ศพ – ตอนที่ 475 เผยร่องรอย

ตอนที่ 475 เผยร่องรอย

แผนในวันนี้มีความอวดดีอย่างแรง พวกเราแค่ไม่กี่สิบคน และส่วนใหญ่ยังเป็นคนหนุ่มสาวอย่างผม

ซึ่งพลังไม่ถึงระดับนักปราบภูติผีชั้นสูงสักคน

เพียงแค่การร่วมมือกันแบบนี้ ก็กล้าบุกเข้ามาในสานักสื่อเย่เฉิน

และคราวนี้ยังไม่ได้บุกมาธรรมดาๆ ตามที่นักพรตหวังและนักพรตเฉินสื่อ คือต้องการทําลายฐานนี้ให้สิ้นซากกําจัดสาวกปีศาจที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด

ผ่านไปแค่ครู่เดียว พวกเราก็เข้ามาอยู่ในกําแพงแล้ว

ทําตามแผน เราแบ่งกันเป็นสองกลุ่ม แอบเข้าไปภายในโกดังจากทั้งสองด้าน

ฝั่งผม มีผม หยางเฉ่ว เหล่าเฟิง จี่ยเฉิงจัง ปู่หลิ่วและยายเจ็ด

ตอนนั้นมีปู่หลิ่วและยายเจ็ด เป็นคนนํากลุ่มคนหนุ่มสาวอย่างพวกเราสี่คน

ส่วนอีกกลุ่มหนึ่งมีอาจารย์ เหล่าฉัน นักพรตหวัง นักพรตเฉิน นักพรตต์และเจ้าจิ้งจอกน้อยห
เหมย

พอเทียบกันแล้วพวกเขาแข็งแกร่งกว่าพวกเราเยอะมาก

หลังมั่นใจว่ารอบๆไม่มีคนอยู่แล้ว พวกเราก็รีบแยกกัน ทําตามแผนที่วางไว้

โกดังเป็นทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่มาก ทั้งสองข้างยังมีหน้าต่างอยู่เยอะมาก

เห็นได้ชัดว่าทุกคนระวังตัวกันอย่างมาก ต่างฝ่ายต่างหาหน้าต่างที่เปิดอยู่

หลังมั่นใจว่าไม่มีคนแล้ว ทุกคนก็รีบปืนเข้าไปทันที ต่อจากนั้นก็รีบหาสถานที่ที่ค่อนข้างมิดชิดไว้ซ่อนตัว

จากนั้นก็สํารวจโกดังอย่างละเอียดอีกครั้ง เราพบว่าเตาเผาใบยักษ์ที่หายไปจากภาพข่าวครั้งก่อน ได้กลับมาอยู่ในโกดดังอีกครั้งแล้ว

ควันสีเหลืองอ่อนพวกนั้น ก็ลอยออกมาจากเตาเผายักษ์นั้นเอง

ไม่ใช่แค่นั้น ในขณะที่ผมกําลังมองสํารวจเตาเผา ผมกลับเห็นชายชุดดําหรือท่านหญิงคนนั้น กับบอร์ดีการ์ดชุดด่าอีกหลายคน ก่าลังนั่งอยู่ตรงเตาเผา

เจ้าปีศาจตัวนี้หล่อมากร่างกายสูงใหญ่ ตอนนี้กําลังหลับตา ไม่ขยับตัวเลยสักนิด

และในครั้งนี้ เขาก็คือเป้าหมายแรกของเรา

ทุกคนเหลือบตามองกัน แต่ละคนต่างพร้อมแล้ว

เพียงรอค่าสั่งจากพวกอาจารย์ พวกเราก็จะพุ่งออกไปสังหารเจ้าปีศาจตนนั้นทันที

เพราะยังไม่ได้รับสัญญาณจากพวกอาจารย์ พวกเราเลยซ่อนตัวอย่างเงียบๆ และเฝ้ามองต่อไปเท่านั้น

ในเวลานี้ เหล่าเฟิงพูดกับผมเบาๆ “เหล่าติง นี่คือเตาเผายักษ์ที่ใช้คนเป็นๆมาหลอมยาที่นายเล่าให้ฟังเมื่อครั้งก่อนเหรอ ?”

ผมพยักหน้าเล็กน้อย และลดเสียงลง “ ใช่ เจ้านี่แหละ ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลาหนึ่ง อีกฝ่ายจะโยนคนที่เกิดปี

หยินเดือนหยินเข้าไป ต้มทั้งที่ยังเป็นๆ เหี้ยมสุดๆเลยละ ”

“ปีศาจชั่วพวกนี้ต่ําช้าจริงๆ อีกเดี๋ยวจะปล่อยพวกมันไปไม่ได้เด็ดขาด” นุ่ยเฉิงจึงเองก็พูดด้วยความโมโห

และแล้วพอเสียงนี้ดังขึ้น เธอกลับควบคุมมันได้ไม่ดีทําให้เสียงดังกว่าที่ควรจะเป็น

ทันใดนั้นชายชุดดําก็ค่อยๆลืมตา พร้อมด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก

หลังจากนั้นเขาก็ค่อยๆทําตาโต พูดด้วยน้ําเสียงสบายๆ “ในเมื่อมาแล้ว งั้นก็อย่าทําเป็นลับๆล่อๆอยู่เลย……”

เสียงเพิ่งดังขึ้น พวกเราที่ซ่อนตัวอยู่ก็ใจสั่นทันที

พวกเราโดนจับได้แล้วเหรอ ทุกคนต่างคิดแบบนี้ในใจ

ผลลัพธ์พวกเรายังไม่ทันได้ทําอะไร ชายชุดค่าคนนั้นกลับยกมือขึ้นมา แล้วมาตรงที่พวกเราซ่อนอยู่ทันที

ทันใดนั้น พวกเราก็สัมผัสถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น ราวกับโดนภูเขาไท่ซานกดอยู่บนหัว

ยังไม่จบเท่านี้ ต่อจากนั้นเราก็ได้ยินเสียง “ฟรั้บ” พร้อมกันนั้นล่าแสงสีดําก็พุ่งเข้ามา……

จู่ๆปู่หลิวและยายเจ็ดที่ยืนอยู่ข้างผมก็เห็นภาพนี้ พวกเขาเลยทําหน้าตกใจ และตะโกนออกมาทันที “ระวัง !”

เสียงเพิ่งเงียบลง ปูหลิ่วและยายเจ็ดก็กระโดดขึ้น ออกจากที่นี่ไปทันที

พวกเขาไปขวางอยู่ด้านหน้าผม ไม่ใช่แค่นั้น เซียนทั้งสองยังสะบัดตัวอย่างรวดเร็ว ระเบิดคลื่นพลังปีศาจอันมหาศาลออกมา พร้อมกันนั้นยังลงมืออย่างรีบเร่ง ยิงพลังปีศาจสองลูกออกไป ต้านล่าแสงสีด่าอันนั้นเอาไว้

“ปัง” ลําแสงสีดําอันนั้นปะทะกับพลังปีศาจที่ปู่หลิ่วและยายเจ็ดยิงออกไป

ในระหว่างนั้น คลื่นลมปั่นป่วน แรงกระแทกมหาศาลซัดเข้ามา ทําให้ปู่หลิวและยายเจ็ดต้องถอยออกไปหลายก้าวทันที

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ทุกคนก็ตกใจ

ปู่หลิ่วและยายเจ็ดเป็นถึงผู้อาวุโสในเผ่าจิ้งจอกทั้งสองคนลงมือพร้อมกัน ยังต้านคลื่นพลังของชายชุดดํานั้นไม่ไหว อีกฝ่ายมีพลังและฝีมือขนาดไหนกันแน่

ถึงจะตกใจมาก แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ยังไงก็มีแต่ต้องเผชิญหน้ากันเท่านั้นแล้ว

ดังนั้น ผมเลยดึงดาบไม้ออกมา แล้วพุ่งออกไป พร้อมตะโกนใส่ชายชุดคําคนนั้นว่า “ไอ้ชั่ว !”

เสียงเพิ่งเงียบลง เหล่าเฟิง หยางเจ่ว และนุ่ยเฉิงจังก็ดึงดาบออกมา และออกมาปรากฏตัวเช่นกัน

พอบอร์ดี้การ์ดไม่กี่คนที่อยู่ข้างๆชายชุดดําเห็นอย่างนั้น ก็หันมาเผชิญหน้ากับพวกเราด้วยสีหน้าเย็นชา

และในเวลาเดียวกัน พวกมันก็ปลดอาวุธที่อยู่ข้างหลังออก พร้อมทําหน้าหวาดระแวง

ส่วนชายชุดด่าคนนั้น กลับไม่ได้เคลื่อนไหวมากนัก

เขาเพียงใช้หางตามองพวกเรา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ต่อจากนั้นเขาก็หันไปมองอีกทางด้านหนึ่งของโกดังแทน “พวกหมาแมวมากันหมดแล้ว ออกมากันเถอะ ! ให้ข้าดูหน่อยนอกจากจิ้งจอกแล้ว ยังมีสัตว์ตัวไหนอีก ?”

พอปู่หลิวและยายเจ็ดได้ยินแบบนั้น ก็อดโมโหไม่ได้ คิ้วขมวดเข้าหากันทันที

แต่พวกเราไม่ได้ว่วาม เพราะเพิ่งสู้กันเมื่อกี้ ทําให้รู้แล้วว่าชายชุดคําคนนี้แข็งแกร่งมาก จนไม่อาจคาดเดาได้

ในเวลาเดียวกัน ชายชุดดําก็โบกมืออีกครั้ง

ทันใดนั้นลําแสงสีดําก็พุ่งออกไปทันที สายลมโหมกระหน่ํา ตรงเข้าใส่กล่องที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของโกดังทันที

“ปัง” กล่องที่โดนแยกออกเป็นสี่ห้าส่วนทันที

ต่อจากนั้น กล่องที่อยู่สูงกว่านั้นสี่ห้าเมตรก็ถล่มลงมาทันที

“ปังๆๆ” ละอองฝุ่นแผ่ไปทุกสารทิศ

ไม่รอให้ละอองฝุ่นพวกนั้นหายไป “พรึบๆๆ” ร่างของใครหลายคนก็พุ่งออกมา

เมื่อกวาดตามอง พวกเขาไม่ใช่ใครอื่น พวกเขาก็คือนักพรตหวังนักพรตเฉิน และพวกอาจารย์

พวกเขาเป็นเหมือนพวกเรา หลังปรากฏตัว ก็ยืนอยู่ห่างจากเตาหลอมและชายชุดด่าประมาณ
สามเมตร

และไม่ได้ลงมือทันที

เพียงแค่การโจมตีครั้งนั้นของชายชุดดํา มันก็ทําให้เห็นอย่างชัดเจน ว่าเจ้าหมอนี่แข็งแกร่งมาก

มันแข็งแกร่งพอที่จะปลดปล่อยพลังออกจากร่าง การทําแบบนี้แม้แต่ท่านนักพรตต์ ก็ยังทําไม่ได้

เมื่อก่อนได้ยินอาจารย์บอกว่า ทุกระดับขั้นจะมีพลังที่แตกต่างอย่างก้าวกระโดด

หากอยากจะปลดปล่อยพลังออกมจากร่าง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องอยู่ในขั้นเต้าจขึ้น และขั้นเต้า ชื่อขึ้นไป

มันจะมีเส้นแบ่งขนาดใหญ่อยู่

ในบรรดาอาจารย์กับเหล่าฉัน ท่านนักพรตต์มีพลังสูงที่สุด แต่ก็อยู่ในเต้าซื้อขั้นสุดเท่านั้น หลายสิบปีผ่านไป เขาก็ยังไม่สามารถพัฒนาขึ้นไปอีกได้

ก็เพราะเจ้าเส้นแบ่งนี่ แต่หากก้าวขึ้นไปสู่ขั้นเต้าจนได้ เขาก็จะสามารถควบคุมพลัง ให้ออกไปทําร้ายคนอื่นได้โดยตรง เป็นอะไรที่ก้าวกระโดดมาก

ชายชุดด่าตรงหน้าคนนี้ ต้องขึ้นไปถึงขั้นนั้นแล้วอย่างแน่นอน

และพลังที่ออกมายังทรงพลังมาก ถ้าไม่ใช่เต้าจจิ้นขั้นแรกก็เป็นขั้นกลาง หรืออาจขึ้นไปถึงเต้าจวนขั้นสุดแล้ว หรือแม้แต่เต้าหวาง และเต้าจงก็เป็นไปได้

ใจผมสั้นพอสมควร หากเป็นยอดฝีมือที่ร้ายกาจขั้นเต้าหวาง หรือเต้าจงจริงๆ เราก็อาจรับมือเขาได้ลําบากสุดๆ

ไม่รู้ว่าท่านนักพรตหวังและท่านนักพรตเฉิน จะทําได้เหมือนที่พวกเขาเคยพูดเอาไว้ไหม ที่สามารถพึ่งความแข็งแกร่งของพวกเขาสองคน ทําลายที่นี่ และฆ่าผู้นําของศัตรู

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ นักพรตหวังที่ถือแส้ขนหางจามรีก็เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วพูดกับชาย ชุดดําคนนั้นว่า “เจ้าปีศาจชั่ว ข้าคือหวังเฉิงกานแห่งสํานักอู่ตั้งวันนี้ ข้ามาที่นี่เพื่อลงทัณฑ์แทนสวรรค์ !”

หลังจากพูดจบ เขาก็ตัวสั่น เปิดใช้พลังทั้งหมดทันที

ในระหว่างนั้น พลังอันหมาศาลแพร่ออกมาทันที

คลื่นพลังอันแข็งแกร่ง ระเบิดออกไปรอบๆ เหมือนกับระลอกน้ํามันทําให้ฝุ่นบนพื้นสั่นสะเทือน

และพุ่งเข้าไปหาชายชุดดํา…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset