ตอนที่ 501 ปรึกษากันให้ดีๆก่อน
หลังมู่หลงเหยียนและยายโม่จากไป พวกเราไม่กี่คนก็พาท่านนักพรตต์กลับร้านไปฉาว
เพราะในมือของพวกเราไม่มีของเหมือนพวกสํานักสื่อเย่ ที่ในขณะกลายร่าง จะมียาที่สามารถใช้คงสติเอาไว้ได้
ดังนั้นหากอีกเดี๋ยวท่านนักพรตต์ตื่นขึ้นมา เขายังบ้าคลั่ง และทําตัวเหมือนสัตว์ร้ายเช่นเคย
ไม่มีทางเลือก เราจึงจําเป็นต้องใช้เชือกมัดท่านนักพรตตู๋เอาไว้
มีเพียงทางเดียวเท่านั้น ถึงจะรักษาความปลอดภัยให้กับท่านนักพรตต์ และหลีกเลี่ยงไม่ให้สัญชาตญาณสัตว์หลังกลายร่างของท่านนักพรตต์ ไปทําร้ายคนบริสุทธิ์ที่อยู่รอบๆแถวนี้ได้
ในระหว่างนี้ เห็นได้ชัดว่าอาจารย์เสียใจมาก
เขาเองก็เล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับท่านนักพรตต์ เขาบอกว่าตอนนั้นเขาและท่านนักพรตตู๋กําลังพักผ่อนอยู่ในห้อง
แต่พอมาถึงยามจอ ทั้งสองคนก็ตื่นขึ้นพร้อมอาการไอที่ไม่อาจอธิบายได้ และในขณะเดียวกัน พวกเขาก็รู้สึกว่าในร่างกายมีกระแสพลังแปลกๆอยู่
กระแสพลังนี่กระจายไปทั่วทั้งแขนขา จากนั้นก็ค่อยๆทําให้ร่างกายของพวกเขาเปลี่ยนไป
ทั้งสองคนไม่รู้จะเผชิญหน้ากับการกลายร่างเป็นปีศาจยังไง บวกทั้งความเจ็บปวดที่ทวีความรุนแรงขึ้น
พวกเขาจึงได้แต่ทนต่อไป
ท้ายที่สุดหลังรับสายผมแล้ว ท่านนักพรตต์และอาจารย์ของผมถึงได้เริ่มเดินลมปราณ
แม้จะหาวิธีแก้เจอแล้ว แต่ผลลัพธ์กลับไม่ชัดเจน
ทั้งสองคนพยายามเคลื่อนพลังยับยั้ง แต่พวกเขากลับพบว่าการกลายร่างเกิดขึ้นเร็วเกินไป
ด้วยพลังของตัวเอง ไม่มีทางต้านเอาไว้ได้แน่นอน
ในขณะที่ทั้งสองคนต้านการกลายร่างไม่ไหว ท่านนักพรตต์กลับทําในสิ่งที่คนคาดไม่ถึง
เขาเลิกยับยั้งพลังปีศาจของตัวเอง และมาช่วยต้านพลังปีศาจในตัวอาจารย์แทน
เมื่อเป็นแบบนี้ อย่างน้อยก็จะสามารถรักษาใครคนหนึ่งเอาไว้ได้
อาจารย์ตกใจมาก เป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เห็นด้วย แต่ในระหว่างนั้นเองเขากลับโดนท่านนักพรตตู๋ใช้ยันต์สะกดเอาไว้
ไม่ว่าอาจารย์จะตะโกนยังไง มันก็ไร้ประโยชน์
สุดท้าย อาจารย์ก็ได้แต่ทําใจ ร่วมมือยับยั้งพลังปีศาจในตัวกับท่านนักพรตตู๋
เรื่องก็เป็นแบบนี้ สุดท้ายอาจารย์ก็ยับยั้งพลังปีศาจพวกนั้นเอาไว้ได้
ส่วนท่านนักพรตตู๋ ที่ยอมแพ้และหันมาช่วยอาจารย์ กลับค่อยๆโดนพลังปีศาจกลืนกิน แล้วสุดท้ายก็กลายร่างเป็นปีศาจระยะแรก และเสียสติในที่สุด
แต่ก่อนที่จะสูญเสียสติสัมปชัญญะ ท่านนักพรตที่พยายามควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ของตัวเอง ดังยันต์ที่สะกดอาจารย์เอาไว้ออก จากนั้นก็พุ่งออกไปจากห้องทันที
เป็นธรรมดาที่อาจารย์จะไม่ทิ้งท่านนักพรตต์ เขาเองก็รีบวิ่งตามออกไป ในเวลาเดียวกันก็โทรศัพท์มาหาผม บอกให้ผมรู้ข่าวในตอนนั้น
เรื่องหลังจากนั้น ก็คือสิ่งที่พวกเราเห็นกันนั่นแหละ
ท่านนักพรตเสียสติปัญญาอย่างสมบูรณ์ ถูกพลังปีศาจกลืนกิน สูญเสียตัวตนของตัวเองไปอย่างสมบูรณ์
แม้อาจารย์จะเสียใจ แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว สิ่งเดียวที่สามารถทําได้ ก็คือดูแลท่านนักพรตตู๋ให้ดี
และพยายามหาทางแก้
แม้ว่าต่อไปจะไม่สามารถขจัดพิษปีศาจออกจากตัวท่านนักพรตต์ได้ทั้งหมด แต่ขอเพียงทําให้เขากลับมามีสติปัญญา และควบคุมการกลายร่างที่จะเกิดขึ้นต่อไปได้ก็พอแล้ว
หลังตัดสินใจได้อย่างนี้ ต่อไปสิ่งที่พวกเราต้องทําคือ ขจัดพิษที่เหลืออยู่ในร่างกายของพวกเรา
ในตัวของพวกเราแต่ละคน ยังมีพิษปีศาจนหลงเหลืออยู่นิดหน่อย
พิษปีศาจพวกนี้นอกจากขับออกมาด้วยตัวเองแล้ว ต้องใช้แรงจากภายนอกช่วยขับออกมา
แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก เพราะพวกเราสองคนสามารถจัดการได้
ดังนั้นผมและอาจารย์เลยกลับบ้านไปขจัดพิษออกก่อน ส่วนที่นี่ก็เหลือแต่เหล่าเฟิงและพี่เฟิงคอยดูแล
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ผมและอาจารย์ก็ไม่รอช้า
อาจารย์เริ่มขจัดพิษให้ผมก่อน เขาเคลื่อนพลังตามคําแนะนําของผม จากนั้นเราสองคนก็เริ่มขับพิษที่เหลืออยู่ในตัวผมออกมาจนหมด
มันสังเกตได้ง่ายมาก เพราะพลังปีศาจเข้ากันไม่ได้กับพลังในร่างเรา
ก่อนหน้านี้คือไม่รู้ว่าในตัวเรามีพลังปีศาจอยู่ ตอนนี้พอรู้แล้ว แม้เจ้าพลังปีศาจพวกนี้จะซ่อนดีขนาดไหน
เราก็หาพวกมันเจอเสมอ
สุดท้ายพลังปีศาจที่เหลือพวกนี้ ก็กลายสภาพเป็นไอพลังสีเขียว แล้วค่อยๆลอยออกมาจากบนหัว
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง พลังปีศาจในร่างก็ถูกขับออกไปทั้งหมด
ต่อจากนั้น ผมก็ใช้วิธีเดียวกัน ช่วยขับพลังปีศาจที่อยู่ในตัวอาจารย์ออกมา หยุดความเป็นได้ในการกลายร่าง
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจ้าหมอกของ “โอสถ โลหิตศพ” จะร้ายกาจถึงขนาดนี้ สัมผัสเพียงนิดเดียว ทําให้พวกเขาเกือบกลายเป็นตัวประหลาดที่ไม่ใช่ทั้งคนและปีศาจแล้ว ไม่เข้าใจเลยจริงๆว่าเจ้าสํานักสื่อเย่นี่จะเอายาเม็ดนี้ไปทําอะไร !
แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดสุดๆคือ ตอนนี้ดูเหมือน หมอกสีแดงพวกนั้น จะไม่มีผลกับเผ่าจิ้งจอก และ พวกผู้หญิง
อย่างเช่นปู่หลิ่วและหยางเฉ่ว พวกเขาเป็นตัวพิสูจน์ได้ดีที่สุด
ตอนนั้นพวกเรายืนอยู่ด้วยกัน พวกเธอเองก็สัมผัสกับหมอกพวกนั้นเล็กน้อย
แต่การกลายร่าง กลับเกิดขึ้นกับพวกผู้ชายอย่างพวกเรา
หลังช่วยอาจารย์ขับพลังปีศาจชุดสุดท้ายออกมาแล้ว พวกเราสองคนก็อดสูดหายใจเข้าลึกๆ ไม่ได้
หลังจากนั้นก็ได้ยินผมพูดว่า “อาจารย์คราวนี้ดวงซวยสุดๆ แถมก่อนรับสายอาจารย์ พวกเรายังเจอปีศาจของสํานักสื่อเย่นั่นด้วย แถมเจ้าหมอนั้นยังร้ายกาจสุดๆ ! แต่สุดท้ายเราก็ปล่อยให้มันหนีรอดไปได้”
พออาจารย์ได้ยินแบบนั้น ก็ขมวดคิ้วในทันที “สํานักสื่อเย่ ข้าไม่มีทางปล่อยพวกแกไปแน่ ! เสี่ยวฝาน เล่ามา เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?”
เพราะเรื่องของท่านนักพรตตู๋ อาจารย์เลยดูจะโกรธเอามากๆ
ตอนนี้พอพูดถึงสําสื่อเย่ อาจารย์ก็หัวร้อนขึ้นมาในทันที
ผมไม่รอช้า รีบเล่าเรื่องที่เจอท่านเทพแห่งสํานักสื่อเยู่ในสวนสาธารณะก่อนหน้านี้ให้เขาฟังทันที
หลังฟังจบ อาจารย์ก็อดสูดหายใจเข้าไม่ได้ “ไม่พูดไม่ได้ เจ้าสํานักสื่อเย่นี่แข็งแกร่งกว่าที่เราคิดเอาไว้มาก แต่พวกเราต้องคิดหาวิธี จับลูกศิษย์ของเจ้าสํานักเย่นี่กลับมาให้ได้สักคน !”
“หือจับลูกศิษย์สํานักสื่อเย่ ? ทําไมต้องทําแบบนั้น ?” ผมค่อนข้างสงสัย
อาจารย์กลับท่าหน้าจริงจัง “แกลืมแล้วเหรอ ? ลูกศิษย์สํานักสื่อเย่ จะต้องกินยาเป็นระยะ เพื่อควบคุมพลังปีศาจในตัว ไม่ทําให้ตัวเองสูญเสียสติปัญญา แล้วกลายเป็นสัตว์ตัวหนึ่ง”
“ถ้าพวกเราได้ยานมา เราก็จะเอาไปทดลองหาสูตรยาออกมาได้ แบบนี้ต่อไปเราก็ทําให้เหล่าตู๋กลับมามีสติเหมือนเดิมได้ ! หรือแม้แต่ยังอาจหาทางยับยั้งการกลายร่างได้……”
อาจารย์พูดความคิดของเขาออกมา พอผมได้ยินแบบนั้น ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นไปได้
ตอนนี้สิ่งที่สําคัญคือทําให้ท่านนักพรตต์กลับมามีสติอีกครั้ง ส่วนจะชะลอหรือหยุดการกลายร่างยังไง
เรื่องนี้เรายังค่อยๆหาวิธีได้
แต่บริษัทหมิงโลจิสติกส์โดนพวกเราทําลายไปแล้ว ตอนนี้หากอยากหาสาวกสํานักสื่อเย่สักคน
และได้ยาพิเศษนั้นมาครอง คงได้แค่พูดเท่านั้น
หากเข้าไปปะปนอยู่ในฝูงชน พวกเราไม่มีทางจ่สาวกปีศาจพวกนี้ได้
ในขณะที่พวกเรากําลังหัวร้อน คิดว่าจะทํายังไงถึงจะหาปีศาจสํานักสื่อเย่ได้ ที่หน้าบ้านก็มีเสียงคนเคาะประตูดังขึ้น
ตอนนี้ฟ้าเพิ่งสาง ใครกันนะที่มาเคาะประตู
ในขณะสงสัย ผมก็ตะโกนถามว่า “ใคร”
เสียงเพิ่งเงียบลง เสียงของคุณป้าคนหนึ่งก็ดังขึ้น “ฉันเอง ยายเจ็ด !”
ยายเจ็ด คือยายหูชี
ถึงจะไม่รู้ว่ายายเจ็ดมาหาด้วยเรื่องอะไร แต่ผมก็ไม่กล้ารอช้า รีบเดินไปเปิดประตูทันที
เพิ่งเปิดประตูออกมา ผมก็เห็นปู่หลิว ยายหูชีและหูเหมย
เมื่อเห็นทั้งสองท่าน ในฐานที่ผมเป็นชูหม่า ผมก็รีบทํามือคํานับทันที “ศิษย์คารวะปู่หลิ่ว ยาย เจ็ด…..”
ปู่หลิ่วและยายเจ็ดพยักหน้า จากนั้นผมก็ได้ยินป่หลิ่วพูดว่า “ชูหม่าไม่ต้องมากพิธี ที่พวกเรามาในวันนี้ เพราะเรื่องสํานักสื่อเย่……”
ผมและอาจารย์กําลังปรึกษากันเรื่องนี้เลย ! เมื่อได้ยินปู่หลิ่วพูดแบบนั้น ผมก็รีบเชิญเข้าไปใน
บ้านทันที
อาจารย์ทักทายพวกปู่หลิ่ว ในเวลาเดียวกันเขาก็พูดกับพวกปู่หลิวว่า “ไม่ปิดบังท่านเซียน ข้ากับศิษย์ กําลังหัวร้อนเพราะเรื่องนี้อยู่เลย ในตัวเหล่าตูมีพิษปีศาจอยู่ และมันซึมเข้ากระดูกแล้ว ตอนนี้เขากลายร่างเป็นปีศาจระยะแรกแล้ว”
“อะไรนะ นักพรตติยับยั้งพลังปีศาจไม่ได้เหรอ……” ปู่หลิ่วตกใจ
อาจารย์ถอนหายใจ ส่ายหัว จากนั้นก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเขาฟัง
หลังจากนั้นก็พูดต่อ “ตอนนี้พวกเรากําลังคิดจะจับศิษย์สํานักสื่อเย่สักคนมาเป็นๆ เอายาพิเศษนั่นออกมา ช่วยควบคุมสัญชาตญาณสัตว์ในตัวเหล่าก่อน ทําให้เขาได้กลับมามีสติอีกครั้ง
เสียงอาจารย์เพิ่งเงียบ ปู่หลิ่วก็ตบขาดังลั่น “ดูเหมือนเราจะมาถูกเวลา ที่พวกเรามาในวันนี้ ก็เพราะเจอเบาะแสของพวกสาวกสําลื่อเย่ และเจ้าสาวกสานักสื่อเย่พวกนี้ ก็เพิ่งเข้ามาในตําบลชิงฉือของพวกเราเมื่อคืนนี้”
“ พวกเราและคนอื่นๆกลัวจะแหวกหญ้าให้งตื่น เลยไม่ได้ทําอะไร คิดว่ารอให้ทุกคนกลับมา
แล้วค่อยปรึกษากันดีๆก่อน ตอนนี้ดูเหมือน พวกเราคงได้ลงมือกันวันนี้แล้ว……”