ศพ – ตอนที่ 51 ตามหาผีชั่ว

ตอนที่ 51 ตามหาผีชั่ว

ไม่ว่ายังไงผมก็คิดไม่ถึงว่า หานเฉ่วเฟิงจะเป็นโหดเหี้ยมขนาดนี้

และนิสัยใจคอ ยังแตกต่างจากเฟิงเฉ่วหานลิบลับ แถมชื่อของพวกเขาสองคน ยังเป็นคู่แข่งกันชัดๆ

อย่างเช่นนิสัยโหดเหี้ยม กับวิธีลงมือที่เลือดเย็น ถึงแม้จะเป็นผมแต่ก็ยังรู้สึกสงสารผีผูกคอตนนั้นอยู่ดี

แต่นอกเหนือจากนั้น ตอนนี้ทิวทัศน์รอบๆ ยังเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน

เหมือนกับว่าจู่ๆตาของคุณก็เริ่มเห็นได้แบบเบลอๆ เปลวเพลิงที่อยู่ตรงหน้า และความรู้สึกแสบร้อน กลับเลือนลางหายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้ไฟยังเผาไหม้จนมีควันดำโพยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง จนรอบๆเหลือเพียงเศษขี้เถ้า แต่ตอนนี้เมื่อผมหันไปมองอีกครั้ง

 

เมื่อกี้ความร้อนที่ยากจะทานทน จนถึงกระดูกนั้น กลับหายไปอย่างสมบูรณ์

แม้กระทั่งสายลมอันหนาวเย็นยังพัดเข้ามา แต่กลับไม่เห็นร่องรอยของทะเลเพลิงเลยสักนิด

ภาพก่อนหน้านี้ที่พวกเรามองเห็น เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้น แน่นอนว่ามันเป็นภาพลวงตานี้ถูกสร้างโดยผีผูกคอตายตนนี้

ตอนนี้เขากำลังถูกหานเฉ่วเฟิงอัดปางตาย ดังนั้นฉากผีบังตานี้จึงถูกทำลายลงง่ายๆแบบนี้

ขณะที่ผมกำลังตกตะลึงกับภาพที่เปลี่ยนไป จู่ๆเสียงของหานเฉ่วเฟิงก็ดังขึ้น “เฮ่ย!”

ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ เมื่อหานเฉ่วเฟิงเห็นผมกำลังมองเขาอยู่ เขาก็พูดออกมาทันที “อัดจนเหนื่อยแล้วว่ะ แกมาทำแทนบ้างซิ!”

 

ขณะที่พูด เขาก็ขยับข้อมือของตัวเอง หยิบบุหรี่ซองมาสูบหนึ่งมวน

เมื่อผมได้ยินประโยคนี้ ก็รีบตอบกลับว่า “ได้!”

ขณะที่พูด ผมก็เดินมาถึงด้านหน้าของผีผูกคอตายที่อยู่ในสภาพใกล้ตายแล้ว

ผีผูกคอตายตนนั้นถูกอัดจนแขนขาไร้เรี่ยวแรง หมดปัญญาต่อต้านอีกฝ่ายโดยสิ้นเชิง

วินาทีที่มันเห็นผมเดินเข้ามา จึงตื่นตระหนกทันที

มันพูดด้วยเสียงที่สั่นเคลือ “อย่า อย่า อย่าเข้ามา!”

“สารเลว!” ผมพูดด้วยเสียงเย็นชา ดึงดาบเหรียญออกมาทันที

 

ผีร้ายแบบนี้ ช่วยไปก็เป็นการทำบาป ยังไงก็ปล่อยไว้ไม่ได้

ในเมื่อทำงานเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย เวลาที่ต้องโหดก็ต้องโหดให้ถึงที่สุด!

ผมขี้เกียจพูดจาไร้สาระ กดฟันตัวเองเอาไว้ จากนั้นก็เล็งดาบไปที่หน้าอกของผีร้าย

เมื่อผีร้ายเห็นเช่นนี้ สีหน้าของมันก็เปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นมันก็กรีดออกมาด้วยความหวาดกลัว “อย่า……”

แต่มันสายเกินไป ดาบเหรียญได้แทงทะลุร่างของมันไปแล้ว ร่างกายที่อ่อนแอของมัน จึงระเบิด “ปัง” ออกมาทันที ส่องแสงสว่างเล็กน้อย จากนั้นวิญญาณก็แตกสลาย และหายไปต่อหน้าต่อตา

หลังจากวิญญาณของผีร้ายแตกสลาย ผมก็ไม่แสดงความสงสารออกมาเลยสักนิด

 

ถ้าเฟิงเฉ่วหานไม่ให้วิญญาณหานเฉ่วเฟิงที่เป็นพี่คอยปกป้องเขาออกมา ป่านนี้คนที่ตาย ก็คงเป็นพวกเรา

เมื่อหานเฉ่วเฟิงที่สูบบุหรี่อยู่ข้างๆเห็นผมกำจัดผีร้ายเรียบร้อย มุมปากก็เขาก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ไอ้เด็กน้อย นายนี้เด็ดขาดกว่าไอ้น้องขยะของฉันอีกนะ! นายชื่ออะไร”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงยังยื่นบุหรี่มาให้ผมหนึ่งมวน

เนื่องจากผมเคยเห็นความสามารถของหานเฉ่วเฟิงมาแล้ว ซึ่งเป็นความโหดเหี้ยมที่สมบูรณ์แบบ

ดังนั้นเมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ ผมจึงไม่รีบตอบกลับ

แต่จุดบุหรี่ขึ้นมาสูบก่อน จากนั้นก็ตอบว่า “ผมชื่อติงฝานครับ เมื่อกี้ขอบคุณพี่เฟิงมากนะครับ ถ้าไม่ได้พี่ช่วยป่านนี้ผมกับน้องชายของพี่คงถูกผีร้ายฆ่าตายไปแล้ว!”

 

หานเฉ่วเฟิงพยักหน้าเล็กน้อย “ติงฝาน ไม่เลว ต่อไปฉันจะคอยดูแลนายเอง และช่วยปลุกฉันจากเจ้านั้นได้ตลอดเวลาเลยนะ ปกติมันชอบทำตัวโง่ๆเป็นคุณชายเย็นชา ถ้าไม่ใช่เพราะพวกฉันใช้ร่างเดียวกัน ฉันคงสั่งสอนมันไปแล้ว……”

เมื่อได้ยินประโยคนี้ผมก็นิ่งอึ้งไปทันที รู้สึกอึดอัดใจ ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อดี

แต่หานเฉ่วเฟิงกลับดับบุหรี่ จากนั้นก็พูดกับผมว่า “ชั่งเถอะ ยังไงเรื่องวุ่นๆของที่นี่ก็จบแล้ว นายพาพี่ลงเขา แล้วก็พาไปเลี้ยงด้วยนะ!”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วฟานก็หมุนตัวเดินออกไปทันที

ผมกลับทำหน้านิ่ง แต่ยังไม่ลืมเรื่องสำคัญ จึงรีบพูดขึ้นมาทันที “พี่เฟิงอย่าพึ่งรีบร้อน นอกจากผีร้ายตัวนี้ ยังมีอีกหนึ่งตัวครับ!”

 

“อะไรนะ มีอีกหนึ่งตัว” หานเฉ่วเฟิงตกตะลึง

“ใช่ครับ มีอีกตัว และยังร้ายกาจกว่าด้วย อาจารย์ของผมและนักพรตตู๋ไล่ตามมันไปแล้วครับ พวกเราหลงทาง เลยไปติดกับดักของผีร้าย ถูกภาพลวงตาเล่นงานครับ”

เมื่อหานเฉ่วเฟิงได้ยิน ดูเหมือนเขาจะไม่พอใจนิดหน่อย “ยุ่งยากซะจริง ไม่ง่ายเลยนะกว่าจะได้ออกมาครั้งหนึ่ง เพราะไอ้ขยะทุเรศนั้นแหละ ไหนพูดมาซิ! เจ้านั้นมันอยู่ที่ไหน หลังจากฆ่ามันเสร็จ พวกเราจะได้ลงเขาซะที”

เมื่อเห็นหานเฉ่วเฟิงแสดงท่าทางแบบนั้นออกมา ผมก็อึดอัดใจไม่รู้ควรทำยังไงดี

ชายคนนี้กับเฟิงเฉ่วหาน ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ทั้งนิสัยและความคิดยังแตกต่างกันสุดขั้ว

 

ผมไม่มีเวลาให้คิดมาก ก่อนอื่นต้องตามหาตัวผีชั่วก่อน

ดังนั้น ผมจึงบอกแผนก่อนหน้านี้ให้หานเฉ่วเฟิงฟัง และเริ่มเดินไปที่ยอดเขาอีกครั้ง

ครั้งนี้พวกเราไม่ถูกผีร้ายขัดขวาง จึงใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงยอดเขา

เมื่อมองจากที่นี้ พวกเราสามารถมองเห็นป่าช้าเก่าได้ถึงครึ่งหนึ่ง

เพราะมุมมองที่ยอดเยี่ยม ดังนั้นพึ่งมาถึงยอดเขาเท่านั้น พวกเราก็เห็นทุกสิ่งทุกอย่างทันที

เห็นขอบป่าที่อยู่ด้านล่างซ้ายมือสุดของพวกเรา กำลังมีคนสองสามคนต่อสู้กันอยู่

และคนสองสามคนนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นพวกอาจารย์ที่กำลังรุมโจมตีผีชั่วนั่นเอง

ผมดีใจ รีบชี้ไปทางพวกเขาและพูดว่า “พี่เฟิง อยู่นั่น!”

 

หานเฉ่วเฟิงมองตามนิ้วของผม สีหน้ามืดมน “ป่ะ พวกเราไปที่นั่นกัน!”

หลังจากพูดจบ พวกเราก็เดินลงเขาไปทันที

ไม่กล้าชักช้า รีบเร่งฝีเท้า

พวกเราวิ่งกันเร็วมาก เนื่องจากป่าช้าเก่าไม่ได้ใหญ่โตมากนัก

และตอนนี้ยังรู้พิกัดของเป้าหมายอีกต่างหาก ดังนั้นพวกเราจึงวิ่งลัดเลาะผ่านป่าช้าเก่าอย่างรวดเร็ว

หลังจากผมและหานเฉ่วเฟิงผ่านพุ่มไม้ก่อสุดท้ายมาได้ พวกเราก็พบกับป่าที่อยู่ด้านล่างของเนินเขา ตั้งแต่เข้ามาผมก็รู้สึกได้ว่าพลังชั่วร้ายของที่นี่แข็งแกร่งมาก

ไม่ใช่แค่นั้น พวกเราได้มาเห็นฉากที่ผีชั่วโดน อาจารย์ นักพรตตู๋และเหล่าฉินล้อมไว้พอดี

 

ตอนนี้สภาพของผีชั่ว ไม่เหมือนกับตอนแรกเลยสักนิด

ใบหน้าที่ขาวซีดของมัน เผยให้เห็นคมเขี้ยวที่ดุร้าย ราวกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของมันผิดเพี้ยนไป

แต่สิ่งที่ผิดธรรมชาติมากกว่านั้นคือ บนหน้าผากของผีตนนี้ ยังมีดวงตาหนึ่งดวงโผล่ขึ้นมา

ซึ่งเป็นดวงตาที่ว่างเปล่า และขยับมองไปรอบๆ เมื่อจ้องมองมันผมกลับรู้สึกไม่สบายไปทั้งตัว

ในเวลาเดียวกัน พลังที่มันใช้ในการต่อสู้ยังแข็งแกร่งกว่าก่อนหน้านี้ด้วย

ตอนนี้เป็นการต่อสู้แบบสามรุมหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถกำจัดมันได้

แม้ใจของผมจะรู้สึกหวาดกลัว แต่กลับไม่ลังเลเลยสักนิด หันไปพูดกับหานเฉ่วเฟิงว่า “พี่เฟิง นั้นไงผีชั่ว!”

สีหน้าของหานเฉ่วเฟิงมืดมน ด่าออกมาทันที “ไอ้ขยะ!”

 

หลังจากพูดจบ ร่างของเขา ก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

ผมเร่งความเร็ววิ่งตามเขาไปทางด้านหลัง เผื่อจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง

“มาได้เวลาพอดี พวกเรารอกันแทบแย่ เธอรีบไปทำลายตาที่สามของมันเร็ว!” นักพรตตู๋เห็นหานเฉ่วเฟิงปรากฎตัว จึงรีบตะโกนออกมาทันที

แต่เสียงพึ่งจางหาย หานเฉ่วเฟิงกลับรีบด่าออกมาทันที “ไอ้แก่โง่ อย่ามาออกคำสั่งกับฉันนะเว้ย ฉันรู้ดีว่าต้องทำยังไง!”

หลังจากพูดจบ หานเฉ่วเฟิงก็หยิบดาบไม้ขึ้นมาและตรงเข้าไปแทงผีชั่วทันที

แม้แต่อาจารย์และเหล่าฉินที่กำลังต่อสู้กับผีชั่วอยู่ ก็ยังอดไม่ได้ที่จะหันมามองหานเฉ่วเฟิง ราวกับประหลาดใจกับอะไรบางอย่าง

 

ปกติเด็กคนนี้ไม่ค่อยพูดด้วยซ้ำ แต่จู่ๆพฤติกรรมของเด็กคนนี้ที่เคยสงบเยือกเย็นและเต็มไปด้วยมารยาท กลับเปลี่ยนไปในเวลาอันสั้น แถมยังกล้าด่าอาจารย์ด้วย

แต่เพราะอยู่ในสถานการณ์ตึงเครียด พวกเขาจึงไม่มีเวลาสนใจมากนัก

หลังจากเหลือบมองหานเฉ่วเฟิงแวบหนึ่ง พวกเขาก็กลับไปต่อสู้กับผีชั่วอีกครั้ง

ส่วนผมก็รีบวิ่งไปสมทบที่ด้านหน้า อยากจะขึ้นไปช่วยด้านหน้า จะได้จัดการผีชั่วนั้นได้เร็วๆ

แต่ตอนนั้นเอง ด้านหลังของผมก็มีไอเย็นปรากฎขึ้น

ทันใดนั้นผมก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่ฟังดูรีบร้อน “ไอ้ห่วยอยากตายรึไง รีบหนีเร็ว……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset