให้ผมเขินมาก แต่สุดท้าย เราก็ได้ยินนักพรตหวังแห่งสํานักอู่ตั้งพูดว่า “นักพรตติ้ง ที่พวกเรามาในวันนี้ นอกจากจะทําความเข้าใจสํานักสื่อเย่เฉินแล้ว พวกเราอยากจะไปดูสาขาย่อยของสํานักชั่วนั้นด้วยตัวเอง”

“นักพรตติง พวกเราสามารถร่วมมือกันได้ถ้าถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วคืนนี้เราไปจัดการสํานักสื่อเย่นั่นกันเถอะ

นักพรตหวังสะบัดแสในมือ พร้อมพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

ส่วนผมที่ได้ยินคําพูดนี้อยู่ข้างๆกลับรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาหน่อยๆ

ถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆก็คงเยี่ยมไปเลย

จัดการเจ้าสํานักยื่อเย่เฉินบ้าบออะไรนี่ให้เรียบร้อย สิ่งที่ต้องกังวลในวันข้างหน้าก็จะน้อยไปหนึ่งอย่าง

ที่ที่พวกเราอยู่ก็จะได้สงบขึ้นอีกหน่อย พวกเราเองก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดนั้นแล้ว

ผมเห็นด้วยสุดๆ แต่ผมเป็นผู้น้อยเลยเข้าไปพูดแทรกไม่ได้ได้แต่ยืนฟังอยู่ข้างๆเท่านั้น

พออาจารย์ได้ยินแบบนั้นกลับขมวดคิ้ว “แค่พวกเราจะไหวเหรอ ?”

อาจารย์รู้สึกไม่ค่อยเชื่อสิ่งที่ได้ยินไม่ว่าจะพูดยังไงจํานวนคนของอีกฝ่ายก็มีมากกว่าหลายร้อยคน

แค่พวกเราไม่กี่คนอาจารย์รู้สึกว่ามันไม่มีหวังจริงๆ

แต่ใครจะรู้ว่านักพรตเฉินจือแห่งสํานักเหมาชานจะหัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมา “ใช่ พวกเราไม่กี่คนนี่แหละ”

หลังจากพูดจบนักพรตเฉินก็ล็อคสายตามาที่ตัวผม แล้วพูดต่อ “ ถ้าเรียกเซียนตระกูลหูมาช่วยได้ เราก็จะเหมือนเสือติดปีกเลยละ……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset