ศพ – ตอนที่ 505 ดึงดูดความสนใจ

ตอนที่ 505 ดึงดูดความสนใจ

เหมย

ที่พวกเราทุกคนทําแบบนี้ เพราะต้องการดึงดูดความสนใจจากอีกฝ่าย

เมื่อเป็นแบบนี้ อีกเดี๋ยวพวกเราเริ่มสู้กับพวกสาวกสํานักสื่อเย่ ทางฝั่งปู่หูลิ่ว ยายหูชีและเสี่ยวได๋

ก็จะมีโอกาสดีๆได้ลอบโจมตีพวกมันจากข้างหลัง

ดังนั้น ผมและอาจารย์ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น พวกเราเดินตรงเข้าไปที่ประตูศาลเจ้าทันที ประตูใหญ่ที่ผุพังยังปิดอยู่ ผมไม่ลังเลแต่อย่างใด เมื่อไปถึงก็ใช้เท้าถีบทันที

ได้ยินเสียงดัง “ปัง” พร้อมกันนั้นประตูศาลเจ้าหลักเมือง ก็เปิดออกด้วยเท้าของผม ต่อจากนั้น ผมและอาจารย์ก็เดินห่ามๆเข้าไปอย่างงั้น

แต่ผมและอาจารย์ไม่สนใจ ต่อจากนั้นผมก็ตะโกนอยู่ในตัวศาลเจ้า “ปีศาจอย่างพวกแกฟังให้ดี รีบไสหัวออกมาตายซะดีๆ ไม่อย่างงั้นพอพวกฉันเข้าไป ศพพวกแกได้ออกมาไม่สมประกอบแน่!”

ส่วนตัวศาลเจ้าที่มีแสงไฟเปล่งออกมา ก็หายไปหลังจากที่ผมถีบประตูเข้าไป

บทสนทนาที่คึกคัก ก็หยุดลงเช่นกัน จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆเกิดขึ้นอีก

มันชัดเจน อีกฝ่ายเริ่มระวังตัวแล้ว

จัดการพวกเราข้างนอก และจะได้คอยระวังรอบๆตลอดเวลา

แน่นอน ในใจของผมและอาจารย์ กลับตื่นตัวเป็นพิเศษ

ผมพูดอย่างโหดเหี้ยม ขณะเดียวกันเสียงก็ดังก้องไปทั้งศาลเจ้า

น้ําเสียงของผมฟังดูโอหังเป็นพิเศษ เพราะผมต้องการยั่วอีกฝ่าย ทําให้พวกมันอยากออกมา

เรามองรอบๆอย่างต่อเนื่อง เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะมีลูกไม้อะไรซ่อนอยู่

ในขณะที่เสียงผมจางหาย รอบๆก็ตกอยู่ในความเงียบงันอีกครั้ง ไม่มีเสียงใดๆดังขึ้นอีก

จนกระทั่งผ่านไปได้ประมาณ 1-2 นาที ผมและอาจารย์เห็นอีกฝ่ายไม่เคลื่อนไหว เลยอดไม่ได้ที่จะหันมามองหน้ากัน

ในศาลเจ้า

หลังจากนั้นอาจารย์ก็ส่งสัญญาณให้ผมพูดต่อ พยายามบีบเจ้าปีศาจพวกนี้ให้ออกมาให้ได้ ถึงผมและอาจารย์จะอยากจํากัดปีศาจพวกนี้มาก แต่พวกเราก็ไม่ได้โง่ไร้สมอง ที่จะบุกเข้าไป

นิยาย ศพ ตอนที่ 505 ดึงดูดความสนใจ?”

ด้วยพลังของพวกเราแค่สองคน

ต้องรู้ว่าในศาลเจ้ามีปีศาจอยู่เก้าตัว ถึงจะเป็นหมาเก๋าตัว แต่มันก็ทําให้ผมและอาจารย์เหนื่อย

ดังนั้น ผมและอาจารย์แค่อยากดึงดูดความสนใจจากอีกฝ่าย

และพวกเราก็แน่ใจว่า อีกฝ่ายเองก็สังเกตเห็นพวกเรา หรือมองออกมาสังเกตรอบๆตัวพวกเราแล้ว……

“ ทําไม ? กลัวเหรอฮะ ? ถ้ายังไม่ออกมาอีก อีกเดี๋ยวฉันจะเข้าไปฆ่าเอง ฆ่าพวกแกให้หมดทุกตัว

ถลกหนังหมาของพวกแกออกมาให้หมด เลาะเอ็นหมาของพวกแก… ”

พอพูดมาถึงตรงนี้ ในที่สุดในศาลเจ้าก็มีเสียง ฮี ที่เย็นชาดังขึ้น

ต่อจากนั้น เราก็ได้ยินเสียงเย็นชาของชายคนหนึ่ง “ข้าประเมินพวกแกต่ําไปจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะไล่ตามมาจนถึงที่นี่ !”

จู่ๆก็ได้ยินเสียงนี้ “ตูม” ในสมองผมเลยมีเสียงระเบิดดังขึ้น สภาพตอนนี้เหมือนโดนฟ้าผ่า

กลางวันแสกๆ

ในใจมีระลอกคลื่นเกิดขึ้น ถ้าไม่ได้ยินผิด เสียงนี้เป็นของปีศาจเสือดาว หรือท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่ที่เจอเมื่อคืนชัดๆ

เพิ่งคิดถึงตรงนี้ ศาลเจ้าก็มีเสียงดัง “แอรด” มันถูกเปิดจากด้านใน จากนั้นเราก็เห็นเงาของใครหลายคนเดินออกมามองคนแทน

เมื่อหลี่ตามอง ผมพบว่าผู้นําของเจ้าพวกนั้นเป็นชายแก่ในชุดคลุมสีดํา

บนชุดคลุมด่านั้น ยังมีการปักรูปพระอาทิตย์และพระจันทร์ด้วยด้ายสีทองอยู่ด้วย

เห็นได้ชัดว่าเจ้าชุดนี่เหมือนกับชุดของท่านเทพสํานักสื่อเย่ที่เจอเมื่อคืนเป๊ะๆ

มีเพียงอย่างเดียวที่ต่างออกไป ก็คือรูปร่างหน้าตาของเขา มันได้เป็นหัวเสือดาว แต่เป็นสภาพ

เขามีผิวที่ค่อนข้างด่า ตัวผอมมาก ดวงตาฉายแววอันดุร้าย

นอกจากตาแก่คนนี้แล้ว ขนาบข้างและด้านหลังของเขา ยังมีสาวกปีศาจสํานักสื่อเย่ที่ไม่ใช่ทั้งคนและสัตว์อีกหลายคน

มีทั้งหญิงและชาย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือเจ้าพวกนั้นเห็นพวกเราเป็นศัตรู

หลังเห็นทั้งเก่าคนนี้เดินออกมาจากศาลเจ้า ผมและอาจารย์ก็เริ่มระวังตัวในทันที

ในเวลาเดียวกัน ผมก็จับตาดูตาแก่คนนั้นมากกว่าใครเพื่อน

ผมกําลังสงสัยฐานะของเจ้าหมอนี่ เขาจะเป็นท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่เมื่อคืนหรือเปล่า

ตาแก่ที่เป็นผู้นําเห็นผมขมวดคิ้ว ทําหน้าหนักใจ และในเวลานี้กําลังกวาดสายตามองเขา เขาจึงอดไม่ได้ที่จะคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ทําไม ? ตามมาถึงที่นี่แล้ว หรือจ่าข้าไม่ได้แล้วงั้นเหรอ

พอตาแก่พูดมาถึงตรงนี้ ผมก็มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ทันที

ไม่ผิดแน่ ตาแก่คนนี้ ก็คือปีศาจเสือดาวที่เรียกตัวเองว่าท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่

“แกก็คือปีศาจเสือดาวตัวนั้น !” ผมพูดพร้อมชักสีหน้า

พออาจารย์ได้ยิน “ปีศาจเสือดาว” สี่คํานี้ เขาก็ตกใจในทันที

ผมเคยเล่าเรื่องเจอปีศาจเสือดาวที่สวนสาธารณะให้อาจารย์ฟัง

ตอนนี้พอได้ยินคําพูดแบบนี้ เขาก็อดมองอีกฝ่ายด้วยสายตาประหลาดใจไม่ได้

พอตาแก่ได้ยินคําพูดของผม เขาก็หัวเราะอย่างค่าเจ้าเล่ห์ออกมาทันที “ฮ่าๆๆ” “ข้าเองแหละ เมื่อคืนพวกแกมีผีคอยช่วย ข้าเลยทําร้ายพวกแกไม่ได้ แต่คืนนี้ แค่พวกแกสองคนไม่มีทางเป็นคู่ ต่อสู้ของชาได้……”

เพียงชั่วพริบตา

พอพูดมาถึงประโยคสุดท้าย น้ําเสียงของตาแก่ก็เปลี่ยนเย็นชาขึ้นมาในทันที ภายในเวลา

เขาก็ระเบิดจิตสังหารออกมาทันที

สาวกปีศาจที่อยู่ข้างๆและข้างหลังตาแก่พวกนั้น ต่างแยกย้ายกันพุ่งเข้ามา เจ้าพวกนั้นล้อม

สภาพเป็นปีศาจ

ผมและอาจารย์เอาไว้ได้เร็วมาก

และในเวลาเดียวกันนั้น สาวกปีศาจพวกนี้ก็กระตุ้นพลังปีศาจที่อยู่ด้านใน ทําให้ตัวเองกลาย

ขนสัตว์ค่อยๆยาวออกมา มือคนเปลี่ยนเป็นอุ้งมือสัตว์อย่างรวดเร็ว และบนหน้าก็เขียนคําว่าฆ่า และเหี้ยมเอาไว้เต็มๆ

ผมและอาจารย์เตรียมตัวมาก่อนแล้ว จึงเป็นธรรมดาที่พวกเราจะไม่กลัว

นอกจากนี้เจ้าท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่อะไรนั่น เมื่อคืนเจ็บหนัก และกัดพวกเดียวกัน ถึงได้หนีรอดมาได้

ผมไม่คิดว่า เจ้าหมอนี่จะเป็นคู่ต่อสู้ของปู่หูลิ่วและยายหูชีได้แน่นอน

สําหรับลูกกระจ๊อกอีกแปดคนที่เหลือ ยังไม่กลายร่างไปถึงขั้นที่สองเลยด้วยซ้ํา อาศัยแค่สภาพสัตว์ระยะแรกของพวกมัน ไม่มีทางทําอะไรพวกเราได้ในเวลาสั้นๆอย่าง

หากผม อาจารย์ และหูเหมยร่วมมือกัน ถึงจะสามต่อแปดเราก็มีแรงเหลือเฟือแน่นอน ดังนั้น ผมและอาจารย์จึงมั่นใจกันสุดๆ

อาจารย์พูดออกไปตามตรง “พวกชั่ว ! อย่าพูดมาก คืนนี้จะเป็นวันตายของพวกแก” หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ยกมือขึ้น คิดจะลงมือ

เพราะท่านนักพรตตู้ยังอยู่ในร่างปีศาจ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq การพูดต่อไปจึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระ

พอท่านเทพแห่งสํานักสื่อเย่หรือผู้นําคนนั้นเห็นเช่นนั้น ก็เค้นเสียงดัง ฮี “ศิษย์สํานักสื่อเย่จง

ฟัง ฆ่าพวกมันให้หมด !”

“ศิษย์น้อมรับคําสั่ง !” สาวกทั้งแปดคนพูดเป็นเสียงเดียวกัน

เสียงเพิ่งเงียบลง สาวกทั้งแปดคนนั้นก็อ้าปากขึ้น พร้อมคํารามเสียงสัตว์ออกมา

จากนั้นก็ยกกรงเล็บขึ้น อ้าปากกว้าง แล้วพุ่งเข้ามาหาพวกเราเร็วมาก

พอผมและอาจารย์เห็นถึงตรงนี้ เราก็ไม่ลังเล ชักสีหน้า ถือดาบไม้เข้าไปรับการโจมตีทันที

ในเวลานั้น พวกเราสู้แบบโดนรุม

ตั้งแต่สมัยโบราณกาลดีชั่วก็อยู่คนละเส้นทางอยู่แล้ว ในฐานะคนปราบภูติผี ผมไม่มีเหตุผลให้

ต้องอ้อมมือให้เจ้าปีศาจพวกนี้

หน้าอกของอีกฝ่ายตรงๆ

ความรับผิดชอบและภารกิจบ่นบ่าบอกผมว่า ต้องฆ่าพวกมันให้หมด เพื่อรักษาความสงบ ผมเล็งไปที่สาวกปีศาจตนหนึ่ง จากนั้นก็ลงมืออย่างโหดเหี้ยมทันที ผมไม่ลังเล แทงเข้าไปที่

สั้นๆ

ทักษะของดาบในมือผมเปลี่ยนไป การเคลื่อนไหวเร็วจนอีกฝ่ายหยุดไว้ไม่ได้

แล้วเจ้าปีศาจตนนั้นจะหลบได้เหรอ มันโดนผมแทงทะลุหน้าอก หลังจากกรีดร้องออกมาได้

ปีศาจตนนั้น

ร่างของเจ้าหมอนั่นก็ล้มลงไปกองกับพื้นทันที

ทางฝั่งของอาจารย์ก็ถีบปีศาจตนหนึ่งล้มกลิ้ง จากนั้นก็พลิกมือแปะยันต์ลงบนหน้าของเจ้า

ทันใดนั้นเสียงระเบิดก็ดังตามมาติดๆ “ตูม” เจ้าตัวที่โดนยันต์แปะไว้บนหน้า โดนแรงระเบิดเลือดไหลเต็มหน้าทันที ในขณะเดียวกันเจ้าหมอนั่นก็กรีดร้องไม่หยุดปาก

พอท่านเทพผู้นําแห่งสํานักสื่อเย่เห็นแบบนั้น ก็โมโหขึ้นมาทันที แม้จะบาดเจ็บอยู่ แต่เขาก็คิด

จะเข้ามาจัดการพวกเราเช่นกัน

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset