ศพ – ตอนที่ 500 ปีศาจขั้นแรก

ตอนที่ 500 ปีศาจขั้นแรก

บนหน้าอาจารย์เขียนค่าว่าเศร้าเอาไว้เต็มๆ เขาอยากให้มู่หลงเหยียนช่วยท่านนักพรตต์

หลังเหล่าเฟิงและพี่เฟิงได้ยิน ก็หันมามองมู่หลงเหยียนเช่นกัน

ท่านนักพรตต์กลายร่างเป็นปีศาจตอนนี้พวกเราก็ทําอะไรไม่ได้และไม่มีวิธีช่วยขจัดพิษปีศาจและขับพลังปีศาจในร่างท่านนักพรตต์ออกมาได้

ทุกคนจึงหวังว่ามู่หลงเหยียนหรือผีผู้ทรงพลังตรงหน้าตนนี้จะมีวิธี และช่วยท่านนักพรตต์ได้

แต่หลังมู่หลงเหยียนได้ยินแบบนั้น เธอกลับพูดออกมาด้วยน้ําเสียงท้อใจ และเสียใจพอสมควร

“ ท่านอาจารย์ ฉันเองก็ช่วยไม่ได้เหมือนกัน ท่านนักพรตต์ไม่เหมือนพวกท่านถึงในตัวจะมีพิษเหลืออยู่

แต่ก็สามารถควบคุมได้ด้วยตัวเอง และก็สามารถขับออกมาได้ทั้งหมดแต่พิษในตัวท่านนักพรตต์ซึมเข้าถึงกระดูกมันหยั่งรากลึกไปแล้ว หากคิดจะขจัดพลังปีศาจจนหมดฉันเองก็ทําไม่ได้เหมือนกัน”

หลังได้ยินค่าตอบจากมู่หลงเหยียน ในใจของทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะมีเสียงดัง“บิ๊ก”ตอนนี้เหล่าเฟิงแทบเหมือนตกลงไปอยู่ในหุบเขาน้ําแข็ง

เหล่าเพิ่งเคยใช้ชีวิตอยู่บนเรือผีมาเป็นเวลา 10 ปี ในเรือที่มืดมิดและอับชื่นมีเพียงพี่เฟิงที่คอยอยู่เป็นเพื่อน

ล้มลุกคลุกคลานหลายรอบกว่าจะหนีออกมาจากเรือล่านั้นได้ แล้วมาเจอกับท่านนักพรตต์

นอกจากพี่เฟิง นี่เป็นครั้งแรกที่เหล่าเพิ่งรู้สึกมีที่พึ่ง ดังนั้นสําหรับเหล่าเฟิงท่านนักพรตต์ก็คือพ่อแท้ๆของเขา

ตอนนี้เมื่อเห็น “พ่อ” ตัวเองเป็นแบบนี้ และยังไม่อาจช่วยได้หรือไม่มีวิธี มันก็ทําให้เขารู้สึกสิ้นหวังสุดๆ

ในวินาทีนั้นเหล่าเพิ่งท้อไปชั่วครู่ ไม่พูดไม่จา เห็นได้ชัดว่าเศร้ามาก คนเย็นชาอย่างเขาตอนนี้กําลังตาแดงก่ํา

ส่วนพี่เฟิง ที่นั่งทับอยู่บนตัวท่านนักพรตต์ เขากวาดสายตามองเหล่าเฟิงพร้อมเค้นเสียงดังฮี

“เจ้าขยะ ตาแก่นี่ยังไม่ได้ตายโว้ย ! ดูสภาพแกซิ……”

น้ําเสียงพี่เฟิงฟังดูไม่ค่อยพอใจ ต่อจากนั้นเขาก็หันมาพูดกับมู่หลงเหยียน“แม่นางตาแก่นเป็นปีศาจขั้นแรกแล้วแม่นางมีวิธีพอจะทําให้เขากลับมามีสติได้ไหมและมีวิธีคงสภาพแบบนี้ไปตลอด ไม่ให้ตาแก่นกลายสภาพเป็นปีศาจไปมากกว่านี้ได้ไหม ?”

เมื่อเทียบกันแล้วในเวลาเป็นตายพี่เฟิงที่ดูบ้าบินสุดๆกลับกลายเป็นคนสุขุมเยือกเย็น

จากสีหน้าของเขา ผมไม่เห็นความเจ็บปวดเลยสักนิด

บางที่อาจพูดได้ว่าพี่เฟิงไม่เศร้ากับสถานการณ์แบบนี้หรือแสดงความเศร้าออกมาไม่เป็น

ถึงว่าทําไมพี่เฟิงไม่ชอบขี้หน้าน้องชายตัวเองหรือเหล่าเพิ่งมาโดยตลอด บอกว่าเหล่าเฟิงขี้ขลาดทนความเจ็บปวดตลอดสิบปีที่ผ่านมาไม่ไหว

และยังบอกว่า ความเจ็บปวดที่พวกเขาได้รับล้วนเป็นสิ่งที่เขาคอยแบกรับอยู่คนเดียว

หรือแม้แต่ไม่เอ่ยถึงอดีตที่ผ่านมาของเหล่าเฟิงและความทรงจําที่หายไปช่วงนั้นของเหล่า เฟิง

บอกว่าความทรงจําช่วงนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดมากเหล่าเฟิงไม่มีทางรับไหวอย่างแน่นอน

แน่นอน เหล่าเฟิงเองก็ไม่แย่เหมือนอย่างที่พี่เฟิงพูดขนาดนั้นเหล่าเฟิงก็แค่ตาแดงเท่านั้น

เหล่าเฟิงเองก็สนใจ เขามองไปยังมู่หลงเหยียนเท่านั้น

พอม่หลงเหยียนได้ยินพี่เฟิงถามแบบนั้นเธอก็มองท่านนักพรตต์ที่กําลังสงบลงแล้วพูดว่า“เมื่อก่อนฉันไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน ตอนนี้เลยยังไม่มีวิธีทําให้ท่านนักพรตต์กลับมามีสติดังเแต่พอกลับไปแล้วฉันจะลองไปถามคนอื่นดูบางทีอาจหามีวิธีรักษาเจอก็ได้ !”

“งั้นก็รบกวนแม่นางแล้ว !” พี่เฟิงพูด

เหล่าเฟิงเองก็พูดกับมู่หลงเหยียน “ขอบคุณมากๆ !”

ต่อจากนั้นท่านนักพรตต์ที่โดนมู่หลงเหยียนสกัดจุดไว้ก็ค่อยๆสงบลงมาเรื่อยๆ

เริ่มหยุดดิ้น และเปลี่ยนเป็นการง่วงนอนแทน

พวกเราเองก็รู้ดี ตอนนี้พลังปีศาจในตัวท่านนักพรตต์ กําาลังกลับมาสงบดังเดิมและไม่ได้ปั่นป่วนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว

ใบหน้าที่เคยดุร้าย ก็เริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง

สิ่งที่สําคัญที่สุดคือ พวกเราพบว่าดวงตาข้างหนึ่งของท่านนักพรตต์ยังลืมอยู่ครึ่งหนึ่งม่านตาสัตว์ของดวงตาข้างนั้นค่อยๆจางหายไปแล้วมันกลับมาเป็นม่านตาของคนปกติอีกครั้ง

เมื่อเห็นถึงตรงนี้ เหล่าเพิ่งก็พูดกระตุ้นท่านนักพรตต์ทันที “อาจารย์ อาจารย์ยังจําผมได้ไหม

เสียงเพิ่งเงียบลง จู่ๆตาครึ่งหลับครึ่งตื่นของท่านนักพรตต์ก็ลืมขึ้นทันที

ม่านตาทั้งสองข้างต่างกัน พวกมันจับจ้องไปที่เหล่าเฟิงทันที

แต่สีหน้าของผม กลับดูแปลกสุดๆ

ครึ่งหนึ่งโมโห อีกครึ่งกลับเรียบนิ่ง เป็นอะไรที่พิลึกสุดๆ

ส่วนตัวท่านนักพรตต์ก็ลองส่งเสียงออกมาสองสามครั้ง แต่เสียงที่ออกมากลับฟังดูค่อนข้างแปลก

มันเป็นเสียงที่ไม่ชัดเจน และบางครั้งก็ยังมีเสียงคํารามติดออกมาด้วย

“เสียว เสี่ยวเฟิง โฮก ! อาจารย์ อาจารย์ไม่เป็นไร โฮกโฮก……” ท่านนักพรตติพูดจาติดขัดเหมือนตอนนี้ในร่างของเขาจะมีสัตว์ตัวหนึ่งสิงอยู่และมันกําลังแย่งร่างกับเขา

“ตาแก่ ทนเอาไว้ก่อน ! ตาเฒ่าอย่างนายยังไม่เห็นฉันเอาตัวเจ้าขยะนี่กลับไปนะ !” พี่เฟิงพูดจาดูถูกแต่มือยังกดตัวท่านนักพรตต์เอาไว้

ท่านนักพรตต์ฝืนยิ้ม “คราวนี้ ดูเหมือน ดูเหมือนฉันจะจบแล้ว โฮกโฮก….”

“อาจารย์วางใจได้ เราต้องหาวิธีช่วยอาจารย์ได้แน่นอน !” เหล่าเพิ่งพูดต่อ ขณะมองใบหน้าที่บิดเบี้ยวของอาจารย์เขาก็ฝืนน้ําตาลูกผู้ชายเอาไว้ไม่อยู่

“ไม่ต้องห่วง อาจารย์ ถ้า ถ้าอาจารณ์เสีย เสียสติไปจริงๆ จ่า จําไว้ฆ่า ฆ่าฉันได้เลย……”

เสียงเพิ่งมาถึงตรงนี้ท่านนักพรตต์ก็ตัวสั่น“โฮกๆ”พร้อมเสียงคารามที่ดังขึ้นสองครั้งจากนั้นตัวเขาก็สันอย่างรุนแรง

ม่านตาที่กําลังกลับมาเป็นปกติข้างนั้น กลับเป็นม่านตาสัตว์อีกครั้ง

ด้วยเหตุนี้ ท่านนักพรตต์จึงเริ่มเสียสติ และคําราม “โฮกโฮก” ออกมาและพยายามดิ้นรนอีกครั้ง

แต่แรงลิ้น กลับน้อยลงเยอะมาก สุดท้ายเขาก็หลับตา และสลบไปในทันที

เมื่อเห็นท่านนักพรตต์สลบไป ผมก็พูดกับทุกคนว่า “ พวกเราพาท่านนักพรตต์กลับไปพักกันเถอะ !

จากนั้นค่อยปรึกษากันอีกที”

ทุกคนเองก็เห็นด้วย อยู่ที่นี่ต่อไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา กลับไปสงบสติอารมณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันจะดีกว่า

เนื่องจากในร่างกายของพวกเรา ยังมีพิษปีศาจหลงเหลืออยู่ และจําเป็นจะต้องขจัดออกให้หมด

ไม่อย่างนั้น พิษที่เหลือพวกนี้ก็จะค่อยๆเพิ่มเยอะขึ้น พอวันที่พระจันทร์เต็มดวงในรอบถัดไปมาถึง

มันก็จะกลับมาบ้าคลั่งอีกครั้ง

พอเหล่าเพิ่งได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็ตอบรับ “ซื้อ” ต่อจากนั้นก็แบกท่านนักพรตต์ขึ้นหลัง
หลังจากนั้น พวกเราก็เริ่มเดินกลับไปทางที่มา

เพิ่งเดินไปได้แค่ครึ่งทาง เราก็พบกับจุ่ยเฉิงจิง หยางเฉ่ว ซึ่งซานเหอและยังมีอู่ซึ่งหลง พวกเขาเองก็รีบตามมาเช่นกัน

หลังจากพานักพรตหวังเฉิงกาน นักพรตเฉินจือ และเหล่าฉันกลับไปส่งที่โรงพยาบาลแล้วพวกเขาก็เป็นห่วงพวกเราดังนั้นเลยมาเพื่อดูสถานการณ์ของพวกเราโดยเฉพาะ

ตอนเห็นท่านนักพรตต์ที่กลายร่างเป็นปีศาจระยะแรกบนหลังเหล่าเฟิงพวกเขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ

ขนสัตว์พวกนั้น อยู่บนผิวของท่านนักพรตต์อย่างงั้น และยังมีกรงเล็บที่ดูคมสุดๆสภาพน่ากลัวสุดๆไปเลย

ทุกคนทําอะไรไม่ได้นอกจากพูดด้วยความห่วงใยเพียงไม่กี่ประโยค

เพราะรีบเดินทาง พวกเราเลยไม่ได้คุยอะไรกับพวกเขามาก เราบอกให้พวกเขากลับไปดูแลนักพรตหวัง นักพรตเฉินและเหล่าฉินที่โรงพยาบาลก่อน

ส่วนพวกเรา ก็รีบประคองท่านนักพรตต์ขึ้นรถผม จากนั้นก็รีบขับรถตรงกลับตําบลชิงฉือทันที

เมื่อมาถึงตําบลชิงฉือ ก็เป็นเวลาตีห้าแล้ว ฟ้ากําลังจะสว่างแล้ว

หลังมาถึงตําบลชิงฉือมู่หลงเหยียนและยายโม่ ก็ไม่ได้อยู่ต่อนานนัก

เพราะฟ้าใกล้จะสว่างแล้ว พวกเธอเลยต้องรีบกลับไป

แต่ก่อนจากไปเธอพูดกับผมว่า พอพวกเธอกลับไปแล้วจะช่วยหาวิธีรักษาท่านนักพรตต์ช่วยให้ท่านนักพรตต์หลุดจากร่างปีศาจระยะแรกและกลับมามีสติอีกครั้ง

หากได้ข่าวยังไงเธอจะรีบติดต่อพวกเราทันที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset