ศพ – ตอนที่ 490 บอกข่าว

ตอนที่ 490 บอกข่าว

ในใจมีความกังวลที่ไม่อาจอธิบายได้ผุดขึ้นมา เดิมคิดว่าเรื่องสํานักสื่อเย่จะสิ้นสุดลงชั่วคราว

แต่กลับไม่เคยคิดมาก่อนว่ามันยังไม่จบ

พวกเราทุกคน โดนพิษปีศาจ ผ่านหมอกพิษของโอสถ โลหิตศพ ซึมเข้าร่างอย่างไม่รู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้น

คืนนี้เป็นคืนจันทร์เต็มด้วย พิษเลยออกฤทธิ์ขึ้นมาดื้อๆ ทําให้พวกเราทุกคน ต้องตื่นตกใจ

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา โทรหาหยางเจ่วแบบด่วนสุดๆ ผมอยากรู้ว่าเพื่อนทุกคนยังปลอดภัยดีอยู่หรือเปล่า

เสียรอสายดังขึ้นพักนึงก่อนจะมีคนรับ ยังไม่รอให้ฝั่งนั้นได้พูด ผมก็รีบพูดออกมาว่า

“หยางเฉ่ว เธอไม่เป็นไรใช่ไหม ?”

เสียงเพิ่งเงียบลง หยางเจ๋วกลับตอบกลับมาด้วยน้ําเสียงเกียจคร้าน “ไม่เป็นไรนิ มีไรหรือเปล่า ?”

เห็นได้ชัดว่าหยางเจ๋วไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และท่าทางกําลังนอนหลับอยู่

เมื่อได้ยินหยางเนิ่วพูดแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่ง

แบบนี้ แสดงว่าหยางเฉ่วไม่ได้กลายร่างเป็นปีศาจ เธอน่าจะไม่ได้โดนพิษปีศาจเข้าไป

“ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว !” ผมสบายใจขึ้นเยอะ

แต่หยางเฉวกลับงงหน่อยๆ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ดึกขนาดนี้แล้ว จู่ๆก็โทรมาหาฉัน ! หรือ นายฝันร้ายหรือไง ?”

ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มอย่างขมขึ้น ถ้าเป็นแค่ฝันร้ายก็คงดี

แต่มันกลับไม่ใช่ฝันร้าย ผมไม่ลังเลรีบเล่าเรื่องสั้นๆ ให้หยางเฉวฟังทันที

หลังฟังจบ หยางเฉวก็ตกใจมาก เธอดูจะตื่นเต็มตาขึ้นมาทันที “ ถ้าอย่างงั้น พวกอาจารย์ลุงของฉัน

ก็อาจโดนพิษปีศาจนะซิ”

“ใช่ เธอรีบติดต่อทางนั้นเลย ตอนนี้ฉันจะโทรไปหาจุ่ยเฉิงจิง ดูว่าทางเธอเป็นอะไรไหม !” ผมพูดออกมาอีกครั้ง

หยางเจ่วก็คิดว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก จึงตอบกลับคนแค่ “อืมๆ” แล้วจากนั้นก็วางสายทันที

ต่อจากนั้น ผมก็โทรไปหาจุ่ยเฉิงจิง แล้วตามด้วยเหล่าเฟิง

ผลลัพธ์ผมพบว่า จุ่ยเฉิงจึงเองก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน

และในเวลานี้ยังเล่นเกมอยู่ พอรับสายแล้วเลยบ่นผมทันที บอกว่าเป็นการแข่งเลื่อนขั้น

ผมจะไปสนการแข่งเลื่อนขั้นอะไรของเธอละ ผมบอกสถานการณ์ในตอนนี้ให้เธอฟังตรงๆ และให้เธอลองเช็คตัวเองดูว่าติดพิษปีศาจหรือเปล่า

พวกเราคนปราบภูติผี ขอแค่เดินลมปราณอย่างละเอียดก็จะรู้สึกถึงกระแสพลังที่อยู่ด้านใน ทันที

นุ่ยเฉิงจึงเองก็ตกใจน่าดู เธอเริ่มหวาดกลัวขึ้นมาทันที เธอเป็นคนรักสวยรักงามมาก สภาพไม่ใช่คนและปีศาจแบบนั้น เธอรับไม่ได้แน่นอน

โชคดีที่นุ่ยเฉิงจังและหยางเจ๋วเหมือนกัน ต่างไม่เป็นอะไรทั้งคู่

ต่อจากนั้น ผมก็โทรไปหาเหล่าเฟิง

แต่คนที่รับสาย กลับไม่ใช่เหล่าเฟิง แต่เป็นหานเฉ่วเฟิง หรือพี่เฟิงแทน

เมื่อได้ยินเสียงพี่เฟิงผมก็ตกใจพอสมควร

แต่ไม่รอให้ผมทักทาย พี่เฟิงกลับพูดกับผมว่า “เจ้าขยะนี่ติดพิษปีศาจ คนที่บ้านนายคนนั้นกําลังช่วยขจัดพิษให้มันอยู่สบายใจได้ !”

น้ําเสียงของพี่เพิ่งดูหนักแน่นมาก ผมอึ้งไปพักหนึ่ง คนที่บ้านผมคนนั้น นี่เขาไม่ได้กําลังพูดถึงมู่หลงเหยียนเหรอ

เหล่าเฟิงมองเห็นมู่หลงเหยียนได้ไม่ชัด อย่างมากสุดก็มองเห็นเป็นภาพคนลางๆ

แต่มันไม่ได้แปลว่าพี่เฟิงจะมองไม่เห็น แต่พี่เฟิงไม่ได้ถามเรื่องนี้กับผมมาก่อน

ตอนนี้มู่หลงเหยียนไปบ้านเหล่าเฟิงแล้ว พี่เฟิงก็น่าจะจํามู่หลงเหยียนได้ ไม่อย่างงั้นคงไม่ให้มู่หลงเหยียนช่วยขจัดพิษให้เหล่าเฟิง

หรือจะพูดอีกอย่างว่า เมื่อม่หลงเหยียนไปบ้านเหล่าเฟิงแล้ว ทางด้านปู่หลิ่ว ก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร

พอคิดได้แบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย

ต่อจากนั้น ผมและยายโม่ก็รีบเดินทางต่อทันที

แม้จะบอกทุกคนแล้ว แต่ระหว่างทางนี้ ผมก็ยังค่อนข้างกังวลอยู่ดี

ยายโม่ยังบอกผมว่าไม่ต้องรีบขนาดนั้น บอกว่าเมื่อหาสาเหตุเจอแล้ว ก็ต้องหาทางแก้ได้อย่างแน่นอน

เธอบอกให้ผมไม่ต้องกังวลทุกคนต้องปลอดภัยอย่างแน่นอน

ผมจึงพยักหน้าให้ยายโม่ แต่ในใจกลับไม่เป็นอย่างงั้น ผมกลั้นความรู้สึกเป็นห่วงพวกเพื่อน และอาจารย์เอาไว้ไม่อยู่

จากป่ากุยหม่าจนถึงตําบล ถ้าเป็นเวลาปกติต้องใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง หากเดินเร็วหน่อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งชั่วโมง

แต่ตอนนี้ผมกับยายโม่ ใช้เวลา 50 นาที ในการเดินกลับมาที่ตําบล

เพิ่งมาถึงตัวตําบล ผมและยายโม่ก็วิ่งไปที่ร้านไปฉาวต่อทันที

ไม่รอให้ผมเคาะประตู พี่เฟิงก็เปิดประตูร้านไป๋ฉ่าวรับผมแล้ว

“เสียวติง ! ผู้อาวุโส !”

พี่เฟิงทักทายผมและยายโม่ แต่ผมกลับรีบพูดต่อทันที “พี่เฟิง เหล่าเพิ่งเป็นยังไงบ้าง ?”

พี่เพิ่งเปิดทาง ส่งสัญญาให้พวกเราเข้าไปด้านใน “ยังพอได้ สามารถระงับไว้ได้ชั่วคราว

หลังฟังมาถึงตรงนี้ พวกเราก็เข้ามาอยู่ด้านในแล้ว

เพิ่งเข้ามาในบ้าน ผมก็พบว่าข้าวของในบ้านกระจัดกระจายไปหมด ยาสมุนไพรและของจิปาถะกระจายอยู่ทุกที่

ส่วนพี่เฟิง ตอนนี้กําลังนั่งอยู่กลางห้องโถง มู่หลงเหยียนทําเหมือนรักษาผม ตอนนี้น่าจะกําลังกระตุ้นพลัง

หยิน ช่วยรักษาเหล่าเพิ่งอยู่

แต่สถานการณ์ของเหล่าเฟิง จะร้ายแรงกว่าผมมากหน่อย

ตัวเขามีเล็บแหลมงอกออกมา บนหน้าและแขน มีร่องรอยของเนื้อที่แตกเป็นเกล็ดๆ

การกลายสภาพเป็นปีศาจแบบนี้ ร้ายแรงกว่าของผมเยอะ

พอเห็นถึงตรงนี้ คิ้วก็อดขมวดเข้าหากันไม่ได้

พี่เฟิงที่อยู่ด้านข้างกลับพูดกับผมว่า “ประมาณยามสื่อ ที่พิษปีศาจออกฤทธิ์ เจ้าขยะนี่ก็ไม่รีบปลุกฉันออกมาให้เร็วๆหน่อย รอจนเริ่มเนื้อแตก ถึงจะปลุกฉัน……”

พี่เฟิงบ่น เพราะการมีอยู่ของเหล่าเพิ่งและพี่เฟิงมีความพิเศษมาก ตอนนี้พวกเขายังใช้ร่างเดียวกัน

หากเกิดอะไรขึ้นกับร่างนี้ เหล่าเฟิงและพี่เฟิงก็ต้องตายทั้งคู่ และวิญญาณก็จะแตกสลาย

“แต่โชคดีที่คนบ้านนายคนนี้ หรือน้องสาวนายคนนี้มาทัน ไม่อย่างงั้นผลที่ตามมาคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด !” พี่เฟิงพูด แววตาเต็มไปด้วยคําขอบคุณที่มีต่อหลงเหยียน

แน่นอน น้องสาวที่พี่เฟิงพูดถึง ไม่ใช่น้องศพที่ผมเรียก

สําหรับเรื่องความสัมผัสของเราสองคน เขาเองก็ไม่ค่อยรู้เท่าไหร่

เพียงแค่จมู่หลงเหยียนได้เท่านั้น รู้ว่ามู่หลงเหยียนคือวิญญาณคุ้มครองบ้านผม และโดนผมเรียกว่า “น้องสาว” ในช่วงเวลาสําคัญ ผมสามารถเรียกออกมาได้

สําหรับเรื่องนี้ ผมเองก็ไม่ได้อธิบาย เพียงพยักหน้าให้เท่านั้น “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว ! แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์กับลุงตูจะเป็นยังไงบ้าง……”

ผมมองเหล่าเฟิงพร้อมพูดด้วยน้ําเสียงซีเรียส

ผลลัพธ์เสียงเพิ่งเงียบลง มู่หลงเหยียนก็ปะทับฝ่ามือลงไปแรงมาก “อัก” ทันใดนั้นเหล่าเฟิงก็กระอักเลือดสีแดงเข้มออกมา และฟื้นขึ้นมาทันที

ในเวลานี้มู่หลงเหยียนเองก็ระงับพลัง และก็ค่อยๆลุกขึ้น

เมื่อเห็นภาพนี้ ผมก็รีบพูดขึ้นมาว่า “น้องศพ เหล่าเฟิงเป็นยังไงบ้าง ?”

มู่หลงเหยียนสูดหายใจเข้าลึกๆ “ไม่เป็นอะไรมาก แต่อาการหนักกว่านายหน่อย ฉันใช้พลังขับพลังปีศาจส่วนใหญ่ในร่างออกมาแล้ว แต่ก็เป็นเหมือนนาย ในร่างยังเหลือยู่อีกนิดหน่อย ต้องหาทางขจัดพิษออกมา”

มู่หลงเหยียนค่อยๆพูด พอพี่เพิ่งที่อยู่ข้างๆได้ยินดังนั้น ก็รีบทํามือคารวะมู่หลงเหยียน แล้วพูดอย่างความเคารพสุดๆ “ขอบคุณแม่นางที่ช่วย ไม่อย่างงั้นฉันกับน้องชาย คงได้เจอกับผลลัพธ์ที่น่ากลัว”

มู่หลงเหยียนยิ้มให้พี่เฟิง “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

ในวินาทีนั้น เหล่าเฟิงเองก็ค่อยๆลืมตาขึ้น

เขาเองก็รู้ดีว่าใครเป็นคนช่วย ในเวลานี้จึงพยายามลุกขึ้น แล้วพูดกับ “ภาพเบลอๆ” ของมู่หลงเหยียนด้วยน้ําเสียงอ่อนแรง “บุญคุณช่วยชีวิต ยากจะลืมเลือน !”

มู่หลงเหยียนเห็นเหล่าเพิ่งพูดขอบคุณอีกคน เธอเลยตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “เพื่อนของติงผ่านก็คือเพื่อนของฉัน ! ตอนนี้พวกเราควรฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน หาทางแก้พิษปีศาจนี่….”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset