ศพ – ตอนที่ 503 พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

นิยาย ศพ ตอนที่ 503 พัฒนาอย่างต่อเนื่อง

ผมดีใจมาก คิดว่าเป็นเพราะวิธีที่มู่หลงเหยียนบอก ทําให้ผมได้ผลลัพธ์ที่ดีขนาดนี้

ผมสงบความรู้สึกตื่นเต้นเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มเคลื่อนพลังและกําหนดลมหายใจต่อผมทําทุกอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อยากให้ตัวเองพัฒนาไปอีกขั้น

แต่ผลที่ตามมากลับทําให้ผมนั่งไม่ติด

หลังเคลื่อนพลังตามรูปแบบนี้แล้ว ผมก็พัฒนาต่อไปได้อย่างราบรื่น ความเร็วในการพัฒนา

เร็วขึ้นจนผิดปกติ

ก่อนหน้าผมมีภูเขาขวางกั้นทางอยู่ หรือเหวลึกที่ไม่อาจปีนขึ้นไปได้ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เหมือนการขี่ม้าบนพื้นราบ……

ผมพัฒนาติดต่อกันไปได้อีก 7 จุด จนกระทั่งตัวเองขึ้นไปถึงจุดที่ 31 และตอนที่ข้ามผ่านจุดที่ 30 ไปได้จุดตันเถียนของผมก็สั่นอยู่พักหนึ่ง

ผมสัมผัสได้ว่า พลังที่อยู่ด้านในตัวเพิ่มมากขึ้น และหนาขึ้น

ผมรู้ดี นี่ก็คือขั้นต้นก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ความสําเร็จ

ผมรู้สึกรอคอยเป็นพิเศษ คิดว่าหลังจากฝึกวิชาเป็นเทียนกงสําเร็จแล้ว พลังของผมจะทรงพลังและพัฒนาอย่างก้าวกระโดดหรือเปล่า

แต่การพัฒนาในวันนี้เร็วเกินไป เร็วจนผมตกใจ

ต้องรู้ว่าภาพฝึกพลังภาพแรกของวิชาเป็นเทียนกง มีจุดลมปราณที่ต้องฝึกฝนทั้งหมด 38 จุด

แต่ในวันนี้ ผมกลับพัฒนาติดต่อกันไปถึง 8 จุด เรื่องนี้จึงทําให้ผมคาดไม่ถึง หรือแม้แต่แปลก

ใจสุดๆ

เพราะหลังพัฒนาไปถึงจุดที่ 20 การฝึกก็เปลี่ยนเป็นเรื่องยากขึ้นมาทันที

ยิ่งฝึกต่อไปเรื่อยๆ การพัฒนาก็มีระดับความยากมากขึ้นเรื่อยๆ

ไม่อย่างงั้นผมก็คงไม่ติดอยู่ที่จุด 23 นานขนาดนั้น ไม่อาจก้าวข้ามไปได้สักที หรือหาทางไปต่อไม่ได้

ความรู้สึกแบบนี้ ที่สามารถพัฒนาไปได้ถึง 8 จุดในครั้งเดียว มันเป็นอะไรที่ไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่ที่ผมเริ่มฝึกมา

เพราะเรื่องนี้ ทําให้อารมณ์ของผมเปลี่ยนแปลงอย่างแรง ผมรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ

ดังนั้นในวินาทีที่จะก้าวข้ามจุดที่ 32 ผมจึงทําล้มเหลว

แต่ผมรู้ว่านี่เป็นเพราะอารมณ์ของผมเข้ามามีส่วนร่วมมากเกินไป

ถ้าฝึกเคลื่อนพลังและสภาพจิตใจก่อนหน้านี้ผมต้องทําสําเร็จแน่ๆ หรือแม้แต่พัฒนาต่อไปได้อีก

หลังลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ผมก็เคลื่อนพลังผ่าน 31 จุดนั้นสําเร็จแล้ว ยังเหลืออีกเพียง 7 จุดเท่านั้น ผมก็จะฝึกเดินลมปราณในแผนภาพแรกของวิชาเป็นเทียนกงสําเร็จแล้ว

เมื่อหันไปดเวลา ผมก็พบว่าตอนนี้ผ่านไปเพียงประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ผมใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมง ก็สามารถพัฒนาไปได้ถึง 8 จุด ความเร็วแบบนี้เป็นอะไรที่น่าตกใจมาก แม้แต่ตัวผมเองก็ยังไม่อยากเชื่อ

ผมก้มมองมือของตัวเอง จากนั้นก็บ่นพึมพําออกมาว่า วันนี้พัฒนาไปได้เร็วเว่อร์ ไม่อยากจะเชื่อจริงๆ

หากยึดตามความเร็วในวันนี้ ไม่แน่อีกสองสามวันข้างหน้า ผมอาจฝึกวิชาเฟินเทียนกงสําเร็จ แล้วก็ได้

พอคิดมาถึงตรงนี้ ผมก็เห็นว่าตอนนี้ยังไม่เย็นมาก จึงคิดจะลองฝึกต่อ ลองดูว่าจะพัฒนาต่อไปได้อีกไหม

ด้วยเหตุนี้ ผมเลยรีบนั่งลง และเตรียมจะฝึกต่อ แต่ทันใดนั้นเอง ผมกลับตกใจ เพราะผมพบว่าตอนนี้มีดปลิดวิญญาณกําลังวางขวางอยู่ข้างขา
ผม

เมื่อคืนตอนนอน ผมเล่นมีดปลิดวิญญาณจนหลับไป ก่อนหน้านี้ตอนฝึก ก็ไม่ได้สังเกตเห็นว่ามีดปลิดวิญญาณอยู่บนหน้าตักตัวเอง

ดังนั้น ผมเลยหยิบมีดปลิดวิญญาณขึ้นมา แล้ววางมันไว้บนเตียง หลังวางมีดวิญญาณเรียบร้อยแล้วผมก็หลับตา เริ่มฝึกวิชาเฟินเทียนกงต่ออีกครั้ง

ผมทําตามที่มู่หลงเหยียนบอก ทําจิตใจให้สงบ จากนั้นก็ค่อยๆเคลื่อนพลัง มันเป็นเหมือนก่อนหน้านี้ ทุกอย่างราบรื่นมากราบรื่นสุดๆ ไม่มีติดขัดเลยสักนิด ผ่านไปไม่นาน ผมก็มาถึงจุดที่ 31

ถึงจะยังไม่พัฒนาไปจนถึงจุดที่ 32 แต่ตอนนี้ผมกลับพบว่าการควบคุมพลังในร่างกายเป็นเรื่องที่ง่ายมาก

ผมสัมผัสได้ถึงคอขวดของจุดที่ 32 บางทีมันต้องการแค่ก้าวเดียวก็จะสําเร็จ

ดังนั้น ในขณะฝึกวิชาเฟินเทียนกง ผมจึงเคลื่อนพลังคิดจะก้ามข้ามจุดที่ 32 ไปให้ได้

แต่ในขณะที่ผมเคลื่อนพลังไปปะทะกับจุดที่ 32 เรื่องที่ไม่คาดคิดก็ปรากฏขึ้น

ความรู้สึกควบม้าบนพื้นราบอันนั้น กลับหายไป ในวินาทีที่พุ่งชนกับจุดที่ 32 ราวกับสิ่งที่ตรงหน้าตัวเองเป็นภูเขาลูกใหญ่ ที่ไม่อาจสั่นคลอนมันได้ง่ายๆ พลังที่อยู่ในตัวผม ก็สลายหายไปทันทีอย่าว่าแต่ทะลุคอขวดเลย แม้แต่สั่นคลอน มันก็เป็นไปไม่ได้

หลังจากล้มเหลว คิ้วผมก็ค่อยๆขมวดเข้าหากัน พร้อมเผยสีหน้างงงวยออกมา เห็นอยู่ชัดๆว่ารูปแบบการฝึกก็เหมือนกับครั้งแรก ทุกอย่างราบรื่น แต่ทําไมตอนปะทะถึงได้ล้มเหลวละ

ผมค่อนข้างงง จากนั้นก็ยังอยากลองอีกสองสามครั้ง ผลลัพธ์ที่ได้ก็เหมือนเดิม ผมทําตามคําแนะนําของมู่หลงเหยียนการฝึกราบรื่นขึ้นมากกว่าเดิม หรือแม้แต่สบายดั่งใจคิด

แต่ทุกครั้งที่มาถึงคอขวด ไม่ว่าจะทํายังไงผมก็ทําไม่สําเร็จ หรือแม้แต่ไม่อาจสั่นคลอนมันได้เลยสักนิด

ผมสงสัยในใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่

เห็นอยู่ชัดๆว่าไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น ผมควบคุมลมปราณได้อย่างดีเยี่ยม แต่ทําไมถึงพัฒนาต่อไปไม่ได้

หรือว่าผมทําตรงไหนผิดไป

ผมลองคิดทบทวน หรือแม้แต่คิดถึงความรู้สึกแรกที่พัฒนา 8 จุดได้ติดต่อกัน ดูรูปแบบการเคลื่อนพลังและสภาพจิตใจไปทีละขั้นๆ

ผมพบว่าตอนฝึกเมื่อครั้งแรก ในตัวผมเหมือนจะมีกระแสความเย็นบางอย่างปรากฏขึ้นลางๆ เหมือนกระแสความเย็นพวกนั้นจะเข้าไปผสมกับลมปราณของผม ต่อจากนั้นผมก็ฝึกเดินลมปราณวิชาเฟินเทียนกงสําเร็จมาเรื่อยๆ

แต่ครั้งที่สองและครั้งที่สาม กลับไม่มีกระแสความเย็นนี้ปรากฏขึ้น และผมเองก็พัฒนาต่อไปไม่ได้อีก

เมื่อคิดได้แบบนั้น ผมก็ถามตัวเองว่า หรือว่าจะเป็นเพราะไม่มีความเย็นนั่น ดังนั้นพวกเองเลยไปต่อไม่ได้ แต่ในลมปราณ ก็ไม่มีกระแสความเย็นแบบนั้นอยู่ แล้วมันมาได้ยังไง หรือ หรือจะเป็นเพราะจิตใจของตัวเองยังไม่สงบพอ พอไม่มีสภาพจิตใจแบบนั้น ดังนั้นก็เลยไม่มีกระแสความเย็นแบบนั้นเกิดขึ้น

ผมลองคิดทบทวนกลับไปกลับมาสุดท้ายก็ได้ผลสรุปแบบนี้

ผมขมวดคิ้วพยักหน้าเบาๆ คิดว่าต้องเป็นแบบนี้แน่ๆ

น่าจะเป็นเพราะสภาพจิตใจของตัวเองยังไม่นิ่งพอหรือจิตใจไม่รวมเป็นหนึ่ง ถึงทําให้ล้มเหลว

และไม่ได้เกิดจากสาเหตุอื่น

แน่นอน ผมสรุปผลออกมาได้แค่อย่างเดียว

แต่หากมองในทางกลับกันผมก็พัฒนาไปได้ถึง 8 จุดติดต่อกัน ลมปราณในร่างกายของผมก็มีเยอะมากขึ้น พลังในจุดตันเถียนก็เป็นเพราะฝึกวิชาเฟินเทียนกงมันถึงดูใหญ่ยิ่งกว่าเดิม

ด้วยเหตุนี้ ผมสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ว่าตัวเองใกล้ก้าวขึ้นไปขั้นเต้าซื้อแล้ว

ระยะห่างของผมกับขั้นเต้าซื้อในตอนนี้ อยู่ห่างกันแค่ก้าวเดียวเท่านั้น

หรือแม้แต่สามารถเดาได้ว่า หากฝึกวิชาเฟินเทียนกงสําเร็จ ผมต้องสามารถก้าวขึ้นสู่ขั้นเต้าชื่อได้อย่างแน่นอน

จากความเร็วในตอนนี้ ผมใช้เวลาไม่ถึงครึ่งปี EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เต้าซื้อได้แล้วหากความรู้สึกในการพัฒนาก่อนหน้านี้ปรากฏขึ้นอีก การพัฒนาไปจนถึงขั้นเต้าชื่อก็อาจใช้เวลาเพียงแค่สองวันเท่านั้น

พอคิดว่าตัวเองจะก้าวขึ้นสู่ขั้นเต้าซื้อแล้ว ผมก็รู้สึกดีใจสุดๆ

ผมเพิ่งพัฒนามาถึงเต้าฉือขั้นสุดได้นานเท่าไหร่เชียว ในระยะเวลาไม่ถึงสองเดือนได้ แต่ตอนนี้ผมกลับเริ่มเข้าสู่เขตของขั้นเต้าชื่ออีกแล้ว

ความเร็วในการพัฒนาแบบนี้ในบรรดารุ่นเดียวกัน ก็คงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เทียบได้มั้ง !

ในขณะที่ผมกําลังคิดแบบนี้ จู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “ปังๆๆๆ”

เสี้ยววินาทีต่อมา เสียงของอาจารย์ก็ดังตามมาติดๆ “เสี่ยวฝาน ตื่นได้แล้ว อีกเดี๋ยวเราต้องไปทํางานกันแล้ว !”

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็ขานรับทันที “ตื่นแล้วอาจารย์ !”

หลังจากพูดจบผมก็รีบใส่เสื้อผ้า แล้วหยิบมีดปลิววิญญาณเตรียมตัวจะออกจากห้อง

แต่ในวินาทีที่มือของผมเอื้อมไปสัมผัสโดนมีดปลิดวิญญาณ กระแสความเย็นก็แล่นมาที่มือผมทันที

เมื่อความเย็นนี้ปรากฏขึ้น ใจผมก็เต้นแรงทันที ตัวแข็งที่อไปพักหนึ่ง ภายในจุดตันเถียนเองก็มีความเย็นปรากฏขึ้น

ความ ความเย็นแบบนี้

ไม่ หากพูดให้ชัดเจนนี่คือความเย็นที่ผมสัมผัสได้ในตอนแรก กระแสความเย็นที่เข้าไปผสม กับลมปราณของผม……

พอคิดได้แบบนั้น ผมก็ตาโตหันไปมองมีดปลิดวิญญาณทันที……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset