นิยาย ศพ ตอนที่ 512 ดูไปตามสถานการณ์
ตอนท่านนักพรตตู๋พูดคําพูดพวกนี้ออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาพูดออกมาจากใจ ในแววตาไม่มีความลังเลและความรู้สึกปิดบังอยู่เลยสักนิด
มันชัดเจนมาก คําพูดนี้ของท่านนักพรตติคือสิ่งที่เขาพูดออกจากใจจริง
สําหรับท่านนักพรตตู๋ ชีวิตของเขาในชาตินี้ เขาได้ทําตามหน้าที่คนปราบภูติผีมาพอแล้ว
มันก็เหมือนคําพูดของเขา มีชีวิตในฐานะนักพรต ตายก็ตายอย่างนักพรต
คนอย่างท่านนักพรตตู๋ เป็นอะไรที่ผมให้ความเคารพสุดๆ
ความรู้สึกเที่ยงธรรมเช่นนั้น และทัศนคติที่มีต่อความเป็นความตาย
หากไม่เคยผ่านประสบการณ์เยอะๆมา ไม่มีทางมีจิตใจแบบท่านนักพรตตู๋ได้แน่นอน
แม้ท่านนักพรตตู๋จะไม่ให้ความสําคัญกับชีวิต แต่สําหรับผม ผมไม่อาจให้ท่านนักพรตตู๋ตายได้ และยิ่งไม่อาจปล่อยให้ช่วงสุดท้ายของชีวิตเขาต้องกลายเป็นตัวประหลาดครึ่งคนครึ่งสัตว์ได้
ผมคิดว่า ทางด้านของมู่หลงเหยียน ต้องสามารถหาทางรักษาท่านนักพรตตู๋ และต้องหยุดการกลายร่างของท่านนักพรตตู๋ได้อย่างแน่นอน
ต่อจากนั้น พวกเราก็คุยกันต่อในห้องโถงอีกพักหนึ่ง
จากคําพูดของท่านนักพรตตู๋ ท่านนักพรตตู๋ได้ไปเยี่ยมหูเหมยที่ศาลเจ้ามาแล้ว
หูเหมยซี่โครงซ้ายหัก แต่ไม่ได้บาดเจ็บถึงอวัยวะภายใน เพียงต้องการเวลาพักรักษาตัวระยะนึ่ง
อาการไม่ได้หนักนาสาหัสอะไรมาก
ส่วนเรื่องที่นอกเหนือจากนั้น สิ่งที่พวกเราให้ความสําคัญคือ จะรับมือกับเจ้าปีศาจเสือดาวที่หนีไปยังไง
และงานสําคัญของพวกเราในขั้นต่อไปคืออะไร เพราะปีศาจเสือดาวพูดเอาไว้อย่างชัดเจนว่าจะกลับมาแก้แค้นพวกเรา พอพูดมาถึงตรงนี้ ของที่ผมสั่งซื้อจากข้างนอกก็มาส่ง
ตอนนี้เป็นเวลากินข้าวพอดี ทุกคนเลยเข้ามาล้อมวงกัน
อาจารย์บาดเจ็บ แต่ก็ยังบอกให้ผมรินเหล้าให้เขาสองจอกเล็กๆ
พวกเรากินข้าวไป ปรึกษากันไปว่าจะรับมือกับสํานักสื่อเย่ยังไง และจะระวังตัวจากองค์กรตาผียังไง
พวกเราเริ่มปรึกษากันง่ายๆ
คงไม่พูดถึงองค์กรตาผีแล้ว หลังศึกจากเขาเขี้ยวหมาป่า กุยซานหยวน จางจีเทา ยัยป้ามั่นหน้าทั้งสามคนนี้ก็หายเงียบไปในทันที
ส่วนทางด้านมู่หลงเหยียน ก็จะใกล้ได้เวลาลงมือกับฝ่ายนั้นแล้ว สําหรับเรื่องนี้พวกเราไม่ต้องกังวลเลยสักนิด
ตอนนี้สิ่งที่สําคัญที่สุด น่าจะเป็นเจ้าสํานักสื่อเย่นี่ และยังมีเรื่องของเจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้น
เนื่องจากหากตัดสินกันจากข้อมูลในปัจจุบันแล้ว แม้แต่สํานักต่างๆ ก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีข้อมูลของสํานักสื่อเย่นมากนัก
ปีศาจเสือดาวที่พวกเราไปหาเรื่อง และดูเหมือนตําแหน่งของเจ้าปีศาจเสือดาวในสํานักสื่อเย่จะดูค่อนข้างสูงด้วย โดนขนานนามว่า “ท่านเทพ” จะเห็นได้ว่าอีกฝ่ายให้ความเคารพขนาดไหน
การปล่อยให้เจ้าหมอนหนีไปได้ ต้องสร้างภัยจากแรงแค้นที่รุนแรงตามมาในอนาคตแน่ๆ
พวกเรามีแค่ไม่กี่คน มีเพียงพลังแค่หยิบมือ หากอีกฝ่ายตามมาฆ่าถึงตําบลชิงฉือจริงๆ ผลที่ตามมาคงเป็นหายนะอย่างแน่นอน
แต่หลังปรึกษากันมาพักใหญ่ พวกเรากลับหาทางออกดีๆไม่ได้เลยสักทาง
หากพูดเรื่องหนี ! ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครยินดี
ถ้าไม่หนี ! ก็อาจต้องเผชิญหน้ากับการล้างแค้นของอีกฝ่าย แน่นอน ตอนนี้เจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้นยังไม่รู้ว่าฐานของพวกเราก็คือตําบลชิงฉือ
ตอนผมและอาจารย์เข้าไปในศาลเจ้า เจ้าปีศาจเสือดาวยังแปลกใจมาก บอกว่าพวกเราถึงกลับตามเขามาจนถึงที่นี่ได้
จากเรื่องนี้ อีกฝ่ายคิดว่าพวกเราใช้วิธีบางอย่าง ตามมาจนถึงตําบลชิงฉือ และไม่สงสัยเลยสักนิดว่าพวกเราอาศัยอยู่ที่ตาบลชิงฉือแห่งนี้
จากมุมนี้ เหมือนสถานการณ์ของพวกเรา จะไม่ได้เสี่ยงอันตรายอย่างที่คิดเอาไว้
เนื่องจากอีกฝ่ายยังไม่รู้ตําแหน่งของพวกเรา เมื่อเป็นแบบนี้ ถึงอีกฝ่ายจะอยากแก้แค้นขนาดนั้น
เขาก็จะหาพวกเราไม่เจอได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ
เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว บวกกับที่ทุกคนเองก็ไม่อยากหนี
ท้ายที่สุดท่านนักพรตตู๋และอาจารย์จึงตบขาเสียงดัง ท่าทางดูเหมือนจะไม่กลัวว่าตัวเองมีศัตรูเพิ่มขึ้น
จากนั้นก็พูดกับผมและเหล่าเฟิงว่า จะมีอะไรเกิดขึ้นก็ให้มันเกิดเถอะ เราเพียงรับมือไปตามน้ําก็พอแล้ว
จากกันลึกของใจผม ผมเองก็ไม่อยากไปจากที่นี่
ผมเติบโตอยู่ที่ตําบลชิงฉือตั้งแต่เด็ก มีความรู้สึกกับที่นี่อย่างลึกซึ้ง หากให้ผมไปจากที่นี่จริงๆ ผมก็คงไม่อยากไปสักเท่าไหร่ ตอนนี้เราไปยุ่งกับสํานักสื่อเย่และองค์กรตาผี ทําให้สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ค่อยดีเท่าไหร่
แต่เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ่อนไปก็ไม่ใช่ทางออก อีกอย่างสําหรับผมแล้ว ที่นี่ก็มีพวกปู่หลิ่วคอยคุ้มครอง
และยังมีพวกม่หลงเหยียน ทางนี้เองก็ไม่ใช่ว่าสู้ไม่ได้ไปซะทีเดียว
สิ่งสําคัญที่สุดคือ ด้านหลังของพวกเรามีประตูนรกอยู่ บางครั้งที่กองทัพทหารผีเดินข้ามแดน
เป็นทางเข้าออกของเหล่าวิญญาณ
หากไม่ไหวจริงๆ พวกเราก็วิ่งไปที่นั้นได้
ผมไม่เชื่อว่า คนชั่วพวกนั้นจะกล้าโอทั้งต่อหน้ากองทัพผี
ด้วยเหตุนี้ เรื่องของสํานักสื่อเย่และเจ้าปีศาจเสือดาวตัวนั้น จึงจบลงเพียงเท่านี้
สําหรับเรื่องพิษปีศาจในตัวท่านนักพรตตู๋ เรื่องนี้พวกเราหาเบาะแสไม่ได้จริงๆ ได้แต่ดูไปตามสถานการณ์เท่านั้น……
เรื่องก็เป็นแบบนี้ พวกเราล้อมวงคุยกันเรื่องนี้ ตั้งแต่ตอนเที่ยงจนถึงช่วงหัวค่า
สุดท้ายหลังจากท่านนักพรตตู๋และเหล่าเพิ่งกินข้าว และดื่มกันนิดหน่อยที่บ้านผมแล้ว พวกเขาถึงได้กลับไปที่ร้านไปจ่าว
หลังจากท่านนักพรตตู๋และเหล่าเฟิงออกไป อาจารย์ก็ค่อนข้างเหนื่อยแล้ว บวกกับดื่มเข้าไปนิดหน่อย
เขาเลยกลับเข้าไปพักผ่อนในห้องทันที
ในห้องโถงเหลือเพียงผมแค่คนเดียว ผมเองก็ยังไม่ค่อยง่วง เลยนั่งพิงโซฟาแล้วเปิดทีวีดูผ่านไปไม่นาน รายการทีวีก็เปลี่ยนเป็น “เรื่องสยองในเมือง” ที่มีชื่อเสียงของบ้านเรา เวลาดูเจ้ารายการนี้ผมรู้สึกว่ามันดูไร้สาระมาก โดยเฉพาะผู้เชี่ยวชาญในรายการ ทุกครั้งที่เห็นพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์ ผมก็มีความรู้สึกอยากจะสําลักข้าวออกมา
แต่ผมก็หยุดดู อยากรู้ว่าจะมีเรื่องแปลกๆอะไรอีก
ผ่านไปอย่างรวดเร็ว เจ้าพิธีกรหน้าแหลม และผอมจนเหมือนลิงก็ออกมาปรากฏตัว
เจ้าหมอนี่ยังเป็นเหมือนเดิม เพิ่งออกมาปรากฏตัวก็ทําให้บรรยากาศดูลึกลับทันที
“ขอต้อนรับทุกท่านที่กําลังรับชมรายการเรื่องสยองในเมืองอยู่ ผมเป็นพิธีกรในวันนี้ จางเสี่ยวเอ้อร์……”
จางเสี่ยวเอ้อร์ “……”
เพิ่งพูดมาถึงตรงนี้ ก็มีภาพอันน่าตกใจพุ่งออกมา
พอเห็นภาพพวกนั้น ผมก็ตะลึงไปพักหนึ่ง
เพราะผมพบว่าตําแหน่งบนรูปภาพพวกนี้ ก็คือสวนสาธารณะเล็กๆของเมือง
และรายละเอียดในภาพ ยังมีพวกกระดูกคนผุๆ และยังมีคราบเลือดสีดําๆแห้งๆบางส่วน หรือแม้แต่มีชุดคลุมดําของสํานักสื่อเย่อยู่ด้วย…..
ม่านตาผมขยายอย่างรวดเร็ว และตื่นตัวขึ้นมาในทันที
คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ผมรู้ดีเลยละ
โครงกระดูกผุๆบนภาพพวกนี้ และยังมีคราบเลือดสีดําพวกนั้น ต่างบ่งบอกว่าเป็นสาวกสํานักลื่อเย่ที่ตายไป แล้วสุดท้ายก็กลายสภาพเป็นโครงกระดูกเช่นนี้
จากสถานที่บนรูปภาพ และยังมีตําแหน่งของศพ ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์
ภายในรายการ ก็คือศพลูกน้องเจ้าปีศาจเสือดาว ที่โดนพวกเราฆ่าตายในสวนสาธารณะเมื่อคืนก่อน
เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับผม ผมเลยเริ่มสนใจมันขึ้นมา
ต่อจากนั้นก็ได้ยินเจ้าพิธีกรที่ชื่อจางเสี่ยวเอ้อร์พูดต่อ “ ในสวนสาธารณะที่มีโครงกระดูกมนุษย์ปรากฏขึ้น และยังมีคราบเลือดแห้งๆ แต่เสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บนตัวกลับดูใหม่เอี่ยม นี่คือฉากของการฆาตกรรม
หรือเป็นการฆ่าคนแล้วโยนศพ หรือจะเป็นผีร้ายออกมากินคน ”
ต่อจากนั้น เจ้าพิธีกรก็เริ่มเล่าที่มาที่ไปของโครงกระดูกอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็เข้าไปถามชายชราสองสามคนที่กําลังออกกําลังกายอยู่ในสวนสาธารณะด้วยท่าทางลับๆล่อๆ
และยังทําท่าทางประหลาดใจเมื่อรู้ว่าที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของประตูผี เป็นประตูผีของเมืองอะไรสักอย่าง
ซึ่งมันเป็นสถานที่ที่ใช้ประหารคนในสมัยก่อน
บอกว่าในสถานที่นี้มีผีร้ายอยู่ แล้วเจ้าผีตัวนั้นก็ออกมากินคน จากนั้นก็เหลือทิ้งเอาไว้เพียงโครงกระดูกเน่าๆนี้
หลังจากเล่ามาได้ประมาณ 20 นาที กระตุ้นต่อมอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมแล้ว เขาก็เปิดหน้าจอขึ้นมาอีกครั้ง จากนั้นจางเสี่ยวเอ้อร์ก็พูดว่า “ แน่นอน สังคมในปัจจุบัน ไม่มีอะไรที่วิทยาศาสตร์ หาคําตอบไม่ได้
ต่อจากนี้ พวกเราจะขอเชิญแขกรับเชิญประจํารายการ ผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียงในด้านศาสตร์พยากรณ์และการแกะรอย คุณหลี่ซงฉานมาวิเคราะห์ให้พวกเราฟัง ”
ต่อจากนั้น แขกรับเชิญประจําของเรื่องสยองในเมือง หรือ “ผู้เชี่ยวชาญ” หัวโล้นที่ใช้แว่นกรอบทองคนหนึ่ง ก็เดินขึ้นมาบนเวที……