ตอนที่ 493 ปีศาจง
จู่ๆก็เห็นชายชุดดําคนนั้นมีหัวง ทุกคนจึงตะลึง และอดไม่ได้ที่จะสูดหายใจเข้า
สภาพแบบนั้นเป็นอะไรที่ผิดมนุษย์มาก และยังแลบลิ้นงูที่มีความยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตรออกมาตลอด
หากคนทั่วไปมาเห็นเข้า คงต้องตกใจมากแน่ๆ
แต่พวกเรารู้ดี ที่จริงเจ้าหมอนี่เป็นปีศาจในสํานักสื่อเย่
มีเพียงสาวกปีศาจสํานักสื่อเย่เท่านั้น ถึงจะทําให้ตัวเองต้องตกอยู่ในสภาพครึ่งคนครึ่งสัตว์
เพื่อรับความสามารถและพละกําลังบางอย่างของสัตว์
ก่อนหน้านี้มีปีศาจเสือดาวออกมาเผยโฉมเพียงคนเดียว ตอนนี้ยังมีปีศาจงูอีก
จากสภาพของพวกมันสามารถตัดสินได้ว่า ทั้งสองคนน่าจะกลายสภาพไปถึงขั้นสามแล้ว พลังที่มีก็น่าจะเยอะมาก
หรือก็คือ พวกมันกลายร่างเป็นปีศาจอย่างสมบูรณ์แล้ว
พวกมันในตอนนี้ ไม่เพียงมีการกลายสภาพที่ผิดมนุษย์ แต่ยังมีทักษะต่อสู้ของสัตว์ชนิดนั่นๆ อยู่ด้วย
ไม่ควรประมาทเด็ดขาด
ในขณะที่ทุกคนกําลังตกใจ จู่ๆเจ้าปีศาจหัวงูตัวนั้นก็พูดกับซงซานเหออย่างเย็นชา “เจ้าหนู เมื่อกี้แกไม่ได้โชว์พาวนักเหรอฮะ ? ทําไมถึงได้กากขนาดนี้ แค่ฝ่ามือเดียวก็สู้ไม่ไหวแล้ว”
พอซ่งซานเหอได้ยินคําพูดนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นแดงเขียว เอามือกําที่หน้าอกทันที
ต่อจากนั้น เราก็เห็นมุมปากของซ่งซานเหอ มีเลือดไหลออกมาเล็กน้อย
เพราะการปะทะเมื่อกี้ ทําให้ซ่งซานเหอได้รับบาดเจ็บ
จะเห็นได้ว่า เจ้าปีศาจตนนี้มีพละกําลัง มากกว่าซงซานเหอเยอะมาก และอาจขึ้นไปถึงขั้นเต้าจวินแล้ว
เมื่อเทียบซงซานเหอกับอีกฝ่าย เขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ด้วยซ้ํา
แต่สําหรับซ่งซานเหอ แม้จะหายใจหอบเหนื่อยแล้ว แต่เขาก็ยังไม่ยอมแพ้
เขาเป็นถึงศิษย์คนที่สามแห่งสํานักเหมาซาน ฝึกตนมาตั้งแต่เด็ก พลังโดดเด่นเกินใคร
ในบรรดาคนรุ่นเดียวกัน เขาจัดอยู่ในลําดับต้นๆ บนร่างล้วนเต็มไปด้วยรัศมีของอัจฉริยะ
แต่ตอนนี้ เขากลับถูกปีศาจตนหนึ่งดูถูก บวกกับนิสัยที่ค่อนข้างโมโหง่ายของเขา และยังอยู่ต่อหน้าหยางเฉ่ว เขาเลยโมโหขึ้นมาทันที
“ไอ้ปีศาจ อย่าได้ใจนัก คืนนี้เป็นวันตายของพวกแก !” ซ่งซานเหอด่าจากนั้นก็ยกมือทั้งสอง ข้างขึ้นคิดจะเสกคาถาอีก
เมื่อฉัยเฉิงจิงที่อยู่ข้างๆเห็นแบบนั้น ก็รีบพูดกับซงซานเหอว่า “ไม่ได้นะศิษย์พี่สาม !”
หลังจากพูดจบ จุ่ยเฉิงจึงก็เข้ามาอยู่ข้างซ่งซานเหอแล้ว เธอไม่อยากให้ซ่งซานเหอออกไปสู้อีก
ผลลัพธ์มันเห็นกันอย่างชัดเจน พลังของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าซงซานเหอเยอะ
ถ้าซงซานเหอยังออกไปสู้อีก เขาอาจบาดเจ็บหนัก หรือแม้แต่ตาย
แต่ซงซานเหอคนนี้เป็นพวกดื้อหัวชนฝา และกําลังหัวร้อน เจ้าปีศาจงูยังกล้าดูถูกอีก แถมที่สําคัญคือขายหน้าต่อหน้าหยางเจ่ว
ตอนนี้ ในสมองของเขาแทบไม่มีเหตุผลของคนปราบภูติผีอยู่เลย มีแต่อยากจะเอาชนะเท่านั้น
“ศิษย์น้องจึง ปล่อยข้า ข้าจะไปฆ่าเจ้านั่น !” ซงซานเหอพูดต่อ
พวกเราขมวดคิ้ว อยากเตือนเขา หากสามารถยึดเวลาต่อไปได้อีกนาทีเราก็ยอม
หากให้ยายโม่และมู่หลงเหยียนออกมาสู้ การฆ่าพวกมันให้ตายคงเป็นเวลาไม่กี่นาที
แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา หยางเจ่วที่อยู่ข้างๆกลับพูดกับซงซานเหอว่า “ซงซานเหอ นายไม่เข้าใจหรือไง อีกฝ่ายมีพลังเหนือกว่านาย ถ้านายจะออกไปสู่อีก นั่นมันไม่ต่างจากการไปรนหาที่ตาย ! และตอนนี้นายก็บาดเจ็บแล้ว”
“แต่……” ซ่งซานเหอยังอยากพูดอะไรออกมาอีก
ผลลัพธ์หยางเฉวกลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง “นายไสหัวกลับไป !”
ซึ่งซานเหอมองปีศาจหัวงแวบหนึ่ง จากนั้นก็หันมามองหน้าหยางเฉ่ว แต่สุดท้ายก็กัดฟันด้วย ความไม่พอใจสุดๆ แล้วถอยกลับไปยืนที่เดิม
ปีศาจหัวงูตนนั้นเห็นซ่งซานเหอถอยกลับไป เลยได้ใจและทําตัวโอหังสุดๆ “ ทําไม ? ความ สามารถแค่นี้ พวกแกก็เรียกตัวเองว่านักพรตเต๋แล้วเหรอฮะ ? ไม่ได้ร้ายกาจมากเหรอฮี ? ไม่มีใครสู้ได้แล้วหรือไง ?
ถ้าไม่มีแล้ว งั้นก็เข้ามาด้วยกันก็จบ ฉันจะยอมอ่อนให้ใช้แขนแค่ข้างเดียว ”
ปีศาจงูยังแขวะต่อ ท่าทางโอหังสุดๆ ดูถูกพวกเราอย่างต่อเนื่อง
ส่วนปีศาจเสือดาวที่ยืนอยู่ข้างหลัง ก็หัวเราะ “ฮ่าๆๆ” ออกมาสั้นๆ
พอเห็นลูกน้องตัวเองตบหน้าพวกเราแบบนั้น เขาก็รู้สึกมีความสุขขึ้นมา
ดีชั่วต่างกัน ลูกน้องตัวเองพูดดูถูกเหยียดหยามสํานักฝ่ายธรรมะ ผู้นําอย่างเขาย่อมมีความสุข ในการดูละครฉากนี้เป็นธรรมดา
–
ดังนั้น เขาเลยไม่รีบร้อนลงมือกับพวกเรา ยังอยากเห็นพวกเราโดนลูกน้องเหยียบย่ําและทําให้อับอายต่อไป
สีหน้าของพวกเรา ต่างเปลี่ยนเป็นหน้าไม่สบอารมณ์เรียบร้อย
แต่อีกฝ่ายกลับเอาชนะฝ่ามือสยบมารของซงซานเหอได้เพียงฝ่ามือเดียว เห็นได้ชัดว่าเขาต้องอยู่ในขั้นเต้าจวิ้น ต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน
พวกเราทุกคน ตอนนี้มีใครสามารถสู้เดี่ยวๆกับอีกฝ่ายได้บ้างละ
หากใครเข้าไป ก็รอตายได้เลย
แม้จะรู้สึกไม่พอใจพอสมควร แต่เราก็จนปัญญาจริงๆ
พลังของอีกฝ่ายสูงถึงขนาดนั้น พวกเราไม่อาจสู่ได้จริงๆ
ดังนั้น ทุกคนเลยต่างเงียบกันหมด
“ทําไม ? ไม่มีจริงๆเหรอ ? ถ้าไม่มี งั้นฉันจะลงมือละนะ !” เจ้าปีศาจงพูดต่อ และยังแลบลิ้นงู ของเขาต่อไป
ผมกําหมัด อยากต่อยเจ้าตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจนี่ให้ตายจริงๆ ทําไมผมถึงมี พลังแค่เต้าฉือขั้นสุด มันจะไปสู้กับศัตรูที่อยู่ในขั้นเต้าจนได้ยังไง
แต่ในเวลานี้เอง จู่ๆก็มีเสียงมู่หลงเหยียนดังขึ้นในหูผม “ติงฝาน นายออกไป พยายามซื้อเวลาให้พวกเราให้ได้มากที่สุด ส่วนทางฉันใกล้จะเสร็จแล้ว !”
จู่ๆก็ได้ยินเสียงของมู่หลงเหยียน ผมเลยหันไปมองมู่หลงเหยียนตามสัญชาตญาณ ทันใดนั้น ผมก็พบว่าเธอยังช่วยรักษาให้เหล่าฉันอยู่ หลับตานั่งอยู่ท่าเดิม
ส่วนสองสามคนที่อยู่ข้างๆ ก็จ้องปีศาจหัวงตาไม่กระพริบ ราวกับเสียงของมู่หลงเหยียน มีเพียงผมเท่านั้นที่ได้ยิน
แต่หากพูดอีกอย่าง ถึงผมจะยอมไปสู้ แต่ผมจะเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้งั้นเหรอ
อย่าว่าแต่ออกไปถ่วงเวลาเลย อาจเพิ่งเข้าไป ก็โดนอีกฝ่ายซัดจนกระอักเลือดแล้ว
พอคิดถึงตรงนี้ ผมก็อยากพูดกับมู่หลงเหยียน
แต่ดูเหมือนมู่หลงเหยียนจะรู้ความคิดในใจผม เธอเลยพูดกับผมอีกครั้ง “ใช้มีดปลิดวิญญาณมันช่วยนายได้”
พอได้ยินค่าพูดไม่กี่คํานี้ ผมก็อึ้งไปพักนึง
มีดปลิดวิญญาณ ใช้มีดปลิดวิญญาณแล้วจะสู้กับอีกฝ่ายได้เหรอ
นั่นมันเป็นแค่อาวุธชิ้นหนึ่งไม่ใช่เหรอ ถึงจะมีความสามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ และคมยิ่งกว่าอะไรดี
แต่ภายใต้พลังที่เหนือกว่า มันจะมีประโยชน์เหรอ
ผมสงสัย แต่เมื่อมู่หลงเหยียนพูดแบบนั้น มันก็น่าจะมีประโยชน์จริงๆแหละมั้ง
สุดท้าย ผมก็เลือกที่จะเชื่อเธอ มู่หลงเหยียนน่าจะไม่ทําร้ายผม
หลังคิดได้แบบนี้แล้ว ผมก็พยักหน้า แล้วหยิบมีดปลิดวิญญาณออกมา
มันเป็นมีดที่ธรรมดาเล่มหนึ่ง หรือจะบอกว่าสภาพค่อยข้างเน่าเลยก็ว่าได้
ส่วนเจ้าปีศาจงูตัวนั้นยังบ่นต่อไป “ช่างเป็นพวกขยะจริงๆ ในเมื่อไม่มีใครกล้าออกมาสู้เดียว งั้นก็อย่าโทษว่าฉันรังแกคนเยอะกว่าก็แล้วกัน !”
หลังจากพูดจบ เจ้าหมอนี่ก็คิดจะเข้ามาลงมือกับพวกเรา
วินาทีนั้น ทุกคนทําหน้าหนักใจ เตรียมรับการโจมตีกันอย่างถ้วนหน้า
แต่ในช่วงเส้นยาแดงนั้นเอง ผมก็หยิบมีดเน่าๆเล่มนึ่งออกมา แล้วเดินขึ้นไปข้างหน้าสองก้าว
“อยากสู้เดียวใช่ไหม ! ฉันจะสู้ด้วยเอง !”
ผมพูดเบาๆ ส่วนพวกเราหลายคนที่ได้ยินคําพูดของผมแล้ว ก็ต่างหันมามองผมด้วยสีหน้าตกตะลึง
ผมมีพลังระดับไหน ทุกคนรู้ดีแก่ใจ เต้าฉือขั้นกลาง ยังไม่ถึงขั้นเต้าชื่อเลยด้วยซ้ํา
แล้วอีกฝ่ายมีพลังระดับไหนละ เต้าจขึ้น นั่นมันขั้นเต้าจนเลยนะ เมื่อกี้เต้าซื้อขั้นกลางอย่าง ซึ่งซานเหอยังโดนฟาดจนบาดเจ็บในฝ่ามือเดียว พลังอันน้อยนิดของผมในตอนนี้ คิดจะออกไปโชว์พาวงั้นเหรอ
นั่นไม่ต่างจากไปตายฟรีเหรอ