ศพ – ตอนที่ 511 ดีขึ้น

นิยาย ศพ ตอนที่ 511 ดีขึ้น

หลังท่านนักพรตตู้ฟังเฟิงเฉิวหานเล่าจบสีหน้าของเขาก็ค่อยๆเปลี่ยนไป

ต่อจากนั้นเขาก็หันมามองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ และพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ?”

พอเห็นท่านนักพรตต์ดูเป็นกังวลขนาดนั้น ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย “ อาจารย์กับหูเหมยบาดเจ็บครับ

ตอนนี้พวกเขากําลังพักอยู่……

ผมพูดอย่างจริงจัง เห็นได้ชัดว่าท่านนักพรตต์ดูเป็นห่วงมาก เขาถามรายละเอียดจากผมต่อทันที

เดิมทีผมไม่อยากพูด เนื่องจากท่านนักพรตต์เพิ่งฟื้นคืนสติ และยังจําเป็นต้องพักผ่อน ผมเลยไม่อยากให้มีอะไรไปรบกวนจิตใจของเขา

ผลลัพธ์หลังจากท่านนักพรตต์เค้นถามมาได้พักหนึ่ง ผมก็เห็นว่าตัวเองปิดต่อไปไม่ได้แล้ว จึง เล่าเรื่องทั้งหมดให้เขาฟังทันที

ตอนท่านนักพรตติฟังจบ และรู้ว่าอาจารย์ผมโดยควันพิษดํามืดกัดกร่อนที่แผ่นหลัง ส่วนหูเหมยก็ซี่โครงซ้ายหัก

เขาก็อดไม่ได้ที่จะทําตัวจู่วาม บอกว่าจะไปดูอาการอาจารย์ผมและหูเหมย

อาการของท่านนักพรตคู่ในตอนนี้ อย่าว่าแต่ไปเยี่ยมอาจารย์ผมกับหูเหมยเลย เขาไม่มีแรงขยับตัวด้วยซ้ํา

เพิ่งลุกขึ้น เขาก็รู้สึกหนักหัวไม่อาจก้าวเดินได้ง่ายๆ

ผมและเหล่าเฟิงจึงรีบเข้าไปห้าม ต่อจากนั้นก็แนะนําท่านนักพรตต์อีกพักหนึ่ง EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq รอให้อาการดีขึ้นหน่อยแล้ว ค่อยไปหาอาจารย์ผมและหูเหมยก็ได้

เนื่องจากท่านนักพรตต์เป็นแบบนี้เพราะช่วยอาจารย์ผม เขายอมเสียสละตัวเอง ถึงทําให้ตัวเองกลายเป็นปีศาจมีพิษปีศาจซึมเข้าลึกถึงกระดูก

แม้ท่านนักพรตต์จะได้สติกลับคืนมาแล้ว แต่ร่างกายของเขากลับอาการไม่ค่อยดีเท่าไหร่

ภายใต้การแนะนําของผมกับเหล่าเฟิงท้ายที่สุดท่านนักพรตต์ก็ยอมกลับไปนอนบนเตียง

เพราะร่างกายอ่อนแอ พอผ่านไปไม่นานท่านนักพรตต์ก็นอนหลับแล้ว

เมื่อเห็นอาการของท่านนักพรตติคงที่แล้ว ผมก็ไม่คิดจะอยู่ต่อ

หลังจากบอกลาเหล่าเฟิงแล้ว ผมก็เดินออกมาทันที

แต่ในขณะที่ผมกําลังเดินออกมา เหล่าเฟิงก็หยิบยาจํานวนมากมาให้ผม บอกว่าให้ผมเอากลับไปให้อาจารย์

ผมเองก็ไม่เกรงใจเพราะแผลที่หลังของอาจารย์เป็นแผลขนาดใหญ่มาก ต้องใช้ยาหลายขนาน

หลังออกจากร้านไปฉาวแล้วผมก็เดินตรงกลับบ้านทันที

เพิ่งเข้ามาในบ้าน ผมก็ได้ยินเสียงร้องโอดครวญของอาจารย์ บางทีบาดแผลคงทําให้เขาทรมานมาก

“อาจารย์ ผมกลับมาแล้ว !” ผมพูด ในเวลาเดียวกันก็เดินไปที่โซฟา

อาจารย์กําลังนอนไร้เรี่ยวแรงอยู่บนโซฟา พอเห็นผมกลับมา อาจารย์ก็เงยหน้ามามองผม “เป็นเป็นไงบ้าง ? เหล่าดีขึ้นไหม ?”

“วางใจได้อาจารย์ ท่านนักพรตต์กลับมาเป็นปกติแล้ว ตอนนี้แค่อ่อนเพลีย เลยหลับไปแล้ว !” ผมรีบพูดบอกให้อาจารย์สบายใจทันที

ในสายตาของผม แม้อาจารย์และท่านนักพรตต์จะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ความรู้สึกของทั้งสองคนกลับมีไม่น้อยไปกว่าที่มีต่อเหล่าฉัน

ความสัมพันธ์แบบนี้ก็เหมือนผมกับเหล่าเฟิง ถือเป็นเพื่อนเป็นเพื่อนตายกันแล้ว ไม่อย่างงั้นก่อนหน้านี้ท่านนักพรตต์ก็คงไม่เสียสละตัวเองเพื่อมาช่วยอาจารย์ของผมหรอก

หลังฟังจบ อาจารย์ก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “งั้นก็ดี งั้นก็ดี…..”

หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็กลับไปนอนเหมือนเดิมอีกครั้ง

ผมเองก็ไม่ได้อยู่เฉย ตอนนี้กําลังยกน้ําร้อน กล่องยา ก๊อซแอลกอฮอล์และของอื่นๆ มาเตรียมทําแผลให้อาจารย์

ขณะมองแผลเลือดโชกของอาจารย์ ในใจของผมก็รู้สึกผิดไม่น้อย

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะผมไม่ดีเอง ไม่รู้จักระวัง ไม่รีบตอบสนองตั้งแต่วินาทีแรก หลบทันหรือแทงเจ้าหมอนั่นตั้งแต่ตอนแรก อาจารย์ก็คงไม่ต้องเขามาปกป้องผมจนตัวเองต้องบาดเจ็บโดนเจ้า หมอนั่นทําให้ตกอยู่ในสภาพนี้

บญคุณที่อาจารย์มีกับผมยิ่งใหญ่กว่าบุณของพ่อแม่

อาจารย์เป็นคนเลี้ยงดู สั่งสอนและช่วยเหลือผมเสมอมา หรือแม้แต่ช่วยชีวิตผมเอาไว้ ไม่รู้ว่าเขาดีกว่าพ่อแม่ที่คลอดผมแล้วก็ทิ้งผมตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

ขณะผมทําแผลให้อาจารย์ ผมก็ได้ยินเสียงอาจารย์กัดฟันดัง “อีกๆๆ” ระหว่างนั้นผมรู้สึกไม่สบอารมณ์สุดๆ

ผมจะแข็งแกร่งขึ้นต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่านี้

ผมต้องมีความสามารถที่จะปกป้องอาจารย์ เพื่อนและมู่หลงเหยียนให้ได้

และผมจะสู้กับเจ้าปีศาจชาติหมาพวกนี้ให้ถึงที่สุด หากกําจัดคนพวกนี้ล่าช้าไปแม้แต่วันเดียวก็จะมีผู้คนหรือครอบครัวของใครบางคนโดนพวกมันทําร้ายมากขึ้นเท่านั้น

ผมกลั้นความโกรธแค้นในใจเอาไว้ไม่พูดออกมาสักคํา เพียงทําแผลให้อาจารย์เงียบๆเท่านั้น

แต่หลังทําไปได้ครึ่งหนึ่ง บางที่อาจารย์คงสัมผัสได้ถึงแรงกดดันในใจผม เขาจึงพูดกับผมว่า

“เสี่ยวฝาน ! ที่จริงอาจารย์ไม่ได้เป็นอะไร แกก็ไม่ต้องโทษตัวเองขนาดนั้น แล้วก็ไม่ต้องไปโกรธแค้นด้วย”

พอได้ยินอาจารย์พูดถึงขนาดนั้น ผมก็นิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เริ่มพูดกับอาจารย์ว่า “ผม ผมไม่ได้เป็นอะไร แค่อยากกําจัดปีศาจสมควรตายพวกนั้น !”

พออาจารย์ได้ยินผมพูดแบบนั้น เขาก็หัวเราะขึ้นมาดื้อๆ “ฮ่าๆๆ” “ เสี่ยวฝาน EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq ! ปีศาจพวกนั้นเป็นสาวกในสํานักที่ทรงอานาจสํานักชั่วที่มีอยู่ยิ่งใหญ่ระดับโลก

พวกเราทําในส่วนของตัวเองก็พอเพียงแค่ความสามารถของพวกเรา สู้กับพวกมันไม่ได้หรอก

“อาจารย์ ผมจะทําตัวให้แข็งแกร่งขึ้น” ผมพูดต่อ

อาจารย์กลับไม่เห็นด้วย “ เสี่ยวฝาน แกมีพรสวรรค์ที่ดีมาก ในเมื่อแกยอมเข้ามาเดินในเส้นทางนี้แล้ว

งั้นก็ไม่เอาแรงแค้นมาครอบงําจิตใจของตัวเอง บางครั้งความแค้นก็ทําให้คนเราตาบอดเดิม คือความผิด

แต่ตัวเองกลับคิดว่าถูก และถึงคนคนนึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นได้ แต่มันก็อาจกลายเป็นการตั้งใจทําสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากเกินไป!จนสูญเสียเป้าหมายเดิมไปก็ได้”

หากเป็นความหมายแบบนี้ อาจารย์น่าจะพูดกับผมหลายรอบแล้ว ผมจึงชินนานแล้ว

ในเวลานี้พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้นอีกครั้ง ผมก็ไม่ได้สนใจ EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq เรื่องที่ไกลตัวแบบนั้น ผมจะไปสนใจทําไม

ผมจึงขานรับ “อือๆ” สองครั้ง ถือเป็นการตอบส่งๆ……

ต่อจากนั้น ผมก็ช่วยทําแผลให้อาจารย์จนเสร็จ หลังพันแผลเสร็จผมก็ส่งอาจารย์เข้าไปพักผ่อนในห้องนอน

จากนั้นผมก็ไปอาบน้ํา แล้วกลับเข้าห้องตัวเอง

หลังต่อสู้กันมาสองคืนติด ผมก็ไม่เหลือพลังงานแล้ว เดิมที่อยากจะลองฝึกวิชาเฟินเทียนกงต่อดู

แต่สุดท้ายผมก็เผลอหลับไป

เมื่อเที่ยงวันรุ่งขึ้นมาถึง ผมถึงได้ลุกขึ้นจากเตียงด้วยท่าทางสะลึมสะลือ

ผมได้ยินข้างนอกมีเสียงคุยกัน เลยใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยแล้วเดินออกไป

เมื่อมาถึงข้างนอกผมก็เห็นอาจารย์ ท่านนักพรตต์และเหล่าเฟิงกําลังนั่งอยู่ในห้องโถง

แผลบนหลังของอาจารย์เป็นแผลภายนอก ไม่ได้บาดเจ็บไปถึงเอ็นและกระดูก

แม้แผลจะใหญ่ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการขยับตัว เมื่อวานทําความสะอาดแผลอย่างดีแล้ว อาการในวันนี้เลยไม่ได้ร้ายแรงมากนัก และบาดแผลก็เริ่มสมานตัวกันแล้วความเจ็บปวดก็ไม่ได้มีมากเหมือนก่อนหน้านี้

ในเวลานี้อาจารย์กําลังนั่งคุยกับท่านนักพรตต์บนโซฟา เมื่อลองมองทางท่านนักพรตต์ เขาดูมีชีวิตชีวากว่าเมื่อวาน และไม่รู้ว่าเขาดีขึ้นมากขนาดไหน ตอนนี้สภาพเขาดูเหมือนคนปกติไม่มีผิด

แน่นอน มีเพียงพวกเราเท่านั้น ที่รู้ว่าในตัวท่านนักพรตต์มีพิษปีศาจอยู่ และยังสามารถกลายร่างเป็นปีศาจได้อีกด้วย

ตอนนี้ที่ท่านนักพรตต์สามารถควบคุมสภาพสัตว์เอาไว้ได้ เป็นเพราะมียาพิเศษอยู่

ถ้าหาทางหยุดพิษปีศาจในร่างไม่ได้ ภายในไม่กี่เดือนข้างหน้าท่านนักพรตต์ ก็อาจกลายร่างขั้นสองสาเร็จ

เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้จะมียายับยั้งสภาพสัตว์อยู่

แต่สภาพรูปร่างหน้าตาของเขาก็คงไม่อาจกลับมาเป็นปกติได้ ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นปีศาจแบบไหน

ก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามนั้น

ในเวลานี้พออาจารย์และท่านนักพรตต์เห็นผมเดินออกมาจากห้อง พวกเขาก็ส่งเสียงทักทายผม

ผมเองก็ยิ้มทักทายท่านนักพรตต์และเหล่าเฟิง “ท่านลุงตู เหล่าเฟิง……”

อาจารย์เห็นผมออกมาจากห้อง เลยเริ่มพูดเช่นกัน “เสี่ยวฝาน ! อีกเดี๋ยวแกไปซื้ออาหารข้างนอกมาสองสามอย่าง ตอนเที่ยงเราจะกินข้าวกันที่นี่ แล้วก็จะได้ปรึกษาบางเรื่องกันด้วย !”

พอได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น ผมก็พยักหน้ารับทันที

อาจารย์เห็นผมพยักหน้า เลยพูดกับท่านนักพรตต์อีกครั้ง “ เหล่า นายวางใจได้ พิษปีศาจในร่างกายนาย

ฉันถึงโย่วซานคนนี้จะใช้ร่างแก่ๆของฉัน ทําให้พวกมันออกมาจนหมดให้ได้ !”

ท่านนักพรตต์กลับโบกมือ “ เหล่าติง นายดูซิว่าตัวเองพูดอะไรออกมา ! ทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมชาติ

ผมอ่าวฝึกบําเพ็ญด้วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น ออกไปปราบภูมิผีมาจนทั่ว EG4YAup2hySgcimq8MkLuB6e34rNB2SF9h94LL1ryzzq มีชีวิตในฐานะนักพรต ตายก็ตายอย่างนักพรต……”

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset