ศพ – ตอนที่ 473 ร่วมมือกัน

ตอนที่ 473 ร่วมมือกัน

ผมพูดรวบรัดมาก และรีบเล่าสาเหตุของเรื่องและเป้าหมายของตัวเองให้พวกเขาฟังหนึ่งรอบ

หลังปู่หูลิ่วและยายหูฟังจบ ดวงตาก็หลี่ลงจนกลายเป็นเส้นตรง

สุดท้ายก็ได้ยินปู่หลิ่วพูดกับยายเจ็ดว่า “น้องเจ็ด นี่คงเป็นสํานักชั่วที่เจ้าแม่พูดถึง !”

ยายหูชีพยักหน้าเล็กน้อย “น่าจะใช่”

หลังจากพูดจบ ยายหูชีก็หันมาพูดกับผมอีกครั้ง “จินถง ครั้งก่อนที่เจ้าแม่ปรากฏตัว เพราะเรื่องนี้หรือเปล่า ?”

เมื่อได้ยินยายหูชีพูดด้วยน้ําเสียงจริงจังแบบนั้น ผมก็รีบตอบกลับทันที “ใช่ครับ ยายเจ็ด คราวก่อนพวกเราโดนปีศาจหลายสิบตนล้อม โชคดีที่เจ้าแม่ปรากฏตัวทัน ไม่อย่างงั้นศิษย์กับอาจารย์ของศิษย์ ต้องจบชีวิตกันตรงนั้นแน่นอนครับ !”

หลังยายหูฟังผมพูดจบ เธอก็พยักหน้าอีกครั้ง “ ดี ! ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นยายเจ็ดและปู่หูลิ่วของเจ้า

ก็จะไปเป็นเพื่อนเจ้าสักครั้ง”

ผมตกใจ เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา แล้วรีบทํามือคํานับขอบคุณทันที “ ขอบคุณปู่หลิ่วและยายเจ็ดมากครับ

นี่เป็นของที่ศิษย์เอามาคารวะ โปรดรับไว้ด้วยครับ”

ปู่หูลิ่วหัวเราะ “ฮ่าๆ” “หิวจริงๆนั่นแหละ เอามาเถอะ ! กินอิ่มท้องแล้วพวกเราค่อยเดินทางเนาะ !”

หลังจากพูดจบ ปู่หูลิ่วก็ตัวสั่น กลายร่างเป็นชายชราคนหนึ่ง

แต่ดูจากอายุแล้ว เขากลับดูมีพละกําลังเป็นพิเศษ ดวงตาเป็นประกาย และทรงพลัง

นอกจากปู่หูลิ่วแล้ว ยายเจ็ดที่อยู่ข้างๆก็แปลงกายเช่นกัน

แต่หลังจากยายเจ็ดแปลงกายแล้ว เธอกลับไม่ใช่ยายแก่ แต่เป็นสาวสวยวัยกลางคนคนหนึ่ง

เธอเป็นผู้หญิงที่สวยมาก ร่างกายอวบเว่อร์ และยังมีเสน่ห์ของจิ้งจอกเล็กน้อย

ผมรีบถอยไปข้างหลังหนึ่งก้าว จากนั้นก็พูดกับปู่หลิวและยายเจ็ดว่า “เชิญ เชิญเลย……”

ปู่หูลิ่วและยายเจ็ดเองก็ไม่เกรงใจ รีบเข้ามาจับไก่ตัวผู้ไปคนละตัว

แล้วอ้าปาก เผยให้เห็นเขี้ยวที่คมกริบ ขนไก่ยังไม่ทันดึงออก พวกเขาก็กัดไปที่คอของไก่ทัน

ไก่ตัวผู้พวกนั้นดิ้นทุรนทุรายสองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่หายใจอีก

ในขณะที่ปู่หูลิ่วและยายเจ็ดกําลังเพลิดเพลินกับอาหาร เสี่ยวเหมยกลับยังหน้าบึงอยู่

เหมือนไก่ตัวผู้จะไม่ส่งผลกับเธอแต่อย่างใด ถึงตอนนี้แล้วเธอก็ยังไม่แปลงกายลุกมากิน

เมื่อเห็นแบบนั้น ผมก็ยกไก่ตัวนึง ไปไว้ตรงหน้าเสี่ยวเหมย “เสี่ยวเหมย กินซิ !”

เสี่ยวเหมยเหลือบมองผมแวบหนึ่ง แต่สุดท้ายก็เค้นเสียงดัง “ซี” แล้วอ้าปากงับคอไก่ตัวนั้น

สําหรับเผ่าจิ้งจอก ผมค่อนข้างรู้จักดีทีเดียว

หลังแปลงกายเป็นมนุษย์แล้ว พวกเขาจะดูดีพอสมควร แม้แต่ปู่หลิวที่แปลงกายเป็นคนแก่ ก็ยังจัดอยู่ในประเภทคนแก่ที่หล่อเหลา

แต่ตอนพวกเขากินอาหาร สภาพตอนกินแบบนั้นทําให้ผมไม่กล้าเอ่ยชมจริงๆ

ปากเต็มไปด้วยเลือดสดๆ ขนไก่เต็มปาก ฉีกร่างเหยื่ออย่างไม่ใยดี เป็นฉากนองเลือดดีๆนี่เอง

หากคนทั่วไปมาเห็น ต้องอ้วกออกมาแน่ๆ

แต่สําหรับผม ฉากนี้เป็นสิ่งที่ผมชินชานานแล้ว และแทบไม่ได้มีอาการใดๆออกมา

ผ่านไปพักหนึ่ง หลังพวกเขากินอิ่มแล้ว ผมก็เห็นยายเจ็ดเช็ดปาก จากนั้นก็พูดกับผมว่า “เสร็จแล้วจนถง พวกเราอิ่มแล้ว ออกไปกันได้แล้ว !”

ปู่หูลิ่วเองก็พยักหน้า ส่วนหูเหมยยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้พูดอะไร

ผมเองก็ไม่ลังเล ตอบยายหูชี้ว่า “ครับ” จากนั้นเซียนจิ้งจอกทั้งสามตน ก็เดินออกมาจากศาลเจ้าหลักเมืองด้วยร่างมนุษย์

ที่นี่อยู่ห่างจากร้านผมไม่ไกลมาก บวกกับพวกเขากลายร่างเป็นมนุษย์ เลยไม่ผิดข้อห้ามใดๆ

ผมเดินนําพวกเขา ผ่านไปไม่นานผมก็พาปู่หูลิ่ว ยายหู และเสี่ยวเหมยมาที่ร้าน

เพิ่งถึงหน้าประตู จุ่ยเฉิงจิงก็เห็นพวกเรา

พอยัยนี่เห็นเสี่ยวเหมย เธอก็ดีใจขึ้นมาทันที

เพราะเดินทางไปที่เขาเขี้ยวหมาป่าด้วยกัน และเธอกับเสี่ยวเหมยยังเข้ากันได้ดีมาก

ผลลัพธ์เพิ่งเจอหน้ากัน ฉยเฉิงจิงก็ดีใจ รับโบกมือให้เสี่ยวเหมยทันที “เสี่ยวเหมย เสี่ยวเหมย……”

เสี่ยวเหมยเองก็เห็นจุ่ยเฉิงจัง ทันใดนั้นท่าทางเย็นชาดุจน้ําแข็งของเธอ ก็มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นมาทันที “จิงจิง !”

ขณะพูด เสี่ยวเหมยก็วิ่งเข้าไปหา เหมือนสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทที่ไม่ได้เจอหน้ากันนานแล้ว

เพิ่งเจอหน้าก็จับมือ และหัวเราะกันคึกคัก

ปู่หูลิ่วและยายหูชี้หันมามองหน้ากันพักหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา เพียงเดินตามผมเข้าไปข้างในเท่านั้น

แต่ตอนที่ผมเข้าไปในบ้าน กลับพบว่าในบ้านมีคนเพิ่มมาอีกสามคน คือท่านนักพรตต์ เหล่าเฟิงและเหล่าฉัน

พวกเขารู้ข่าวหลังผมออกจากบ้าน และมารออยู่ที่นี่นานแล้ว

ท่านนักพรตตู่ เหล่าเพิ่งและคนอื่นๆ ก็รู้เรื่องสํานักสื้อเย่เฉิน ตั้งแต่ที่พวกเราหนีรอดจากสาวกสํานักสื่อเย่เฉินนั่นได้แล้ว

ตอนนี้ผู้อาวุโสสานักเหมาชานและอู่ตั้ง ก็มาเตรียมจะกําจัดสาขาสํานักสื่อเย่เฉินนี่แล้ว

พวกท่านนักพรตตู่ ไม่ยอมอยู่เฉยๆอยู่แล้ว

ผมมองตาเหล่าเฟิงแวบหนึ่ง หน้าเจ้านี้ยังเย็นชาหน้าตายด้านไม่มีผิด แต่อย่างน้อยเขาก็ยังพยักหน้าให้ผม

ถือเป็นการทักทายกันก็ว่าได้

ผมเองไม่ได้พูดจาไร้สาระ พยักหน้าให้เขาเช่นกัน จากนั้นก็พาปู่หูลิ่วและยายหูชี้เข้าไปข้างใน

พวกเราเพิ่งเข้ามาข้างใน สายตาของคนอื่นก็จับจ้องมาที่ร่างของพวกเราแล้ว

ผมเห็นทุกคนหันมามองกันหมด เลยไม่ลังเล แนะนําให้ทุกคนรู้จักทันที “ผู้อาวุโสทุกท่านสองท่านนี้คือเซียนผู้อาวุโสที่ผู้น้อยเชิญมา ท่านนี้คือปู่หลิว ท่านนี้คือยายหูชี”

ผมแนะนําแบบจริงจังสุดๆ ปู่หลิวและยายหูชีเองก็ไม่วางท่า เป็นเหมือนนักพรตอย่างเราๆ พวกเขาทํามือค่านับทุกคนในบ้าน

จากนั้น ผมก็รีบแนะนํานักพรตหวังและนักพรตเฉินให้ปู่หลิวและยายหูชีรู้จัก ในเวลาเดียวกันก็แนะนําให้ยายเจ็ดรู้จักกับอาจารย์ผมและคนอื่นๆด้วย

เมื่อทําแบบนี้แล้ว ทุกคนก็ถือว่ารู้จักกันแล้ว

ตอนนี้ ได้ยินเพียงหวังเฉิงกานผู้อาวุโสแห่งสํานักอู่ตั้งพูดกับปู่หลิ่วและยายหูชีว่า “ครั้งนี้ท่านเซียนทั้งสองยินดีออกมาจากเขามาช่วยเหลือ ข้ารู้สึกเป็นเกียรติมากจริงๆ”

“ ฮ่าๆๆ ! นักพรตหวังเกรงใจไปแล้ว เรื่องของชหม่าก็คือเรื่องของพวกเรา อีกอย่างเจ้าสํานักชั่วนี่ก็เป็นภัย

ถึงเราจะเป็นจิ้งจอก แต่ก็มีหน้าที่ทําคุณแทนสวรรค์” ปู่หลิ่วตอบกลับเป็นชุด

พอนักพรตเฉินจื่ออี้ที่อยู่ข้างๆได้ยินแบบนั้น ก็พูดต่อทันที “ ตอนนี้ก็เย็นมากแล้ว ในเมื่อมาครบแล้ว

พวกเราก็ออกเดินทางกันเถอะ ! หลังสอดแนมศัตรูให้แน่ชัดแล้ว เราก็จะลงมือกันคืนนี้เลย”

ทุกคนมาเพื่อเจ้าสํานักสื่อเย่เฉินนี้ทั้งนั้น หลังได้ยินนักพรตเฉินพูดแบบนั้น แต่ละคนต่างพยักหน้าตกลงทันที

ต่อจากนั้น ทุกคนก็ไม่มัวลีลา หยิบอาวุธของตัวเอง แล้วออกไปทันที

เพราะพวกเรามีทั้งหมด 12 คน ดังนั้นนอกจากรถผมแล้ว เหล่าฉันยังไปขับรถขนศพออกมาจากสุสานด้วย

หลังจากนั้นรถของพวกเราทั้งสองคน ก็พาทุกคนมาที่ฐานที่มั่นของเจ้าสํานักชั่วนั่นในเขตชานเมือง

หรือก็คือไปที่บริษัทหมิงโลจิสติกส์

หลังจากนั้นประมาณสองชั่วโมงกว่าๆ พวกเราก็ทิ้งระยะห่างจากบริษัทหมิงโลจิสติกส์ ประมาณ 500 เมตร จอดรถจากนั้นก็เอารถไปซ่อนไว้

เมื่อลองมองดูเวลา ตอนนี้ 6 โมงเย็นแล้ว

เมื่อเห็นทุกคนอยู่ครบ ผมก็อธิบายที่ตั้งของบริษัทหมิงโลจิสติกส์ให้ทุกคนฟังอย่างละเอียด

ทุกคนคิดว่าควรเดินเข้าไปตามทางไหล่เขาที่อยู่ด้านข้าง

เหมือนกับที่ผมและอาจารย์ทําเมื่อครั้งที่แล้ว หนึ่งจะไม่โดนจับได้ง่ายๆ และสองยังแอบเข้าไปได้ง่ายๆด้วย

ดังนั้น พวกเราเลยออกจากถนนหลัก เข้ามาตามทางไหล่เขาที่อยู่ข้างๆ

ถึงป่าของที่นี่จะไม่เขียวชอุ่ม แต่ก็ยังมีทางลาดที่เอาไว้ใช้เป็นที่กําบังตัวได้ ยังไงก็ไม่น่าจะโดนจับได้ง่ายๆ

หลังตัดสินใจเสร็จ ผมและอาจารย์ก็เริ่มพาทุกคนแอบเข้าไปอย่างระมัดระวัง ค่อยๆเข้าใกล้เจ้าบริษัทที่ดูเหมือนจะทําการค้าเกี่ยวกับการขนส่ง แต่แท้ที่จริงแล้วมันคือฐานที่มั่นของสํานักชั่ว….

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset