ศพ – ตอนที่ 474 แผนการตัดหัว

ตอนที่ 474 แผนการตัดหัว

เพราะระยะทางไม่ค่อยไกล ดังนั้นหลังจากผ่านไปไม่นานพวกเราก็เข้ามาใกล้ตัวบ้านพักและโกดังเก็บสินค้าพวกนั้น

ยิ่งเข้าใกล้เท่าไหร่ ใจผมก็ยิ่งสั่นเท่านั้น

ผมมีความรู้สึกแบบนั้น มันเครียดกว่าตอนมาที่นี่ครั้งที่แล้วซะอีก

ตอนนี้พระอาทิตย์กําลังตกดินแล้ว ท้องฟ้าก็เริ่มมืดขึ้นเรื่อยๆ

แต่พวกเรากลับไม่รีบเข้าไป เพียงแอบเดินไปตามไหล่เขาอย่างระมัดระวัง และสํารวจสถานการณ์ภายในสาขาของสานักสื่อเย่แห่งนี้อย่างละเอียด

เนื่องจากรู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยชนะร้อย ก่อนที่จะรู้สถานการณ์ภายในอย่างชัดเจน พวกเราจะไม่ลงมืออย่างนุ่มบ่าม

ในเวลานี้สามารถเห็นได้อย่างชัดเจน กําแพงรอบนอกถูกทําให้สูงขึ้น หรือแม้แต่เพิ่มลวดหนามเข้าไปด้วย

แต่ถ้ามองจากข้างนอก ที่นี่ยังเหมือนกับบริษัทโลจิสติกส์ทั่วไป

และคนงานด้านในก็ใส่ยูนิฟอร์มเดียวกัน พวกเขากําลังขนถ่ายสินค้ากันตามปกติ มองไม่เห็นความผิดปกติเลยสักนิด

แต่ ตอนเราเปิดตาสวรรค์แล้ว สถานการณ์พวกนั้นอาจเปลี่ยนไปบ้าง

เพราะท้องฟ้าค่อยๆมืดขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลต่อการมองเห็นอย่างมาก

ทุกคนทยอยเปิดตาที่ละคน ภายใต้ดวงตาสวรรค์ ในบ้านสองสามหลังนี้ มีไอสีเหลืองอ่อนลอยออกมาอย่างชัดเจน

ไอสีเหลืองพวกนี้ผมกับอาจารย์เคยเห็นแล้ว พวกมันลอยออกมาจากเตาหลอมยาขนาดยักษ์อันนั้น

นอกจากนี้ ในอากาศยังมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ

มนุษย์อย่างพวกเราต้องใช้ความพยายามอย่างมากถึงจะรู้ได้ แต่หูเหมย ปู่หูลิ่วและยายหูชีจิ้งจอกสามตัวนี้ กลับมีสัมผัสที่ไวมากต่อกลิ่นเลือด

ทุกคนมองหน้ากันพักหนึ่ง จากนั้นถึงได้ยินนักพรตเฉินแห่งสํานักเหมาชานพูดออกอย่างเย็นชา

“สถานที่แบบนี้ซ่อนได้ดีจริงๆ ถ้าไม่ได้เข้ามาใกล้ก็ไม่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติจริงๆ”

“อ๋อ ! ถ้าข้าเห็นไม่ผิด คนขนของพวกนั้น ไม่มีใครเป็นคนปกติสักคน” นักพรตหวังก็พูดเสริม

สําหรับเรื่องนี้ ผมรู้ดี เลยพูดขึ้นมาจากทางด้านข้าง “ท่านผู้อาวุโสหวังพูดถูก คนขนของพวกนั้นเป็นสาวกของสํานักชั่วนี้ทั้งหมด ภายนอกดูเหมือนคนปกติ แต่ที่จริงแล้วเจ้าพวกนี้เป็นครึ่งคนครึ่งปีศาจ หากเกิดการต่อสู้ขึ้น พวกมันก็จะเปลี่ยนเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งปีศาจ”

นักพรตหวังและนักพรตเฉินพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มสารวจต่อ เราอยากหาจุดที่จะแอบเข้าไปในดีที่สุด

แต่ทันใดนั้นเอง คิ้วของผมและอาจารย์ก็ขมวดเข้าหากันอย่างแรง สายตาจับจ้องไปที่ชายชุดดำคนหนึ่ง

แม้มันจะอยู่ไกลมาก แต่พวกเราก็จําได้ตั้งแต่แวบแรก ชายชุดค่าคนนั้นก็คือคนที่อยู่ที่นี่เมื่อครั้งก่อน

เขาก็คือคนที่พวกสาวกเรียกว่า “ท่านหลิง”

มันชัดเจนมาก เจ้าหมอนี่ก็คือหัวโจกของฐานนี้ เป็นบอสของที่นี่

เป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ คือถ้าจับเจ้าหมอนี่ได้ เราก็จะได้รู้ข้อมูลจํานวนมากเกี่ยวกับเจ้าสํานักสื่อเย่น

และยังมี “บ้านเหมียวหนานเหยียน” อะไรนั่นอีก เราจะต้องได้ร่องรอยอะไรบ้างแน่นอน

พอคิดได้แบบนี้ ผมก็ไม่รอให้อาจารย์พูดออกมา ซึ่งพูดกับทุกคนทันที “ รีบดูเร็ว ชายชุดดำคนนั้น

เขาเป็นบอสของที่นี่ ถูกเรียกว่าท่านหลิง ”

เมื่อคําพูดนี้ดังขึ้น ทุกคนก็เผยสีหน้าหนักใจออกมา สายตาจับจ้องไปที่ตัวท่านหลิงคนนั้นทันที

ปู่หูลิ่วพูดเบาๆ “ จะจับโจรก็ต้องจับหัวหน้ามันให้ได้ก่อน พวกเราคนน้อย ถ้าจับเจ้าหมอนี่ได้

พวกสมุนปีศาจที่อยู่ที่นี่ ก็ต้องเสียขวัญ พอเวลานั้นมาถึง เราก็จะจัดการเรื่องทุกอย่างได้ง่ายขึ้น”

“ท่านปู่หูลิ่วพูดถูก ตามหลักแล้วมันต้องเป็นแบบนั้น” ท่านนักพรตพูดเสริม เขาเห็นด้วย

ถึงคนอื่นจะไม่พูดออกมา แต่ก็พยักหน้าให้ แสดงความเห็นด้วยเช่นกัน

ชายชุดดําคนนั้นปรากฏตัวออกมาเพียงครู่เดียว ต่อจากนั้นเขาก็เข้าไปในโกดัง

ในขณะที่ทุกคนกําลังให้ความสําคัญกับสถานการณ์ดังกล่าว หยางเจ่วกลับมาอยู่ข้างผม แล้วพูดกับผมว่า “ติงฝาน คราวก่อนนายกับท่านผู้อาวุโสติงเข้ามาที่นี่ได้ยังไง ?”

พอได้ยินหยางเฉวถามแบบนั้น ผมก็ชี้ไปที่กําแพงที่โดนเสริมขึ้นแล้วพูดว่า “ตรงนั้น แต่ตอนนี้ มันโดนเสริมให้สูงขึ้นแล้ว ถ้าคิดจะปีนข้ามไป คงจะยากหน่อย”

หยางเฉ่วกลับยิ้มอ่อน “แบบนี้ไม่ได้ยิ่งดีกว่าเดิมเหรอ ? แบบนี้ อีกเดี๋ยวพอสู้กันขึ้นมา เจ้าปีศาจพวกนั้นอยากหนี ก็ไม่ได้หนีได้ง่ายๆแล้ว”

พอเห็นหยางเฉ่วทําหน้ามั่นใจ ผมกลับลดเสียงลงต่ํา แล้วถามหยางเจ่วแบบสงสัยมากๆ “ใช่แล้วหยางเฉ่ว อาจารย์ลุงของเธอกับท่านผู้อาวุโสเฉิน มีพลังขนาดไหนเหรอ ? พวกเขาร้ายกาจขนาดไหนเหรอ ?”

“ถึงครั้งที่แล้วเจ้าคนชุดดํานั่นจะไม่ได้มาสู้กับฉันและอาจารย์ แต่เหมือนมันจะแข็งแกร่งมาก คลื่นพลังที่ปล่อยออกมาก็ทรงพลังมาก ระดับพลังคงไม่ธรรมดา และพวกบอร์ดี้การ์ดที่คอยคุ้มกัน เขาก็มีหลายคนที่ร้ายกาจ”

พอหยางเฉ่วได้ยินผมพูดแบบนั้น กลับไม่ได้ตอบกลับผมตรงๆ เธอเพียงฉีกยิ้มอย่างเยือกเย็น

“ไม่ต้องห่วง เชื่อใจอาจารย์ลุงของฉันกับท่านผู้อาวุโสเฉินได้เลย”

ผมเห็นหยางเฉ่วไม่ตอบ เลยไม่ไล่ถามต่อ

แต่ดูจากท่าทางของหยางเฉ่วแล้ว ระดับพลังของนักพรตหวังและนักพรตเฉิน คงดูน่าเชื่อถือมาก

หลังผ่านไปอีกพักหนึ่ง ทุกคนก็เข้าใจสภาพแวดล้อมของที่นี่ทั้งหมด และกําหนดเป้าหมายต่อไปได้แล้ว

นักพรตหวังและนักพรตเฉินบอกให้ทุกคนเข้ามาสุมหัว จากนั้นก็เริ่มบอกแผนต่อไปคืออะไร

แผนการง่ายมาก ยังคงเป็นการแอบเข้าไปโจมตี ตัดหัวตัวหัวโจก จากนั้นก็ทําลายทุกอย่างจนหมดสิ้น

ตามความหมายของท่านนักพรตทั้งสอง ขอแค่เป็นสาวกของสํานักชั่วนี้ ก็ไม่ต้องไว้ชีวิตสักคน

ผม เหล่าเฟิง หยางเฉ่ว จุ่ยเฉิงจึงล้วนเป็นผู้น้อย จึงไม่กล้าพูดขัดใดๆ

แต่หลังได้ยินแผนนี้แล้ว ผมกลับรู้สึกตื่นเต้นมาก

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เข้าร่วมการสังหารปีศาจแบบนี้ เมื่อก่อนทําแต่ล่าผี แต่คราวนี้ผมสามารถสู้กับปีศาจได้เยอะขนาดนี้ แค่คิดก็รู้สึกตื่นเต้นแล้ว

แน่นอน ว่ามันยังอันตรายอยู่

แต่นักพรตหวังและนักพรตเฉิน กลับดูนิ่งมาก เหมือนตนเป็นฝ่ายกุมชัยชนะเอาไว้อย่างงั้น

บวกกับมีปู่หูลิ่ว ยายหูชีและคนอื่นๆอยู่ด้วย ผมเลยไม่กังวลเท่าไหร่

อีกเดี๋ยวผู้อาวุโสว่ายังไง พวกเราก็ทําอย่างงั้น

หากทําสําเร็จจริงๆ งั้นมันก็จะเป็นความสําเร็จครั้งยิ่งใหญ่ เดินออกไปเผชิญโลกในวันข้างหน้า ก็จะมีเรื่องนี้สร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง

ขณะคิดได้แบบนี้ ผมก็จับดาบไม้ เข้าไปฟาดฟันศัตรูทันที

การวางแผนผ่านไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้สถานที่ที่เราจะแอบเข้าไปคือด้านหลังโกดัง

สถานที่แห่งนั้นอําพรางตัวพวกเราได้ดี ไม่มีเวรยามและไม่มีลวดหนาม ปืนเข้าไปไม่ใช่เรื่องยาก

หลังปีนเข้ามาแล้ว เราจะแบ่งเป็นสองกลุ่ม ล้อมเอาไว้ทั้งสองด้านและแอบเข้าไปในโกดัง

หลังยืนยันตําแหน่งท่านหญิงคนนั้นได้แล้ว เราก็จะเข้าไปลอบโจมตี หากทําสําเร็จแล้ว เราก็จะกําจัดปีศาจในที่นั้นอีกที……

หลังมีแผนแล้ว วัยรุ่นอย่างพวกเราไม่กี่คน ก็มือไม้สั่นอยากลงมือกันนานแล้ว

หลังจากได้รับอนุญาต พวกเราก็เริ่มเข้าใกล้ฐานของสํานักชั่วนทันที

ท้องฟ้ามืดสนิทแล้ว พวกเรายังแอบเข้าไปจากทางด้านหลัง ดังนั้นเลยไม่มีใครสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวของพวกเรา

ผ่านไปเพียงครู่เดียว พวกเราก็มาถึงด้านหลังโกดัง

กําแพงของที่นี่สูงขึ้นประมาณ 5 เมตร มันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนธรรมดาคิดจะปีนกําแพง ห้าเมตรแบบไม่มีเครื่องมือ

แต่กลุ่มของพวกเราไม่ใช่คนธรรมดา เราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย

เพิ่งเข้าไปใกล้ ทุกคนก็เริ่มเปิดใช้พลัง

หลังพลังขับเคลื่อนแล้ว กําแพงห้าเมตร ก็เป็นแค่การปืนไม่กี่ครั้งเท่านั้น

สําหรับจิ้งจอกอย่างพวกปู่หลิ่ว กําแพงนี่แทบไม่มีอะไรแตกต่างจากของปกติแล้ว ทุกคนกระโดดข้ามไปภายในครั้งเดียว

ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็เข้ามาอยู่ในฐานที่มั่นของสํานักสื่อเย่เฉินอย่างเงียบๆ และเตรียมพร้อมสําหรับการสังหารที่รออยู่……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset