ศพ – ตอนที่ 472 ยายเจ็ด

ตอนที่ 472 ยายเจ็ด

เจ้าสํานักสื่อเย่เฉินอะไรนั่น ขัดหขัดตาผมตั้งต้นแล้ว

โดยเฉพาะหลักคําสอนที่ผิดเพี้ยนของพวกมัน ทําให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ

และยังอ้างว่าเป็นทางสู่ความเป็นอมตะ ไร้สาระสิ้นดี

สิ่งที่ผิดเพี้ยนยิ่งกว่านั้นคือ พวกมันยังอยากทําให้ทุกคนบนโลกกลายเป็นแบบนั้นจนหมด

สําหรับสํานักชั่ว ที่มีผู้นําและสาวกที่ผิดเพี้ยนเช่นนี้

ถ้าเป็นไปได้ ผมก็อยากจะกําจัดให้สิ้นซากจริงๆ เลือกทิ้งเอาไว้สักคนก็ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นใครคนนั้นอาจไปทําร้ายคนอื่นอีก

ตอนนี้พอได้ยินนักพรตเฉินแห่งสํานักเหมาชานพูดแบบนั้น ผมก็ดีใจขึ้นมาทันที

ในฐานะคนปราบสิ่งชั่วร้าย การกําจัดสาขาสํานักสื่อเย่ชั่วน เป็นเรื่องที่ปฏิเสธไม่ได้อยู่แล้ว !

ดังนั้น ไม่รอให้อาจารย์ผมได้พูดผมก็ชิงพูดกับพนักพรตเฉินก่อน “ผู้น้อยยินดี”

เสียงเพิ่งเงียบลง นักพรตเฉินคนนั้นก็ตบขาเสียงดัง “ดี ! มีคําพูดนี้ของหม่าเผ่าจิ้งจอก คืนนี้พวกเราจะไปเยี่ยมเจ้าสาขาสํานักสื่อเย่นั่นกัน”

“อามิตตาพุทธ ข้าก็จะได้ไปยืดเส้นยืดสายเสียหน่อย !” นักพรตหวังอีกคนก็พูดขึ้นมาบ้าง

พออาจารย์เห็นแบบนั้น ก็ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี

แต่คราวนี้สถานการณ์ไม่เหมือนครั้งที่แล้ว คราวนี้มีผู้อาวุโสของสํานักใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกสองคน

แม้จะมีแค่สองคน แต่ทั้งสองคนนี้อาจมีฝีมือสูงส่งสามารถสู้กับศัตรูนับสิบได้เพียงลําพัง

มู่หลงเหยียนและนางพญาจิ้งจอก เป็นตัวอย่างที่ดีที่สุดในการเปรียบเทียบ ทั้งสองมีพลังมหาศาล

เป็นประเภทสามารถสู้กับศัตรูนับสิบได้เพียงคนเดียว หรือแม้แต่ศัตรูนับร้อยก็ว่าได้

ดังนั้น ตอนนี้อาจารย์เองเลยพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน ในเมื่อคืนนี้จะไปสานักสื่อเย่ งั้นตอนนี้แกก็ไปเชิญปู่หกที่ศาลเจ้าหลักเมืองเถอะ ! ส่วนฉันเองก็จะบอกให้เหล่าตู้และพวกเหล่าเฟิงมาที่นี่”

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด รีบพยักหน้ารับอาจารย์ทันที

จากนั้นก็พูดกับนักพรตหวังและนักพรตเฉินอีกครั้ง “ผู้อาวุโสทั้งสอง ผู้น้อยขอตัวไปเชิญเซียนจิ้งจอกก่อน ท่านผู้อาวุโสทั้งสองพักผ่อนกันก่อนสักหน่อยนะครับ !”

หลังนักพรตหวังและนักพรตเฉินได้ยินถึงตรงนี้ พวกเขาก็ไม่ได้ถามว่าผมจะไปเชิญที่ไหนเพียงให้ผมรีบไปรีบกลับเท่านั้น

ต่อจากนั้นผมก็บอกลาและเดินออกมา ก่อนจะออกไปผมยังหันไปยิ้มให้หยางเนิ่วและนุ่ยเฉิงจึงด้วย

ถึงผู้หญิงสองคนนี้จะไม่พูดจา แต่ก็พยักหน้าให้ผม

แม้นจะเป็นครั้งแรกที่เห็นหยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจึงมาด้วยกัน แต่ตอนรู้จักกับจุ่ยเฉิงจิง ผมได้ยินว่าพวกเธอรู้จักกันก่อนที่จะรู้จักผมซะอีก

เพียงแต่ก่อนหน้านี้ หยางเฉ่าปิดบังฐานะศิษย์สํานักอู่ตั้งกับพวกเรา

ตอนนี้ที่ผู้หญิงสองคนนี้พาผู้อาวุโสของสํานักอู่ตั้งและเหมาชานมาที่นี่ด้วยตัวเอง ก็เพราะเชื่อใจผมล้วนๆ

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะพวกเธอ พวกเราก็คงเชิญผู้อาวุโสระดับสูงแบบนี้มาไม่ได้

ต่อจากนั้น ผมก็ออกจากบ้าน

แน่นอน ตอนไปเชิญเซียนที่ศาลเจ้าหลักเมือง ก็ต้องไม่ไปมือเปล่าอยู่แล้ว

ผมไปซื้อไก่ตัวผู้สองสามตัวที่ตลาดก่อน จากนั้นถึงไปที่ศาลเจ้าหลักเมือง

ศาลเจ้าหลักเมืองยังคงทรุดโทรมเหมือนเดิม ผมยืนหยุดอยู่หน้าศาลเจ้า แล้วตะโกนเข้าไปด้วยความเคารพ “ศิษย์ติงฝาน มาคารวะปู่หลิว !”

เสียงต่าและดังกังวาล เสียงเพิ่งดังเข้าไปในศาลเจ้าหลักเมือง

เสียงแก่ชราของปู่หลิวก็ดังตามมาติดๆ “ชูหม่าไม่ต้องมากพิธี รีบเข้ามาเถอะ !”

“ครับ ปู่หลิ่ว !”

หลังจากพูดจบ ผมก็ถือไกรีบเดินเข้าไปด้านใน

เพิ่งเข้ามาในศาลเจ้า ผมก็เห็นในกอหญ้าหน้ารูปปั้นมีจิ้งจอกสามตัวนั่งอยู่

พอเห็นว่ามีสามตัว ผมก็เริ่มงงหน่อยๆ

ที่นี่ควรมีแค่ปู่หลิ่วกับเสี่ยวเหมยซิถึงจะถูก ทําไมถึงมีมาเพิ่งอีกตัวละ

ขนของจิ้งจอกสามตัวนี้ สองตัวมีขนออกสีขาว อีกตัวหนึ่งสีเหลืองแดง

หนึ่งในจิ้งจอกที่มีขนสีขาว ผมรู้จักเขาก็คือปู่หลิ่วแน่นอน
เพราะผมเคยเห็นร่างจริงของปู่หลิวมาก่อน ส่วนขนสีขาวอีกตัวผมไม่เคยเห็นมาก่อนน่าจะมาใหม่

สําหรับตัวที่มีขนสีเหลืองแดง ต้องเป็นยัยจิ้งจอกน้อยเสี่ยวเหมยแน่นอน

พอเห็นปู่หลิ่วละจิ้งจอกเฒ่าอีกตัว ผมก็วางไก่ลง แล้วทํามือคารวะพวกเขาอีกครั้ง “ปู่หลิ่วเสี่ยวเหมย”

ปู่หลิวและจิ้งจอกตนอื่นไม่ได้แปลงการเป็นมนุษย์ เขายังเป็นจิ้งจอกดังเดิม

ปู่หลิวที่นั่งอยู่ตรงกลางเพียงคลี่ “ยิ้มจิ้งจอก” ออกมาเท่านั้น จากนั้นก็พูดภาษามนุษย์ในสไตล์เขาออกมา “ไม่ทราบว่าวันนี้ชหม่ามาด้วยเรื่องอะไร ?”

เสียงเพิ่งจางหาย เสี่ยวเหมยที่นั่งอยู่ด้านข้างก็แขวะผมทันที “ ปู่ เขาจะมีเรื่องอะไรได้ นอกจากมีปัญหา

แล้วอยากให้พวกเราช่วยก็เท่านั้น ! 17

เพราะเราเผาศพของพ่อเธอ และไม่อาจเข้าสุสานจิ้งจอกได้ สําหรับเผ่าจิ้งจอก มันอาจเป็นเหมือนเผ่ามนุษย์เราที่คนตายไม่อาจนอนตายตาหลับ ดังนั้นเสี่ยวเหมยเลยไม่ชอบขี้หน้าพวกเรามาโดยตลอด

ในจุดนี้ ผมรู้ดีแก่ใจ

ตอนนี้พอโดนแขวะแบบนั้น ผมก็รู้สึกกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าควรพูดยังไงต่อดี

พูดตามตรง เสี่ยวเหมยพูดถูก ถ้าไม่มีปัญหาผมก็คงไม่มากวน

เป้าหมายที่ผมว่าในวันนี้ ก็มาเพื่อขอความช่วยเหลือจริงๆ

แต่ในขณะที่ผมกําลังล่าบากใจ ปู่หลิวก็พูดดุเสี่ยวเหมย “ เสี่ยวเหมย อย่าเสียมารยาท เรื่องของชูหม่า

ก็คือเรื่องของเผ่าจิ้งจอกเรา ในเมื่อนางพญาเลือกช่หม่าแล้ว และบุญบารมีของเผ่าเราก็ต้องพึ่งพาชหม่าอยู่แล้วต่อไปห้ามเสียมารยาท และพูดเรื่องไร้สาระแบบนี้อีก ! ”

ปู่หลิ่วตําหนิเสี่ยวเหมยเป็นชุด

ส่วนเสี่ยวเหมยก็สะบัดหน้าหนีทันที

ผมเองก็ยืนอยู่ในศาลเจ้า เลยไม่รู้จะพูดอะไรดี ได้แต่ยืนมองเท่านั้น

จากนั้นป่หลิวก็ละสายตา หันมามองทางผมอีกครั้ง “ ขายหน้าช่หม่าแล้ว เสี่ยวเหมยยังเด็กเธอยังไม่เข้าใจ

คือใช่ชหม่า ผมจะแนะนําจิ้งจอกตนนี้ให้คุณรู้จัก ”

หลังจากพูดจบปู่หลิวก็หันไปมองจิ้งจอกเฒ่าขนขาวตัวข้างๆ

ส่วนจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้นก็พยักหน้าให้ผมดวงตาเป็นประกาย แค่มองก็รู้แล้วว่าแตกต่างจากสัตว์ทั่วไป

นี่ต้องเป็นผู้อาวุโสในเผ่าจิ้งจอกแน่ๆ ดังนั้นผมเลยทํามือคารวะจิ้งจอกเฒ่าตนนั้น

หลังจากนั้น ถึงได้ยินป่หลิ่วพูดว่า “ ชหม่า ท่านนี้คือยายหูชี้ ได้รับค่าสั่งจากเจ้าแม่ให้มาเฝ้า

อยู่ที่นี่

ไม่คิดว่าคุณจะมาหาก่อนที่เราจะไปบอกคุณ !”

พอได้ยินป่หลิ่วแนะนําแล้วผมก็ตกใจในทันที

ยายหู% ตามลําดับอาวุโสเธออยู่ในระดับเดียวกับปู่หลิ่ว เป็นผู้ใต้บัญชานางพญา หนึ่งในผู้ อาวุโสสูงสุดของเผ่าจิ้งจอก

ผมไม่รอช้า รีบพูดกับจิ้งจอกเฒ่าขนขาวตัวนั้นทันที “ศิษย์ติงฝาน ขอคารวะยายหูชี !”

เสียงของผมเพิ่งเงียบลง ยายหูชีก็หัวเราะใส่ผม “ฮ่าๆๆ” เสียงของเธอฟังดูไม่แก่เลยสักนิด “จินถงไม่ต้องมากพิธี แล้วต่อไปจนถงก็เรียกข้าว่ายายเจ็ดก็พอแล้วจะได้สนิทกันเข้าไว้ !”

“ครับยายเจ็ด” ผมพูดขึ้นมาอีกครั้ง

ยายเจ็ดพยักหน้าเบาๆ “จินถง พูดมาเถอะว่าท่านมาทําไม ! เผื่อยายเจ็ดจะช่วยอะไรท่านได้บ้าง”

ยายหูชียังพูดขนาดนี้แล้ว ผมเลยไม่คิดจะพูดจาอ้อมค้อมอีก

และนักพรตหวังแห่งสํานักอู่ตั้งและนักพรตเฉินแห่งสํานักเหมาชานกําลังรออยู่ด้วย !

ดังนั้น ผมเลยพูดไปตรงๆ “ ยายเจ็ด ปู่หลิว เรื่องเป็นแบบนี้ เมื่อไม่นานนี้มีสานักสื่อเย่ออกมาปรากฏตัว

ในหมู่สาวกมีสภาพไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจ ฝึกวิชามารใช้คนเป็นหลอมยา ”

“วันนี้ผู้อาวุโสของสํานักเหมาชานและอู่ตั้งมาที่นี่ พวกเขาอยากทําความเข้าใจเรื่องนี้ และ อยากกําจัดเจ้าเนื้อร้ายนี้ ดังนั้น ศิษย์มาเพื่อขอให้เซียนทั้งสองช่วยเหลือไปฐานสํานักชั่วนั่นด้วยกัน และกําจัดพวกมันให้สิ้นซาก……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset