ตอนที่ 491 สถานการณ์ย่าแย่
เสียงมู่หลงเหยียนเพิ่งเงียบลง ผมก็พูดกับทุกคนว่า “ เมื่อกี้ฉันโทรไปบอกทุกคนแล้ว นอกจากจี่ยเฉิงจังกับ
หยางเนิ่วแล้ว อาจารย์ฉันและท่านนักพรตต์ก็มีอาการกลายร่างเหมือนกัน”
พอเหล่าเพิ่งได้ยินอย่างนั้น ก็อดทําหน้าเครียดไม่ได้ “เหล่าติง งั้นท่านลงถึงกับอาจารย์ฉันอาการแย่ไหม ?”
“ตอนนี้ยังบอกไม่ได้ แต่ฉันบอกวิธียับยั้งพลังปีศาจกับพวกเขาแล้ว และนอกจากท่านนักพรตตู๋กับอาจารย์ฉันแล้ว ผู้อาวุโสของทั้งสองสํานัก แล้วยังมีเหล่าฉันฉันก็ไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง”
ผมทําหน้าหนักใจ ต่อจากนั้นผมก็หันไปพูดกับมู่หลงเหยียนอีกครั้ง “ใช่แล้วน้องศพ แล้วทางพวกปู่หลิ่วเป็นยังไงบ้าง ?”
มู่หลงเหยียนฟังจบ ก็ตอบกลับทันที “ พวกเขาไม่เป็นอะไร บางทีพิษปีศาจคงไม่มีผลใดๆกับพวกเขา
เพื่อป้องกันเอาไว้ก่อน พวกเขาเลยเคลื่อนพลังตรวจดู ส่วนฉันประหยัดเวลา เลยรีบตรงมาที่นี่ทันที
ผมพยักหน้าเบาๆ หากเป็นแบบนี้
ตอนนี้ก็สามารถมั่นใจได้ว่า คนที่ติดพิษมีผม เหล่าเฟิง อาจารย์ ท่านนักพรตต์สี่คน แต่ทุกคนเป็นผู้ชายทั้งหมด ตอนนั้นหยางเนิ่วและนุ่ยเฉิงจิงก็ยืนอยู่ข้างๆผมแต่พวกเธอกลับไม่ติดพิษ
แม้จะสงสัย แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดมากนัก เพราะผมกําลังเป็นห่วงพวกอาจารย์
จู่ๆก็เกิดเรื่องขึ้น ผมจึงคิดว่าควรไปดูด้วยตัวเอง
ดังนั้นผมเลยพูดกับทุกคนว่า “ท่านนักพรตต์กับอาจารย์ฉัน แล้วก็ยังมีพวกเหล่าฉินที่พวกเราไม่รู้ว่าเป็นยังไงบ้าง ตอนนี้อาการของพวกเราคงที่แล้ว พวกเรารีบเดินทางเข้าเมืองกันเถอะ ไม่งั้นฉันคงต้องกังวลอยู่อย่างงี้แน่ๆ”
เหล่าเพิ่งคิดแบบนี้เหมือนกัน เขาเลยพยักหน้าตกลงทันที
ทางมู่หลงเหยียนก็พูด “ซื้อ” พร้อมส่งสัญญาณให้ผมรีบออกเดินทาง
เรื่องก็เป็นแบบนี้ ต่อจากนั้นผมก็ขับรถพาทุกคนไปที่โรงพยาบาลในเมือง
หลังมาถึงโรงพยาบาล เราก็วิ่งไปห้องผู้ป่วยทันที
แต่สิ่งที่แปลกก็คือ หลังพวกเรามาถึงห้องผู้ป่วย กลับพบว่าตอนนี้ในห้องผู้ป่วยมีแต่ความว่างเปล่า ไร้เงาคน
ผมออกไปถามพยาบาลที่เข้าเวร แต่พยาบาลกลับบอกว่าไม่รู้เหมือนกัน
ผมเลยยืนอึ้งทันที จากนั้นก็โทรหาหยางเจ่ว
หลังโทรติดแล้วผมถึงได้รู้ว่า ที่แท้นักพรตเฉินกับนักพรตหวังแล้วยังมีเหล่าฉันตอนที่เริ่มมีอาการกลายร่างพวกเขาก็ได้ศิษย์สองคนที่เฝ้าผู้อาวุโสทั้งสองพาตัวออกจากโรงพยาบาล และ ตอนนี้ก็กําลังอยู่ในสวน
สาธารณะเล็กๆแถวนี้
ตอนนี้หยางเจ่วและนุ่ยเฉิงจิง ต่างอยู่ที่นั้นแล้ว และกําลังช่วยกันทําให้พลังปีศาจที่บ้าคลั่งในร่างทั้งสามคนกลับมาสงบดังเดิม
ส่วนสถานการณ์ของนักพรตทั้งสองและเหล่าฉัน ตอนนี้สามารถพูดได้ว่าไม่อาจมองในแง่ดีได้เลย
ไม่เพียงร่างกายมีอาการกลายร่างเป็นปีศาจในระยะแรก แม้แต่การเปลี่ยนแปลงที่ผิดปกติก็มีให้เห็น
มีโอกาสสูงที่จะเปลี่ยนเป็นปีศาจในระยะแรกได้สําเร็จ
การกลายร่างเป็นปีศาจในระยะแรก เป็นตัวตัดสินของการกลายร่างเป็นปีศาจของศิษย์สํานักลื่อเย่
ในระยะแรกมือเท้าทั้งสองจะเปลี่ยนเป็นเหมือนอุ้งเท้าของสัตว์
เมื่อมาถึงขั้นนี้ ก็ไม่อาจเปลี่ยนกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ง่ายๆอีก
หรือก็คือ หากกลายร่างในระยะแรกสําเร็จ ก็ไม่อาจช่วยได้ง่ายๆ อย่างน้อยตอนนี้เราก็ไม่มีทางแก้
เมื่อได้ยินข่าวนี้ ทุกคนก็กังวลมากรีบตรงมาที่สวนสาธารณะแห่งนั้นทันที
ส่วนพวกอาจารย์ พวกเราไม่แน่ใจว่าพวกเขาพักอยู่ที่ไหน ดังนั้นเลยไม่รู้ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหนกันแน่
แน่นอน ตอนคุยโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ผมก็พูดอย่างชัดเจน หากมีสถานการณ์พิเศษเกิดขึ้นกับพวกเขา
หรือยับยั้งพลังปีศาจได้แล้ว ก็ให้โทรมาบอกผม
ขณะที่ใจกําลังเต้นตุ้มๆต่อมๆ พวกเราก็ออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว แต่ละคนต่างรีบตรงมาที่สวนสาธารณะ
สุดท้ายเราก็พบว่าบริเวณข้างๆทะเลสาบที่เงียบสงบมีใครหลายคนรวมตัวอยู่ด้วยกัน และในบรรดานั้นกําลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้น ในเวลานี้ดูท่ากําลังเคลื่อนพลังอยู่
ส่วนข้างๆพวกเขามีหยางเจ่วกําลังยืนทําหน้าร้อนรนอยู่
“หยางเฉ่ว !” ผมตะโกน พร้อมวิ่งไปหาทันที
หยางเฉวเองก็เห็นพวกเรา เธอเลยทําหน้าดีใจ “ติงฝาน ! อาการของพวกอาจารย์ลุงฉันดูท่าไม่ดีขึ้นเลย ตอนนี้แทบจะควบคุมพลังปีศาจในร่างไม่ไหวแล้ว”
ขณะที่หยางเจ่วพูด พวกเราก็วิ่งเข้ามาใกล้แล้ว
เมื่อลองมองดูให้ละเอียดผมก็ต้องทําหน้าตกใจ และสูดหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง
ผมเห็นนักพรตหวังเฉิงกานแห่งสํานักอู่ตั้ง นักพรตเฉินจื่ออี้แห่งสํานักเหมาชานแล้วยังมีเหล่าฉิน
ตอนนี้พวกเขากําลังนั่งเรียงแถว หลับตาและเคลื่อนพลังไปทั่วร่าง
ส่วนด้านหลังของพวกเขา คือจุ่ยเฉิงจังและยังมีผู้ชายอีกสองคนที่พวกเราไม่รู้จักตอนนี้แต่ละคนกําลังช่วยรักษาพวกเขาบางทีคงเป็นศิษย์ในสํานักพวกเขา ที่มาช่วยเฝ้าดูแลท่านผู้อาวุโสทั้งสอง
แต่ท่านผู้อาวุโสทั้งสองและเหล่าฉันสามคน กลับมีการกลายร่างไม่หยุด บนร่างกายของพวกเขาเริ่มมีลักษณะของสัตว์บางชนิดปรากฏขึ้นแล้ว
ร่างกายของทั้งสองคนมีขนสัตว์งอกออกมาแล้ว เล็บก็เปลี่ยนเป็นกรงเล็บนานแล้ว หรือแม้แต่ในร่างกาย
ยังมีกลิ่นอายแปลกๆและอ่อนมากปล่อยออกมา
พอม่หลงเหยียนและยายโม่เห็นแบบนั้น ก็เลิกคิ้วขึ้นจากนั้นเราก็ได้ยินเสียงมู่หลงเหยียนพูดว่า
“ช่วยไม่ได้ ยายโม่รีบช่วยพวกเขาเร็ว !”
พอยายโม่ได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น ก็ไม่รอช้าแต่อย่างใด ทั้งสองคนแยกย้ายมาอยู่ตรงหน้าเหล่าฉินและนักพรตเฉินที่มีอาการกลายร่างค่อนข้างหนัก และบอกให้นุ่ยเฉิงจิงและผู้ชายอีกคนที่ไม่รู้จักออกไป
ฉยเฉิงจังและอีกคนยังมองไม่เห็นมู่หลงเหยียนอย่างชัดเจน แต่ก็รู้ว่าเธอคือใคร
ตอนนี้เมื่อได้ยินมู่หลงเหยียนพูดแบบกัน พวกเธอก็ไม่รอช้า รีบถอยไปอีกทางด้านหนึ่งทันที
มู่หลงเหยียนและยายโม่ลงมืออย่างรวดเร็ว แต่ละตนต่างประทับฝ่ามือไปที่หลังของทั้งสองคน
ในระหว่างนั้น พลังหยินอันทรงพลังก็ปรากฏขึ้น พวกมันต่างเคลื่อนตัวไปตามร่างกายของพวกเขา
ชายหนุ่มคนนั้นไม่รู้จักม่หลงเหยียนและยายโม่ ตอนนี้เมื่อรับรู้ได้ถึงพลังหยินที่มหาศาลขนาดนั้น ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
ชายหนุ่มคนนั้นตกใจและสงสัยหน่อยๆ เขาพูดกับฉ่ยเฉิงจึงที่อยู่ข้างๆว่า “ศิษย์น้อง พวกเขาเป็นใคร ?”
พอได้ยินเสียงนี้ นุ่ยเฉิงจิงถึงได้สติขึ้นมา แล้วเริ่มพูดกับชายหนุ่มคนนั้นและพวกเราว่า “อ่อ ! ใช่ ฉันลืมแนะนําให้ทุกคนรู้จัก คนผู้นี้คือศิษย์พี่สามของฉัน ซึ่งซานเหอ นี่คือติงฝานเฟิงเฉวหาน พี่เฟิง…..”
ฉียเจ๋งจึงแนะนําทีละคนๆ ตอนผมได้ยินจี่ยเฉิงจึงบอกว่าเจ้าหมอนี่คือศิษย์พี่สามของเธอ ผมก็อดมองเขาพักหนึ่งไม่ได้
เพราะผมยังจําได้อย่างชัดเจน ตอนนั้นตอนที่พวกเราอยู่ในวัดร้างเจี่ยเฉิงจึงบอกศิษย์พี่สามของเขา
ชอบหยางเจ่วสุดๆ เป็นคนที่ตามจีบหยางเฉ่วมาโดยตลอด
และผมยังเห็นหัวแชทของเจ้าหมอนี่มาก่อน และยังจําชื่อสุดบ้าที่เจ้าหมอนี่ตั้งได้อย่างชัดเจน
“ฝังรักที่เสี่ยวเฉิวเฉว”
ตอนนี้เมื่อมาได้เห็นตัวจริงแล้ว ผมกลับไม่เห็นเจ้านบ้าอย่างที่คิด อย่างผมพวกนั้น ก็ไม่ได้ยาวเหว่อหรือผิดเพี้ยนประเภทนั้น
แค่ต่างหูสองอันที่ใส่ เป็นอะไรที่ยาวมาก อารมณ์คล้ายกับเล็บมือ ผมซอยสั้น ไม่ได้ถือว่าเหว่อเกินไป
หลังกวาดตามองเขาพักหนึ่ง ผมก็เอื้อมมือออกไปก่อน “สวัสดีครับ !”
ซึ่งซานเหอพยักหน้าให้ผม จากนั้นก็เริ่มทักทายและจับมือกับพวกเราทีละคน ถือเป็นการรู้จักกันคราวๆแล้ว
ส่วนชายหนุ่มแปลกหน้าอีกคน แม้จะไม่ได้ลุกขึ้น และยังช่วยผู้อาวุโสหวังเฉิงกานยับยั้งพลังปีศาจอยู่
แต่หยางเจ่วก็เริ่มแนะนําแทนแล้ว
บอกว่าเขาคนนั้นคือศิษย์พี่ห้าของเธอ ชื่อว่าอู่ซึ่งหลง
เขาเป็นเหมือนซงซานเหอต่างได้รับคําสั่งให้มาคอยดูแลท่านผู้อาวุโสของสํานัก
ผลลัพธ์กลับคาดไม่ถึงว่าจะมีปัญหาเกิดขึ้นในคืนนี้ โชคดีที่ทั้งสองคนเป็นศิษย์ในสานัก พอสังเกตเห็นอาการแปลกๆในตอนแรกแล้ว ก็จัดการได้อย่างเหมาะสม
ทั้งสองคนร่วมมือกันรีบพาท่านผู้อาวุโสทั้งสองและเหล่าฉันออกมาทันที
เนื่องจากหากให้คนในโรงพยาบาลเห็นการกลายร่างเป็นปีศาจจะต้องมีผลกระทบที่ร้ายแรงอย่างแน่นอน
หากสถานการณ์เลวร้ายขึ้น ทางการก็จะเข้ามาเกี่ยวข้อง แล้วสุดท้ายก็จะโดนจับไปทําวิจัยผลที่ตามมาคงไม่ใช่สิ่งที่จะจินตนาการได้ง่ายๆ
หลังรู้จักกันหมดแล้ว ทุกคนก็ได้แต่รอด้วยความร้อนรน หวังว่าพวกเขาจะดีขึ้นเร็วๆนี้ สามารถยับยั้งพลังปีศาจเอาไว้ได้ และหยุดการกลายร่างเป็นปีศาจ
แต่สิ่งที่ทําให้เราคาดไม่ถึงเลยก็คือ ไม่รอให้ทั้งสองคนอาการดีขึ้น ในสวนสาธารณะที่มืดมิดแห่งนี้
กลับมีเสียงที่เย็นชาและแหบแห้งของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้น “กลายร่างเป็นปีศาจเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์จะตาย ทําไมพวกเจ้าจะต้องหยุดวิวัฒนาการอันศักดิ์สิทธินี้ด้วย….”