ตอนที่ 485 สมบัติลับสํานักศพ
หลังฟังมู่หลงเหยียนพูดจบผมก็พยักหน้าให้เธอ
แม้ผมจะอยากรักษาสถานะในตอนนี้เอาไว้แต่มันก็ไม่ได้แปลว่าผมเป็นไอ้โงไร้สมอง
ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากยุติการแต่งงานนี้ เพราะมันดีต่อผมและมู่หลงเหยียน
ผมพยักหน้าให้มู่หลงเหยียนอย่างหนักแน่น ในเวลาเดียวกันก็คลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย
และในเวลานี้เองสาวใช้ที่ออกไปก่อนหน้านี้ ก็ถือกล่องใบหนึ่งกลับมา
“คุณหนู เอาของมาแล้วเจ้าค่ะ !” สาวใช้พูดด้วยความเคารพ หรือแม้แต่คุกเข่าลงบนพื้น
เมื่อม่หลงเหยียนเห็นเธอหยิบของมาแล้วก็ทําหน้าดีใจ แล้วพูดกับผมอีกครั้ง “เจ้ากาก มาดูของที่ฉันจะให้นายซิว่าเป็นอะไร !”
มู่หลงเหยียนทําท่าทางลับๆล่อๆ ต่อมเผือกของผมก็ผุดขึ้นมาทันที
“คือต้องทําลับๆล่อๆขนาดนั้นเชียว !”
มู่หลงเหยียนยิ้มหวานไม่พูดจา แต่เดินเข้าไปหาสาวใช้คนนั้นแทน
ผมเดินตามไปข้างหลัง
ยายโม่ยังเป็นแบบเดิมเสมอยืนอยู่ด้านข้าง คลี่ยิ้มออกมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
มู่หลงเหยียนเอื้อมมือไปหยิบกล่องมาถือไว้ แล้วพูดกับสาวใช้ว่า “สั่งการลงไปคอยเฝ้าระวังทุกที่อย่างเคร่งครัดโดยเฉพาะพื้นที่ปลูกหญ้าหยินจ่าว หากมีลมพัดหญ้าขยับให้มารายงานทันที”
“เจ้าค่ะ คุณหนู !” สาวใช้ขานรับ
มู่หลงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “ออกไปเถอะ !”
สาวใช้ทําตามคําสั่ง ส่วนมู่หลงเหยียนถือกล่องหันมาพูดกับผม “เจ้ากาก ของที่อยู่ในนี้ เป็นของทั้งหมดที่ฉันมีอยู่ตอนฉันมีชีวิตและเป็นของสิ่งเดียวที่เหลืออยู่ ฉันคิดจะยกมันให้นาย ถ้าชอบนายก็เก็บรักษามันดีๆ”
ขณะมองท่าทีที่จริงจังของมู่หลงเหยียน ผมก็อดซีเรียสขึ้นมาไม่ได้
ของสิ่งเดียวที่เหลือจากตอนที่มู่หลงเหยียนยังมีชีวิตอยู่ ตอนนี้เธอคิดจะมอบมันให้ผม
มิตรภาพนี่มันดูยิ่งใหญ่ไปแล้วมั้ง
เห็นได้ชัดว่าผมค่อนข้างตกใจ “แบบ แบบนี่มันไม่ค่อยดีมั้ง ! นี่ นี่เป็นของชิ้นเดียวที่เธอมีอยู่ตอนมีชีวิตเลยนะ !”
มู่หลงเหยียนมองกล่องไม้ แล้วคลี่ยิ้มออกมา “ก็จริง แต่ตอนนี้มันไม่มีประโยชน์กับฉันแล้ว ไม่มีสํานักศพแล้ว เจ้านี่ไม่ใช่แค่ของชิ้นเดียวในตอนที่ฉันยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่มันยังเป็นหลักฐานการมีอยู่ของสานักศพของพวกเราด้วย !”
พอได้ยินค่าว่า “สํานักศพ” สองคํานี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกแน่นหน้าอกขึ้นมาพักหนึ่ง
ก่อนหน้านี้หยางเจ๋วเคยเล่าให้ผมฟังว่าชื่อเดิมของสํานักศพก็คือสํานักหยินชื่อ
ศิษย์ในสํานักศพไม่ใช่คนไม่ใช่ศพไม่มีหยินไม่มีหยาง และชอบใช้คนเป็นมาหลอมยาเพิ่มพลังตัวเอง
วิชายิ่งสูงก็ยิ่งต้องหลอมเยอะเท่านั้น
ต่อมาจึงโดนสานักต่างๆในใต้หล้ารวมตัวกันโค้นล้ม
ผมสุดหายใจเข้าลึกๆจากนั้นก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “สํานักหยินชื่องั้นเหรอ ?”
จ่ๆม่หลงเหยียนก็ได้ยินผมพดสามค่านี้ เธอเลยอดไม่ได้ที่จะอึ้งไปพักหนึ่ง พร้อมจ้องเข้าไปในตาผม
ต่อจากนั้น เธอก็พยักหน้าแรงๆให้ผมอีกรอบ “ใช่สํานักหยินชื่อ หรือสํานักศพล้วนเป็นค่าเรียกของสํานักเราทั้งนั้น แต่ตอนมันตกอยู่ในมือของฉัน มันก็มาถึงทางตัน…”
พอพูดถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็ดูค่อนข้าง ผิดหวัง เสียใจ เหมือนเธอในอดีตจะมีความทรงจําแย่ๆมากมาย
ผมไม่ได้ถามออกไป ผมคิดว่า มู่หลงเหยียนไม่ใช่คนที่จะเอาชีวิตคน มาหลอมยาเพื่อฝึกวิชามารเพื่อเพิ่มพลังให้ตัวเองได้
พอตายแล้วเธอยังเป็นแบบนี้เลย ตอนมีชีวิตก็ยิ่งเป็นคนชั่วฝึกวิชามารอย่างที่หยางเจ่วพูดไม่ได้อย่างแน่นอน
ผมไม่พูดจาเพียงยืนมองมู่หลงเหยียนเท่านั้น
หลังมู่หลงเหยียนเลิกลักอยู่พักหนึ่ง เธอก็พูดต่อ “สานักศพของพวกเราเป็นสํานักที่ชอบธรรม แต่เป็นเพราะเมื่อ 300 ปีก่อนมีการต่อสู้แย่งชิงอําานาจเกิดขึ้น ทําให้สํานักตกต่าลง”
“จนเดินเข้าหาบรรพบุรุษที่ฝึกวิชามารเพื่อความเป็นอมตะบำเพ็ญตนอย่างหน้าไม่อาย ถึงจะใช้ชีวิตคนเป็นก็ไม่รู้สึกผิดใดๆ”
“ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สํานักศพของพวกเราก็โดนจัดว่าเป็นสํานักชั่ว ชอบใช้ชีวิตคนมาฝึกวิชาหลอมยา ดังนั้นการเข่นฆ่า และภัยร้ายต่างๆก็เกิดขึ้นติดต่อกันมาหลายร้อยปี สํานักฉันได้แต่ประคองสํานักให้อยู่รอดต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมันตกมาอยู่ในมือของฉันกับโจวหยุนเดิมทีพวกฉันสองคนคิดจะฟื้นสานักให้กลับมาดีขึ้นแต่……”
พอพูดมาถึงตรงนี้ มู่หลงเหยียนก็เหมือนคนเป็น เธอถอนหายใจ แล้วเผยสีหน้าจนปัญญาออกมา
“แต่ฉันกับโจวหยุนกลับตายติดๆกัน โดนองค์กรตาผีจับวิญญาณไป แล้วยังโดนดึงที่มาของวิญญาณออกกลายเป็นหุ่นเชิด มาร่วมร้อยกว่าปี…..”
พอพูดถึงตรงนี้ ผมก็อดตกใจไม่ได้
ที่แท้สํานักศพที่โดนเรียกว่าสํานักชั่วร้ายก็มีที่มาที่ไปแบบนี้
ถึงว่าท่าไมตอนนั้นมู่หลงเหยียนถึงให้ผมเรียกเธอว่าน้องศพ ที่แท้คําว่า “ศพ” ก็มาจากภาระในการฟื้นสํานักขึ้นมานี่เอง
ถ้าเป็นเมื่อก่อน มู่หลงเหยียนต้องไม่ยอมเล่าเรื่องพวกนี้ให้ผมฟังแน่ๆ แต่ตอนนี้มีหลงเหยียนกลับเล่าเรื่องที่เกิดกับเธอให้ผมฟัง
ผมเชื่อเธอผมคิดว่าสิ่งที่มู่หลงเหยียนพูดออกมาเป็นเรื่องจริงทั้งหมด
ตัวผมเองก็แสดงท่าทางจริงจัง ตอนนี้มองไปที่กล่องไม่ใบนั้นอีกครั้ง “ข้างในกล่องนั่นใส่อะไรไว้เหรอ ?”
มู่หลงเหยียนกาลังถือกล่องอยู่เธอใช้มือเปิดฝากล่องออก
“เป็นสมบัติที่สืบทอดต่อกันมาในสานักฉันมีดปลิดวิญญาณ……”
มู่หลงเหยียนเพิ่งพูดถึงคําว่า “มีดปลิดวิญญาณ” สองค่านี้ มู่หลงเหยียนก็เปิดกล่องเสร็จแล้ว
ในวินาทีที่กล่องถูกเปิดออก ม่านตาของผมก็ขยายใหญ่ทันที
ในช่วงเวลานั้น ผมพบว่าในกล่องใบนี้ ใส่มีดสั้นเล่มเล็กเอาไว้หนึ่งด้าม
มีดสั้นอันนั้นมีขนาดไม่เกินฝ่ามือค่อนข้างเล็ก ด้านนอกมีตัวฝึกหุ้มอยู่
ตัวฝักไม่ได้วิจิตรอะไร มันค่อนข้างเก่าหรือจะพูดง่ายๆว่าค่อนข้างน่าเกลียด
แต่ในสายตาของมู่หลงเหยียน เหมือนกับมันเป็นสมบัติล่าค่าชิ้นหนึ่ง
ม่หลงเหยียนค่อยๆหยิบมีดสั้นออกมา “เจ้ากาก นี่ก็คือมีดปลิดวิญญาณ มันถูกสืบทอดต่อกันมาในสํานักของฉันนับพันปี ตัวมีดคมมากตัดได้แทบทุกสรรพสิ่ง และมันมีความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง….”
“ความสามารถพิเศษ ?” ผมถามด้วยความสงสัย และมองมู่หลงเหยียนที่กําลังดึงมีดออกมาทีละนิดๆ
มู่หลงเหยียนไม่ได้ตอบกลับ เพียงค่อยๆดึงมีดสั้นออกมา
ผมทําตาโตตัวมีดคมกริบ ต้องเป็นมีดที่ดีแน่ๆ
ภายนอกดูเรียบง่าย ตัวดาบด้านในกลับมีความหนาวเหน็บอันน่ากลัว และจิตสังหารออกมา
ในขณะที่กําลังคิดแบบนี้ แต่หลังมู่หลงเหยียนถึงมีดสั้นออกมาแล้ว ผมก็มีนในทัน
ผมเห็นเพียงตัวดาบเล่มนั้น มีสีน้ําตาลแกมเทาสภาพขึ้นสนิม และดูท่าจะหักแหล่ไม่หักแหล่
ผมอึ้งในทันที เมื่อกี้เพิ่งบอกว่าความหนาวเหน็บอันน่ากลัว และจิตสังหารซะดิบดี
ท่าไม ทําไมถึงเป็นมีดขึ้นสนิมได้ละ มู่หลงเหยียนคงไม่เอามีดเน่าๆ มาหลอกผมหรอกมั่ง
ผมทําหน้าเลิ่กลั่ก “นี่ นี่ก็คือคมมาก ตัดได้แทบทุกสรรพสิ่ง ?”
พอมู่หลงเหยียนเห็นท่าทีของผม มุมปากของเธอกลับกระตุกยิ้มขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดมือถือมีดเล่มนั้นไปตรงโต๊ะหินตัวข้างๆ
ต่อจากนั้น ฉากที่น่าตื่นตาก็เกิดขึ้น
ผมได้ยินเพียงเสียงดัง “ปัง” เจ้าโต๊ะหินอันนั้นโดนฟันจนเป็นรอยหรือก็คือรอยมีดสั้นเล่มนั้น
ส่วนมีดสั้นในมือมู่หลงเหยียน กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิดมันยังโทรมเหมือนเดิม
เมื่อเห็นถึงตรงนี้ ผมก็อ้าปากค้างทันที
อย่างน้อยเจ้าโต๊ะอันนั้นก็หนาประมาณ 15 เซนติเมตรได้ โต๊ะหินที่หนาขนาดนั้นอย่าพูดว่าจะตัดมันขาดเลยฟันลงไปมีดไม่มิ่น ก็ถือว่าเป็นมีดที่ดีแล้ว
แต่มีดเล่มนี้ กลับเป็นมีดเหนือมีดตัวมันเอง กลับไม่เป็นรอยขีดข่วนเลยสักนิด
ของดีของดีจริงๆ
ม่หลงเหยียนเห็นผมทําหน้าตกใจ ตัวเธอยังยิ้มแบบเดิม “ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร้ายกาจที่สุดของมีดปลิดวิญญาณจุดที่ร้ายกาจของมัน ก็คือสามารถดูดซับวิญญาณ…”