ตอนที่ 49 ผีบังตา
คืนนี้จุดประสงค์มีข้อเดียวเท่านั้น ก็คือมาเพื่อกำจัดผีชั่ว แล้วพวกเราจะปล่อยให้มันหนีไปได้ยังไงละ
อาจารย์พึ่งขยับตัว ทุกคนก็รีบตามออกไปทันที
เจ้าผีชั่วนี่เร็วมาก ตอนที่พวกเราออกจากประตู ก็พบว่าผีชั่วตนนั้นเข้าไปในทุ่งหญ้าที่อยู่ข้างนอกแล้ว
อาจารย์ นักพรตตู๋ และเหล่าฉิน แม้พวกเขาจะอายุ 60 กว่าๆ แต่วินาทีที่ไล่ตามผีชั่ว เรียกได้ว่าพวกเขาเร็วสุดๆไปเลย
ผมละสงสัยจริงๆว่าเมื่อก่อนตาแก่สามคนนี้เคยเป็นแชมป์วิ่งระยะสั้นมาใช่ไหม ถึงกับทิ้งเด็กอย่างผมและเฟิงเฉ่วหายไว้ข้างหลังเลยทันที
“ซ่าซ่าซ่า” พวกเขาไล่ตามมาถึงในทุ่งหญ้า
ตอนที่ผมและเฟิงเฉ่วหานตามมาถึงทุ่งหญ้า ก็มองไม่เห็นเงาของผีชั่ว อาจารย์และคนอื่นๆแล้ว
ทำได้เพียงตัดสินใจไล่ตามเสียงที่เกิดขึ้นเท่านั้น จากนั้นพวกเราก็ตรงไปข้างหน้าทันที
ตอนแรกมันก็ดีอยู่นะ เพราะพวกเรายังตามพวกเขาทัน
แต่หลังจากนั้น ผมกลับพบว่าหลงทางซะงั้น
ผมและเฟิงเฉ่วหานเดินวนรอบๆพุ่มหญ้าพวกนั้นประมาณ 40 นาที แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอาจารย์และคนอื่นๆเลยสักนิด
เพราะไม่รู้ว่าอาจารย์และคนอื่นๆไปไหนกันหมด ดังนั้นผมและเฟิงเฉ่วหานจึงลองตะโกนเรียกสองครั้งหรือแม้แต่ใช้โทรศัพท์โทรตามก็เถอะ
แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงใดๆตอบกลับมา มันเงียบจนไม่มีแม้แต่เสียงใดใดเลยสักนิด
ไม่ต้องพูดถึงโทรศัพท์เลยครับ เพราะที่นี่ไม่มีสัญญาณเลยสักขีด
ผมมองไปรอบๆครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆว่า “เหล่าเฟิง เหมือนพวกเราจะหลงทางนะ!”
เฟิงเฉ่วหานขมวดคิ้ว “ไม่ต้องเครียด ป่าช้าใหญ่ขนาดนี้! พวกเราค่อยๆเดินไปข้างหน้า รอให้ถึงยอดเขา บางทีพวกเราอาจหาพวกอาจารย์เจอก็ได้!”
เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนี้ ผมก็คิดว่าเขาพูดมีเหตุผล
ถึงจะยุ่งยากไปหน่อย แต่ก็ดีกว่าเดินสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปที่นี่เยอะเลย
ดังนั้นพวกเราจึงเริ่มเดินเข้าไปในป่าช้าเก่า เพื่อประหยัดเวลา ผมสองคนจึงจงใจเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกนิดหน่อย
แต่สิ่งที่แปลกคือ ป่าช้าเก่านี้ไม่ใหญ่เลยสักนิด เพราะตอนนี้พวกเราอยู่ห่างจากยอดเข้าไม่ถึง 10 นาทีเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงเร่งฝีเท้าขึ้นไปอีก
แต่ ตอนนี้ผมและเฟิงเฉ่วหานกลับเดินไปข้างหน้าจนเกือบจะ 20 นาทีแล้ว แต่ก็ยังไม่ถึงยอดเขาซะที
ไม่ใช่แค่นั้น ตอนที่ผมเงยหน้ามองยอดเขา กลับพบว่าระยะห่างของพวกเรากับยอดเขา ดูไม่ลดลงเลยสักนิด
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางสงสัยออกมา
ตอนนี้เวลาผ่านไปเกือบ 20 นาทีแล้ว แต่ทำไมมันยังไกลขนาดนั้นนะ
ขณะที่ผมกำลังรู้สึกผิดปกติ จู่ๆเฟิงเฉว่หานที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ติงฝาน พวกเราอย่าเดินต่อเลย”
เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนั้น ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ถามเขาว่า ทำไม
แต่เฟิงเฉ่วหานกลับเหลือบมองไปรอบๆ จากนั้นก็ชี้ไปที่ต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไป “นายลองมองต้นไม้ต้นนั้น พวกเราเคยเดินผ่านมันมาสามรอบแล้ว และนี่เป็นรอบที่สี่แล้ว……”
น้ำเสียงของเฟิงเฉ่วหานหนักแน่นมาก แววตาทั้งสองข้างยังแฝงไปด้วยความหดหู่
ผมพึ่งรู้สึกถึงความผิดปกติ แต่จู่ๆเฟิงเฉ่วหานก็พูดแบบนั้นออกมา
วินาทีที่ได้ยิน ใจของผมก็มีเสียงดัง “กึก” ร่างกายสั่นอยู่พักหนึ่ง
ผมไม่รีบพูดออกมาทันที แต่หันไปมองรอบๆอย่างละเอียด โดยเฉพาะต้นไม้ต้นนั้น
สุดท้ายผมก็พบว่า สถานที่แห่งนี้พวกเราเคยเดินผ่านมาจริงๆ
และพึ่งผ่านมาไม่นานนี้ด้วย ผมตระหนักดีเลยละว่าเคยมาที่นี่ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าทำไมถึงย้อนกลับมาได้
ทันใดนั้น ในสมองของผมก็มีคำสามคำโผล่ขึ้นมา “ผีบังตา”
นี่ไม่ใช่เรื่องตลก แต่ไหนแต่ไรในชนบทที่ห่างไกล หรือแม้แต่ในบางพื้นที่ของตัวเมือง ก็มีคนเคยเจอสถานการณ์แบบนี้
ดังนั้นเมื่อสถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้น ที่จริงมันก็คือวิธีเล่นสกปรกอย่างหนึ่ง
เมื่อดวงตาของพวกคุณมืดบอด ก็จะทำให้ตัวเองเกิดความสับสน และคิดว่าตัวเองกำลังเดินต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่ที่จริงแล้วพวกเรากำลังเดินวนอยู่ที่เดิม
และตอนนี้ เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์แบบนี้
พวกเราเดินวนที่นี่มาหลายรอบมาก และยังมีสติดีอีกด้วย แม่งเอ้ยแล้วแบบนี้ถ้าไม่ใช่ผีบังตาแล้วจะเป็นอะไรได้ละ
ในใจของผมกำลังหวาดผวา จึงรีบพูดว่า “ผี ผีบังตา”
เฟิงเฉ่วหานเหลือบมองรอบๆ “ใช่ พวกเราถูกผีบางตนเล่นงาน! ถ้าไม่ทำลายมัน ถึงพวกเราจะวิ่งอยู่ในนี้ทั้งคืน ก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้หรอกนะ!”
เรื่องนี้ผมรู้ดี เมื่อก่อนเคยได้ยินมาว่า
ถ้าเจอผีบังตาตอนกลางคืน แค่ใส่รองเท้ากลับข้างแล้วเดิน ก็จะสามารถหลุดออกจากวงกลมนี้ได้แล้ว
เมื่อคิดได้ ผมก็รีบพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง ฉันมีวิธีบ้านๆอยู่ ใส่รองเท้ากลับข้างแล้วเดิน!”
ขณะที่พูด ผมก็ถอดรองเท้าออก
แต่เฟิงเฉ่วหานกลับห้ามผมไว้ “ไม่มีประโยชน์! ถ้าเป็นสิ่งชั่วร้ายธรรมดาๆ วิธีนี้อาจได้ผล แต่นายลองคิดดู คืนนี้พวกเรากำลังสู้กับผีอะไรอยู่”
เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ผมก็รู้สึกเย็นวาบทันที
เฟิงเฉ่วหานพูดถูกแล้ว คืนนี้พวกเรากำลังสู้กับผีชั่วที่ฆ่าคน แล้วก็ผีร้ายที่ผูกคอตาย
ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็เป็นตัวโหดๆทั้งนั้น
วิธีบ้านๆนี้เอามาใช้ต่อกรกับผีเร่ร่อนทั่วไป แล้วแบบนี้พวกเราจะทำลายกับดักของผีร้ายได้ยังไง
“เหล่าเฟิง นายมีวิธีไหม ถ้าทำแบบนี้ต่อไปก็แก้ปัญหาอะไรไม่ได้อยู่ดี ฉันได้ยินมาว่าถ้าไม่สามารถหยุดจากผีบังตาได้ พวกเราจะตายอยู่ในนี้!” ผมรู้สึกกังวลนิดหน่อย
เพราะนี่ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น เมื่อก่อนได้ยินอาจารย์พูดว่า
หลายคนที่เคยโดนผีบังตา ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ความคิดของพวกเราจะผิดเพี้ยนไป
ถึงจะถูกผีบังตาแค่ 1 ชั่วโมง ก็จะรู้สึกเหมือน 5-6 ชั่วโมง จนวิตกกังวลอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่เพียงส่งผลต่อความแข็งแกร่งของจิตใจเท่านั้น ถ้าจิตใจไม่แน่วแน่พอ ถึงจะเป็นเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงก็สามารถทำลายจิตใจของคนๆหนึ่งได้ทันที
และยัง รับประกันไม่ได้ว่าผีตนนั้นจะลงมือกับคุณอย่างฉับพรันรึเปล่า
แต่ผมพึ่งพูดจบ ด้านหลังของพวกเรากลับมีเสียง “ตูม” ดังขึ้น ทันใดนั้นไฟก็ลุกขึ้นมาทันที
“รีบวิ่ง ไฟไหม้แล้ว!” ผมพูดออกมาด้วยความตกใจ หลังจากพูดจบก็วิ่งไปข้างหน้าทันที
แต่ผมและเฟิงเฉ่วหานพึ่งวิ่งออกมาได้ไม่เท่าไหร่ ด้านหน้าของพวกเราก็มีลูกไฟระเบิดออกมา
วัชพืชและพุ่มไม้ติดไฟอย่างรวดเร็ว ด้านหน้าของพวกเราจึงเกิดกำแพงไฟกั้นทางเดินเอาไว้
ไฟลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาก็เปลี่ยนรอบตัวของพวกเราให้กลายเป็นทะเลเพลิง
เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผมและเฟิงเฉ่วหานจึงไม่รู้จะทำยังไง
ภาพเปลวไฟลุกโชน ทำให้ใบหน้าของพวกเรากลายเป็นสีแดง ความร้อนทำให้พวกเรารู้สึกอึกอัดมาก เหมือนกับถูกเข็มทิ่มแทงอย่างนั้น
ผมก้มหน้าลง มองว่าไฟที่เกิดขึ้นมันไม่ถูกต้อง
ทะเลไฟสูงเท่าดวงตา ดังนั้นพวกเราจึงไม่มีที่ไป มันจะลุกไปถึงไหน
ใช่แล้ว นี่ต้องเป็นลูกไม้ที่เอาไว้ใช้กับพวกเราแน่ เป้าหมายก็คือทำลายแนวป้องกันในใจของพวกเรา ในที่สุดมันก็เริ่มลงมือกับพวกเรา
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็รีบพูดขึ้นมาทันที “เหล่าเฟิง นี่ต้องเป็นสิ่งที่เจ้าชั่วนั้นคิดขึ้นมาแน่! รีบหาวิธีทำลายกรงบ้าๆนี้กันเถอะ ไม่อย่างนั้นพวกเราได้ตายจริงๆแน่”
ในเวลาเดียวกันกับที่พูด เปลวไฟที่ลุกไหม้ก็มีเสียง “เปาะแปะ….” ดังอย่างต่อเนื่อง และความรู้สึกแสบร้อน ก็ทำให้คนรู้สึกเหมือนจริงมาก แทบไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นของจริงหรือปลอม
เฟิงเฉ่วหานขมวดคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยแน่ใจ ว่าจะตัดสินใจทำยังไงดี
ผ่านไปประมาณ 2 วินาที เฟิงเฉ่วหานก็กัดฟัน จากนั้นก็พูดว่า “ฉันมีวิธีอยู่หนึ่งอย่าง……”
“มีก็รีบใช้ซิ! จะรออะไรอยู่ล่ะ” ผมรีบพูด และหันไปมองรอบๆอีกครั้ง
แต่ดูเหมือนเฟิงเฉ่วหานจะอยากพูดอะไรอีกสักหน่อย แต่ตอนที่อ้าปากขึ้น เขากลับหยุดความคิดที่จะพูด จากนั้นก็หยิบขวดสีดำออกมาจากกระเป๋า
เมื่อเห็นขวดสีดำ ผมก็จำได้ทันที
ใช่เจ้าสิ่งนี้คือยาของเฟิงเฉ่วหาน ขวดหนึ่งดำขวดหนึ่งขาว
เมื่อตอนกลางวันเจ้านี้ “อาการป่วยกำเริบ” เลยกินยาที่อยู่ในขวดขาวเข้าไปหนึ่งเม็ด
แต่เมื่อเห็นเขาหยิบขวดสีดำออกมา ผมก็อดไม่ได้ที่จะสงสัย “เหล่าเฟิง ช่วงเวลาคับขันแบบนี้ นายคงไม่ได้อาการกำเริบอีกใช่ไหม”
ผลลัพธ์เฟิงเฉ่วหานกลับยิ้มแห้งๆ เขาค่อยๆเปิดฝาขวดออก จากนั้นก็เทยาสีดำออกมาหนึ่งเม็ด “ฉันไม่ได้ป่วย นี่เป็นความลับของฉัน แต่ไม่อยากให้ใครรู้ ในเมื่อตอนนี้เจ้าผีร้ายนั้นหาเรื่องตาย งั้นคืนนี้ฉันก็จะทำให้มันได้รู้ถึงความร้ายกาจที่แท้จริง……”