ศพ – ตอนที่ 487 ฝึกลมปราณฝึกจิตใจ

ตอนที่ 487 ฝึกลมปราณฝึกจิตใจ

หลังได้ยินมู่หลงเหยียนพูดมาถึงตรงนี้ผมก็รู้สึกเสียใจพอสมควร

แต่ในขณะที่เสียใจผมเองก็ได้อะไรมาไม่น้อย

แม้ม่หลงเหยียนจะไม่สามารถอ่านอักษรโบราณพวกนี้ได้ แต่จากสามค่านั้น ผมกลับเห็นเบาะแสบางอย่างลางๆ

เนื้อหาที่บันทึกอยู่บนเกล็ด ไม่ใช่แค่ข้อความทั่วไป

มันต้องเป็นความลับที่เก่าแก่มาก หรือแม้แต่เป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง หรือบางทีอาจเป็นที่มาที่ไปของสายพวกเรา

ไม่อย่างงั้น “สงครามศักดิ์สิทธิ์ หกดินแดนกิเลน” ค่าพวกนี้คงไม่ปรากฏอยู่บนนั้น

ยังไม่พูดถึงสงครามศักดิ์สิทธิ์ ปกติแล้วมันจะอธิบายถึงการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่

กิเลนก็ไม่ต้องพูดถึงแล้วมันก็คือหนึ่งในสัตว์เทพ สัตว์มงคลนั่นเอง

ส่วนดินแดนทั้งหกมันคงพูดถึงเกี่ยวกับโลก

ในลัทธิเต๋ของพวกเรา บนโลกนี้นอกจากโลก สวรรค์ ยมโลกสามโลกใหญ่นี้แล้วยังมีโลกน้อยใหญ่อีกมากมาย เช่นดินแดนทั้งหก

ดินแดนทั้งหกไม่เหมือนพื้นที่เล็กๆบนโลก มันอยู่ภายใต้โลกทั้งสาม อยู่เหนือพื้นที่เล็กๆบนโลกนับไม่ถ้วน ทั้งหกดินแดนที่ว่าถือเป็นโลกขนาดใหญ่

แต่เรื่องพวกนี้ล้วนเป็นมุมมองที่ลัทธิมีต่อโลกและความว่างเปล่า ส่วนจะมีดินแดนทั้งหกจริงไหม

ยังไม่มีใครบอกได้

แต่บนนี้กลับมีค่าพวกนี้อยู่จะสามารถจินตนาการได้ ว่าเรื่องราวที่อยู่บนเกล็ด

จะต้องเป็นตํานานอะไรสักอย่าง และอาจเป็นเรื่องจริง ที่เป็นความลับสุดยอดอะไรประเภทนั้น..

แต่ตอนนี้ผมท่าได้เพียงเดาเท่านั้น ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็พยักหน้าใหมู่หลงเหยียน “ถ้ามีโอกาส ฉันจะไปหาท่านผู้อาวุโสของสํานักใหญ่ๆพวกนั้นอีกครั้ง”

“เอาเถอะ ! แต่เจ้าวิชานี่สืบทอดกันมายาวนานถึงขนาดนี้ ฉันละอยากเห็นตอนนายฝึกวิชาเป็นเทียนกงนี่สําเร็จจริงๆ” มู่หลงเหยียน

อย่าว่าแต่เธอเลย แม้แต่ตัวผมเองก็อยากเห็นตอนตัวเองฝึกสําเร็จมาก

แต่เจ้าวิชานี้ก็ฝึกยากมาก และไม่มีใครคอยชี้แนะ ผมเลยได้แต่คลาทางด้วยตัวเองไปที่ละนิด

แต่ผมยังยิ้มและพูดกับมู่หลงเหยียนว่า “วางใจได้! ตามความเร็วที่ฉันฝึกได้ ในตอนนี้น่าจะฝึกครบทุกจุดได้อีกไม่นาน และเดินลมปราณได้ตามแผ่นภาพ”

มู่หลงเหยียนยังมองความสามารถในการฝึกของผมในแง่ดีอยู่บ้าง เพียงแค่ปีเดียว

ผมก็เลื่อนมาถึงเต้าฉือขั้นสุดแล้ว

ความเร็วในการฝึกที่น่ากลัวแบบนี้ ถึงจะพูดไม่ได้ว่าเป็นพรจากฟ้า แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นพรสวรรค์อย่างหนึ่ง

ต่อจากนั้น มู่หลงเหยียนก็ให้ผมลองขับเคลื่อนพลังที่นี่

เธอเองก็อยากลองสัมผัสดูสักหน่อย ว่าผมฝึกวิชาแบบนี้ มันจะมีความพิเศษอยู่ตรงไหนกันแน่

เมื่อผมได้ยินมู่หลงเหยียนพูดถึงขนาดนั้น ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด

หากมู่หลงเหยียนสามารถชี้แนะอะไรผมได้บ้าง มันก็คงเยี่ยมไปเลย

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยนั่งขัดสมาธิกับพื้น หลับตา กาหนดลมหายใจเคลื่อนพลังตามแผนภาพวิชาเฟินเทียนกง

จากจุดตันเถียน ค่อยๆเคลื่อนไปตามจุดทั้ง 38 จุดของวิชาเฟินเทียนกง

ในขั้นตอนนี้ผมทําได้ช้ามาก ผมค่อยๆเคลื่อนไปข้างหน้าที่ละนิด

มู่หลงเหยียนและยายโม่มองอย่างตั้งอกตั้งใจไม่เข้ามากวนผมแต่อย่างใด

จนกระทั่งผมเดินลมปราณมาจนถึงตําแหน่งที่ 23 แรงกดดันกลับเพิ่มเป็นสองเท่า

เดิมที่ผมคิดว่าจะก้าวข้ามจุดที่ 24 ให้ได้ แต่ลมหายใจผมกลับไม่นิ่ง ลมปราณที่จุดตันเถียนค่อยๆแตกกระจายสุดท้ายผมก็ล้มเหลวไม่อาจก้าวข้ามไปได้

หลังล้มเหลว ผมก็อดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้น

เสียงถอนหายใจดังตามมาติดๆ “เฮ้อ ! ตอนนี้ฉันสามารถเดินลมปราณไปได้ถึงจุดที่ 23 ฉันติดอยู่ตรงนี้มาหลายวันแล้วข้ามไปถึงจุดที่
24 ไม่ได้สักทีเมื่อกี้ฉันลองอยู่พักหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวอยู่ดี !”

ผมค่อยๆพูดด้วยความผิดหวังพอสมควร

เมื่อหลงเหยียนเห็นแบบนั้น กลับพูดกับผมด้วยท่าที่ซีเรียส “ เมื่อกี้พวกเราลองสังเกตจากภายนอก

วิชาที่นายฝึกอยู่ตอนนี้ เป็นอะไรที่ค่อนข้างพิเศษจริงๆ มีความผันผวนในคลื่นพลังที่รุนแรงมาก แต่ในตอนที่นายไปถึงจุดตัดผ่านลมปราณในจุดตันเถียนของนายกลับดูปั่นป่วนผิดปกติ หรือแม้แต่มีการทวนกระแสที่อันตรายก็ว่าได้”

“และตอนที่นายกําลังจะข้ามจุดตัด ก็ดูเหมือนจะรีบร้อนพอสมควร เพราะนายยังไม่ได้จัดการลมปราณที่แปรปวนในจุดตันเถียน รีบร้อนก้าวข้าม ไม่ใช้หัวคิด…”

อย่างที่กล่าวไว้คนที่อยู่ในสถานการณ์อ่านเกมได้อย่างทะลุปรุโปร่ง มู่หลงเหยียนพูดได้อย่างลึกซึ้ง

มองเพียงแวบเดียวก็รู้สาเหตุที่ผมล้มเหลว

คิ้วผมอดไม่ได้ที่จะเลิกขึ้น “งั้นฉันจะลองผ่อนคลายหน่อย”

มู่หลงเหยียนกลับส่ายหน้า “ ไม่ต้อง การฝึกต้องใช้จิตใจที่สงบ หากนายใจร้อนถึงจะผ่อนคลายขนาดไหน

ก็ล้มเหลวอยู่ดีฉันคิดว่าตอนนี้วิชาที่นายฝึกอยู่ดูแปลกประหลาดมาก”

“ตอนนายเดินลมปราณ ลมปราณไหลทะลักราวกับทะเลเดือด พลังวิญญาณพลุ่งพล่าน แต่กลับต้องอาศัยความใจเย็นจิตใจที่มั่นคง การก้าวข้ามจําเป็นต้องใช้ลมปราณที่สงบนิ่งมันต้องใช้การควบคุมลมปราณและจิตใจเยอะมาก”

“หรือจะพูดอีกอย่างว่า ยิ่งนายพัฒนามากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทําจิตใจให้สงบได้ยากเท่านั้น ยิ่งไม่อาจทําจิตใจให้มั่นคงหรือไม่อาจควบคุมลมหายใจได้”

ค่าพูดแต่ละค่าของมู่หลงเหยียนดูสาคัญมากราวกับทุกครั้งที่ผมคิดจะก้าวข้ามผมจะเป็นแบบนี้เสมอ

ตอนแรกสุด ผมพัฒนาได้เร็วมาก แต่ยิ่งก้าวไปข้างหน้าเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งควบคุมพลังวิญญาณที่คอยแต่จะปั่นป่วนได้ยากขึ้นเท่านั้น และไม่อาจพัฒนาต่อได้ง่ายๆอย่างเคย

และทุกครั้งที่ฝึกวิชาเดินลมปราณนี้ ลมปราณด้านในก็จะดูปั่นป่วน พลังวิญญาณด้านในก็ไหลเวียนเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัด มันดูร้อนรนไปหมด

“งั้น งั้นมีวิธีอะไรไหม ?” ผมถามต่อ

มู่หลงเหยียนเงียบไปพักหนึ่ง “วิชาฝึกพลังของนาย เน้นฝึกลมปราณและจิตใจหากทําตามกระแสอาจจะดีขึ้นก็ได้”

“ทําตามกระแส ?” ผมไม่ค่อยเข้าใจ

ยายโม่ข้างๆที่ไม่พูดอยู่นาน กลับพูดแทรกขึ้นมาในเวลานี้ “คุณผู้ชาย คุณหนูหมายความว่า วิชานี้หากไม่มีอะไรทําก็ลองฝึกดูฝืนไม่ได้วิชาฝึกพลังของคุณผู้ชายยิ่งฝืนเท่าไหร่ ก็ยิ่งฝึกยากเท่านั้น เพราะเป็นแบบนี้ ทําไมไม่ลองผ่อนคลายหน่อยละเจ้าค่ะ”

พอได้ยินยายโม่พูดแบบนั้นออกมา ผมก็เข้าใจในทันที

ถึงว่าทําไมผมถึงหยุดอยู่ที่จุดที่ 23 มาหลายวันขนาดนี้ ดูท่าจะเป็นเพราะผมใจร้อนจริงๆ สูยเสียหัวใจแห่งการฝึกไป

ผมพยักหน้าเบาๆ บ่องบอกว่าเห็นด้วย

ต่อจากนั้นผมก็ไม่ได้เดินลมปราณต่อ แต่ก็ยังดื่มชาและพูดคุยอยู่ที่นี่อีกพักหนึ่ง

นอกจากสํานักสื่อเย่ก่อนหน้านี้แล้ว ผมยังถามถึงเรื่ององค์กรตาผี เรื่องปลูกหญ้าหยินจ่าวและเรื่องอื่นๆ

มู่หลงเหยียนบอกว่า การปลูกหญ้าหยินจ่าวไปได้ดีทีเดียว ตอนนี้กําลังอยู่ในขั้นตอนต่างๆ

สําหรับทางด้านเขาเขี้ยวหมาป่า ตั้งแต่พวกเราไปบุกสาขาที่เขาเขี้ยวหมาป่าทาง นั้นก็เงียบขึ้นเยอะ

กุยซานหยวน ยัยป้าคนสวยและผู้นําคนอื่นๆ ก็เก็บตัวไม่ออกมา ช่วงเวลาหลายวันนี้ล้วนอยู่ในหบเขาทั้งสิ้น

และมีกองกําลังของมู่หลงเหยียนจับตาอย่างใกล้ชิด เพราะกลัวจะเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่ขึ้น

ในเวลาเดียวกัน ทางฝั่งมู่หลงเหยียน ก็เริ่มส่งกองกําลังไปเตรียมโจมตีที่สาขาย่อยองค์กรตาผีที่เขาเขี้ยวหมาป่ากำจัดหนามหยอกอกพวกนั้นให้สิ้นซาก

แน่นอน หากผมคิดจะเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ มันต้องพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น ไต่ไปให้ถึงเต้าชื่อ

แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ผมยังไม่รู้สึกถึงการเลื่อนระดับ ดังนั้นในการฝึกฝน ผมยังต้องล่าบากขึ้นอีกหน่อย

อาจเป็นเพราะช่วงหลายวันนี้ไปตากลมเย็นบ่อย พอพูดไปสักพักผมก็เริ่มไอขึ้นมา

ดื้อๆ

ตอนแรกมันก็ดูไม่มีอะไร เพียงไอเบาๆสองครั้ง ผมจึงไม่ได้สนใจ

แต่ยิ่งนานวันเข้าอาการไอก็เริ่มรุนแรงขึ้น และเริ่มเป็นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ

หลังเวลาล่วงเลยมาถึงยามชื่อ หรือก็คือช่วงเวลา 23.00-01.00 น. ปัญหาใหญ่ก็เกิดขึ้น

ผมไม่ได้แค่ไอ แต่ร่างกายของผมยังมีการเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติเกิดขึ้นด้วย

ที่เห็นได้ชัดที่สุดคือเล็บบนมือของผม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเริ่มมีเนื้องอกออกมาอย่างรวดเร็ว……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset