ศพ – ตอนที่ 486 มีดปลิดวิญญาณ

ตอนที่ 486 มีดปลิดวิญญาณ

พูดตามตรง ผมช็อกจริงๆ

มีดสั้นที่ดูสนิมเขรอะกลับเป็นมีดที่สามารถฟันโต๊ะหินที่หนากว่า 15 เซนติเมตรได้ความคมระดับนี้เป็นอะไรที่ชัดเจนมาก

ส่วนตัวมีด กลับไม่เป็นอะไรเลยสักนิด นี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าวัตถุดิบมีดเล่มนี้ไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป

แต่มู่หลงเหยียนยังบอกว่า นี่ไม่ใช่ส่วนที่ร้ายกาจที่สุดของมีดสั้นเล่มนี้ ส่วนที่ร้ายที่สุดคือ “ดูดซับวิญญาณ” อะไรสักอย่าง

ผมตะลึงในทันที “ดูดซับวิญญาณ ?”

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเบาๆ “มีดเล่มนี้สามารถดูดซิบวิญญาณได้ทุกชนิด วิญญาณร้าย หรือแม้แต่วิญญาณปีศาจ……”

พระเจ้า ! มีดสั้นที่สามารถดูดซับวิญญาณได้ทุกชนิด นี่มันมีจิตวิญญาณไปแล้วหรือยังไง

“หรือว่า หรือว่าเจ้ามีดเล่มนี้จะมีจิตวิญญาณ ?” ผมค่อนข้างตกใจ นอกจากค่าอธิบายนี้แล้ว ผมก็นึกคําพูดอื่นไม่ออกอีกทําไมเจ้านี่ถึงสามารถมีพลังดูดซับวิญญาณได้

มู่หลงเหยียนกลับส่ายหน้า “ไม่ใช่แบบนั้น เจ้ามีดสั้นเล่มนี้เป็นอาวุธต่อสู้อย่างหนึ่ง ส่วนเรื่องทําไมถึงดูดซับวิญญาณได้ ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่นอกจากมีดปลิดวิญญาณจะดูดซับวิญญาณได้แล้วที่เด็ดที่เลิศที่สุดของมันคือหลังการดูดซับวิญญาณไปแล้ว ส่วนน้อยนิดจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วเติมเต็มให้กับผู้ที่มือมีด !”

ม่หลงเหยียนดูจริงจัง เธอค่อยอธิบายเรื่องนี้ทีละนิดๆ

แต่หลังจากที่ผมได้ยินมาจนถึงประโยคสุดท้ายผมก็ม็นไปในทันที

เจ้า เจ้าคุณสมบัตินี่ ไม่เหมือนกับ “ดาบดื่มเลือด” หรือพวกคทาดูดเลือดฝั่งั้นเหรอ

หากเป็นอย่างที่มู่หลงเหยียนพูดจริงๆ งั้นเจ้านี่ก็เพี้ยนสุดๆไปเลย

พลังวิญญาณเป็นสิ่งที่พวกเรานักฝึกตนบนโลกเรียกอีกอย่างว่า “ลมปราณ”

หากให้พูดอย่างชัดเจน คนอย่างพวกเรา ก็คือผู้ที่ฝึกพลังลมปราณ

เดินลมปราณสร้างความแข็งแกร่งในกล้ามเนื้อภายใน

และเจ้าลมปราณนี่ ก็ถูกพวกเราใช้ผ่านการกําหนดลมหายใจขับเคลื่อนพลังฟ้าดินแล้วสุดท้ายถึงจะเข้าไปอยู่ในจุดตันเถียน

เมื่อถึงเวลาต้องใช้วิชาอาคม หรือต่อสู้ เราก็จะเปิดใช้พลัง ใช้ลมปราณพวกนี้ในการต่อสู้

จุดตันเถียนของแต่ละคนล้วนมีขนาดจํากัด อยู่ในตําแหน่งที่แตกต่างกันไป และมีลมปราณที่เก็บเอาไว้ไม่เหมือนกัน

นี่ก็คล้ายกับการบริโภค เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ต้องหยุดและหาของใหม่มาเพิ่ม

หากมีดปลิดวิญญาณเป็นอย่างที่มู่หลงเหยียนพูดจริงๆ มันก็เทพสุดๆไปเลยละ

ขอแค่ใช้มีดเล่มนี้ ก็จะสามารถสู้ไป เพิ่มพลังวิญญาณไปได้พร้อมๆกัน หรือก็คือลมปราณของตัวเอง

เรื่องนี้ไม่เพียงยืดระยะเวลาการต่อสู้ได้เท่านั้น แต่มันยังทําให้การร่ายคาถาหรือวิชาต่างๆที่ต้องใช้พลังมี

อนุภาพมากขึ้นอีกด้วย

ในช่วงเวลานั้น ผมไม่คิดดูถูกมีดเล่มนี้อีก และเริ่มคิดว่าเจ้านี่เป็นสมบัติล้ําค่าขึ้นมาจริงๆ

เจ้าของสิ่งนี้เป็นอาวุธวิเศษที่คนปราบภูติผีหรือแม้แต่ผู้ที่ฝึกตนทุกคนใฝ่ฝัน

เพราะในการต่อสู้ การใช้วิชาที่ทรงพลังเพิ่มอีกหนึ่งครั้ง อาจเปลี่ยนสถา นการณ์เป็นตายได้

“พระเจ้า ! บนโลกมีอาวุธที่ร้ายกาจขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ !” ผมพูดด้วยความตกใจ

มู่หลงเหยียนคลี่ยิ้ม “ตอนนี้ฉันยกมีดปลิดวิญญาณเล่มนี้ให้นาย ตอบแทนที่นายเอาน้ําลี่ลั่วและหินลี่ลั่วมาให้พวกเรา และช่วยรักษาชีวิตของสหายพวกเราได้หลายร้อย…..”

หลังได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รีบส่ายหัวทันที “ไม่ ไม่ได้หรอก เจ้านี้มีค่าเกินไป เธอเก็บเอาไว้เถอะ ถ้าไปอยู่กับฉัน แล้วก็หายขึ้นมาแบบนั้นมันจะได้ไม่คุ้มเสียเอานะ !”

ผมปฏิเสธไม่กล้าดถูกเจ้ามีดสั้นเล่มนี้อีก

แต่มู่หลงเหยียนกลับพูดต่อ “อย่าเพิ่งปฏิเสธ นอกจากเรื่องนี้แล้ว ฉันยังมีความปรารถนาอีกอย่าง !”

“ความปรารถนา ?” ผมทําหน้าสงสัยหน่อยๆ

ม่หลงเหยียนพยักหน้า “ใช่ ฉันกับโจวหยุนตายแล้ว สานักศพตกอยู่ในมือของพวกเรา ตอนนี้ไม่ผู้สืบทอดถึงมีดปลิดวิญญาณจะร้ายกาจขนาดไหน แต่มันก็ไร้ประโย ชน์ต่อผีอย่างพวกเรา หากอยู่ในมือพวกเรามันไม่เพียงไร้ค่า แต่ยังอาจโดนมีดปลิดวิญญาณดูดกลืนได้ง่ายอีกด้วย เราจะเสียพลังวิญญาณไปเปล่าๆ”

“ ดังนั้น ที่ฉันยกมีดปลิดวิญญาณให้นาย หนึ่งเพื่อตอบแทน สองคือ ฉันเชื่อใจนาย และถ้ามีวันไหน

ที่นายแข็งแกร่งขึ้นแล้ว นายก็จะสามารถช่วยทําให้สํานักศพกลับมามีที่ยืนอีกครั้งหรือบางที่อาจหาคนอื่นมารับช่วงมีดปลิดวิญญาณต่อ ฉันไม่อยากให้สํานักศพของพวกเราต้องถูกทําลายในมือของพวกฉัน……

มู่หลงเหยียนพูดได้จริงจังมาก เธอพูดความปรารถนาของตัวเองออกมา

พอได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็ลังเลไปพักหนึ่ง

ผมมองตามู่หลงเหยียน มู่หลงเหยียนเองก็จ้องผม คิ้วขมวดเป็นปม ภายในดวงตา ที่งดงามเต็มไปด้วยความหวัง

ผมลังเลครู่หนึ่ง ครุ่นคิดอยู่หลายนาที

ท้ายที่สุด ผมก็ยอมพยักหน้าให้มู่หลงเหยียน “ได้ ฉันรับปากเธอ ถ้าเป็นไปได้ ฉันยอมตั้งสํานักศพของพวกเธอขึ้นมาใหม่ ถ้าทําไม่ได้ ต่อไปฉันจะยกของชิ้นนี้ให้คนอื่น ไม่ปล่อยให้สํานักศพโดนทําลาย….”

หลังจากพูดจบผมก็รับมีดปลิดวิญญาณมาถือไว้มู่หลงเหยียนที่ขมวดคิ้วอยู่นั้น ได้คลายออกทันที “ขอบใจนายมากติงฝาน !”

จู่ๆก็ได้ยินมู่หลงเหยียนเรียกผมว่าติงฝานผมเลยทําตัวไม่ถูกขึ้นมาในทันที

เนื่องจากการปรับเข้าโหมดอ่อนโยนของเธอ มันยากกว่าการเข้าโหมดที่ผิดขั้วของเธอมาก

“ ที่จริงนะ ! ไม่ต้องขอบคุณฉันก็ได้ เธอช่วยฉันมาตั้งเยอะขนาดนั้น ฉันทําเรื่องเล็กๆแค่นี้ให้เธอ

ก็ถือเป็นเรื่องที่สมควรแล้ว ! ”

มู่หลงเหยียนมองทาที่ที่อึดอัดของผม แต่ทันใดนั้นเองเธอก็หัวเราะออกมาสั้นๆ “ฮ่าๆ” “ตกลง ! นายเก็บมีดปลิดวิญญาณก่อนเถอะ คือใช่ ได้ยินยายบอกว่า คราวก่อนนายหาบางอย่างที่ทําให้เจอวิชาฝึกพลังอย่างนึ่งนิ ไหนเล่ามาซิ มันคือวิชาอะไรตอนนี้ฝึกไปถึงไหนแล้ว !”

จ่ๆก็ได้ยินม่หลงเหยียนพูดถึงเรื่องนี้ ผมเลยอดยิ้มแห้งออกมาไม่ได้ “ เจ้าวิชานี้เรียกว่าวิชาเฟินเทียนกง

เป็นวิชาที่ตกทอดกันมาของสายฉัน”

“ แต่อักษรที่อยู่บนนั้น พวกเราไม่รู้จักกันสักตัว แต่ฉันก็ฝึกจากภาพได้อยู่ แต่ภาพแผ่นแรกมีถึง 38 จุด

และก็ฝึกยากมาก ตอนนี้ฉันยังฝึกแผ่นแรกไม่จบเลย……

พอได้ยินถึงตรงนี้มู่หลงเหยียนก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็นมากกว่าเดิม เธอเลยคุยกับผมเรื่องนี้ต่อ

เพราะอักษรบนนั้นมีอยู่ไม่มาก และผมก็จ่าพวกมันได้ทั้งหมดนานแล้ว

ดังนั้น ผมเลยเขียนอักษรพวกนั้นออกมา

ผมอยากให้มู่หลงเหยียนลองดู ว่าเธอรู้จักบ้างไหม

มู่หลงเหยียนพยักหน้าเบาๆ หลังรอผมเขียนเสร็จ เธอก็เข้ามาดูอย่างละเอียด

ก็นะ ในฐานะที่มู่หลงเหยียนเป็นผู้สืบทอดของสํานักศพ และยังเคยเป็นหุ่นเชิดขององค์กรตาผีกว่าร้อยปี

เธอเลยรู้จักอักษรโบราณพวกนี้สองสามตัวจริงๆ

เธอกวาดสายตามองสองสามรอบ แล้วสุดท้ายถึงพูดกับผมว่า “อักษรโบราณพวกนี้เก่าแก่มาก เมื่อก่อนฉันเคยเห็นมันสลักอยู่บนผนังถ้ําในสํานัก และในวิหารขององค์ กรตาผีฉันเคยเห็นแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น พวกมันมีความหมายว่า สงครามศักดิ์สิทธิ์ หกดินแดน และกิเลน”

หลังจากพูดจบ มู่หลงเหยียนก็ชี้ตัวอักษรทั้งสามที่เธอรู้จัก

แม้อักษรสามค่านี้จะมีอยู่ทั่วหน้ากระดาษ โบราณและค่อนข้างเล็ก

แต่เนื้อหาของสามค่านี้ กลับน่าตื่นตกใจพอสมควร

สงครามศักดิ์สิทธิ์ หกดินแดน และกิเลน แต่ละคําเป็นคําที่ฟังดูยิ่งใหญ่ทั้งนั้น

ผมสัมผัสได้ลางๆ ว่าอักษรโบราณพวกนี้ ไม่ใช่เคล็ดวิชาฝึกพลังธรรมดา แต่เป็นการอธิบายถึงเรื่องราวบางอย่าง

ผมคิดในใจแบบนี้ แต่มีเพียงอักษรแค่สามค่า ดังนั้นจึงได้แต่เดาเท่านั้น ส่วนข้อความทั้งหมดนี้จะหมายถึงอะไร ผมยังไม่มีทางเข้าใจได้

แต่เพิ่งคิดถึงตรงนี้ จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดขึ้น “ ค่าพวกนี้ปรากฏอยู่ในเคล็ดวิชา และ ปรากฏอยู่ในถ้ําของสํานักศพของพวกเรา และยังอยู่ในวิหารขององค์กรตาผีด้วย ฉันว่ามันอาจจะบันทึกเรื่องราวที่คนไม่รู้เอาไว้

และเป็นเรื่องใหญ่ที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว”

“สํานักของพวกเราถูกทําลายแล้ว พวกเราเองก็ไม่มีทางหาความรู้เกี่ยวกับอักษรพวกนี้ได้ แต่พวกสํานักใหญ่ กลับอยู่มาจนถึงตอนนี้ ถ้าไปหาพวกศิษย์ หรือผู้อาวุโสในสํานักใหญ่ๆพวกนั้นมาแปลให้ นายอาจจะได้รู้เรื่องราวหรือความลับที่ถูกบันทึกเอาไว้ในนั้นก็ได้…..

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset