ศพ – ตอนที่ 52 วิกฤติ

ตอนที่ 52 วิกฤติ

ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปมาก แม้จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าผีชั่ว มันถึงได้มีสามตา แถมยังมีพลังชั่วเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว

แต่ถ้าผมและหานเฉ่วเฟิงร่วมมือกัน ก็น่าจะกำจัดเจ้านี้ได้เร็วมากกว่าเดิม

แต่สิ่งที่ทำให้ผมแปลกใจคือ ในเวลานี้ดันได้ยินของผีเมียนี่ซิ

และยังบอกว่าผมตกอยู่ในอันตราย ให้ผมรีบหนี

วินาทีนั้นผมตกตะลึงในทันที ถึงเธอจะไม่ออกมาเจอผม แต่อย่างน้อยเธอก็เคยช่วยผมไว้ถึงสองครั้ง

แต่สิ่งที่ทำให้ผมสงสัยคือ ผีเมียมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง

ผมกำลังสงสัยในใจ จึงหันกลับไปมองด้านหลัง แต่ผมก็ไม่เห็นอะไรอยู่ดี

 

“มู่หลงเหยียน เป็นเธอใช่ไหม เธออยู่ไหน แล้วมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ผมพูดกับอากาศ

แต่เสียงพึ่งจางหาย มู่หลงเหยียนก็พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ฉันจะอยู่ไหนแล้วมันเกี่ยวอะไรกับนายด้วยละ แล้วก็นะไอ้ห่วย ต่อไปอย่ามาเรียกชื่อของฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะตัดลิ้นของนาย”

เมื่อได้ยินคำขู่นี้ ผมก็ตัวสั่นทันที

 

ผีเมียคนนี้จะขัดใจไม่ได้จริงๆ โดยเฉพาะผู้หญิงอารมณ์ร้ายที่มีวิวัฒนาการขั้นสูงสุดอย่างเธอ

ผมกลอกตาทันที รีบพูดว่า “ได้ครับน้องศพ แล้วทำไมต้องหนีด้วยละ”

ผมทั้งพูด และเพ่งสมาธิไปที่การต่อสู้

หานเฉ่วเฟิงต่อสู้ด้วยพลังและจิตสังหาร จนทำให้สถานการณ์ที่ก่ำกึ่งอยู่นั้น กลับเปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

 

ผีชั่วตนนั้นตกเป็นฝ่ายกดดัน จนพูดได้ว่ามันจะถูกฆ่าเมื่อไหร่ก็ขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น แล้วสถานการณ์ดีๆแบบนี้จะให้ผมหนีไปได้ยังไง

 

แต่ผีเมียกลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ถามมากจริง! รีบหนีเข้าไปในเมือง ถ้ายังไม่หนีตอนนี้มันจะสายไปแล้วนะ ไม่อยากตาย ก็บอกให้พวกอาจารย์ของนายหนีไปด้วยกัน แล้วต่อไปก็อย่าไปยุ่งวุ่นวายกับเจ้าผีชั่วนั้นอีก!”

ผีเมียพูดออกมาอีกครั้ง และน้ำเสียงที่ใช้ยังฟังดูจริงจังมาก

เห็นได้ชัด ว่าเธอไม่ได้กำลังพูดล้อเล่นกับผม แต่เป็นเรื่องจริงล้วนๆ

แต่ผมกลับขมวดคิ้ว เพราะตอนนี้มันเป็นเวลาที่ตัดสินใจได้ยาก

 

แต่ผมก็ยังเลือกที่จะเชื่อ และยังคงขึ้นไปข้างหน้าเพื่อช่วยเหลือพวกพ้อง

แต่เมื่อย้อนกลับมาคิด ผมรู้จักผีเมียไม่ถึงเดือนด้วยซ้ำ แต่ผมกับเธอก็แต่งงานกันแล้ว

การแต่งกับผี เป็นการทำสัญญาชีวิตและความตาย

เธอไม่ยอมออกมาเจอผม นี่คือความจริง แต่ยังไงเธอก็ไม่คิดทำร้ายผมอย่างแน่นอน

เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็เลือกที่จะเชื่อคำพูดของมู่หลงเหยียน

 

ผมหยุดวิ่ง และตะโกนบอกพวกอาจารย์ที่อยู่ทางฝั่งนั้นว่า “อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋ เหล่าฉิน พี่เฟิงมีอันตราย รีบหนีออกไปจากที่นี่เร็ว ถ้ายังไม่หนีจะสายเกินไปแล้วนะ!”

เสียงของผมดังมาก จนมันดังก้องไปทั่วป่าช้าเก่า

 

เมื่ออาจารย์และคนอื่นๆได้ยินเสียงผมตะโกน พวกเขาก็หันมา พร้อมกับใบหน้าแห่งความสงสัย

ส่วนผีชั่วที่ถูกล้อมไว้ ก็ขมวดคิ้ว มันพูดเบาๆ สมควรตาย!

เมื่ออาจารย์ นักพรตตู๋และคนอื่นๆเห็นสีหน้าจริงจังของผม ที่กำลังโบกมือให้กับพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

 

ถึงพวกเขาจะไม่เข้าใจ แต่ก็เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาแล้ว ดังนั้นในใจจึงค่อนข้างสงบ

โดยเฉพาะพวกเขาเป็นคนมีอายุกันแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำอะไรหุนหันพลันแล่น

อาจารย์รู้นิสัยผมดี วินาทีที่เห็นผมร้อนรนแบบนั้น

ถึงเขาจะไม่รู้ว่าทำไม แต่หลังจากแสดงท่าทางสงสัยได้ไม่นาน เขาก็ยังเลือกที่จะเชื่อคำพูดของผม

“นักพรตตู๋ เหล่าฉิน เสี่ยวเฟิง พวกเรากลับ……”

 

เสียงพึ่งจางหาย ทันใดนั้นตัวของอาจารย์ก็ถอยไปข้างหลัง จากนั้นก็วิ่งไปข้างนอกทันที

เมื่อนักพรตตู๋ เหล่าฉินและหานเฉ่วเฟิงเห็นแบบนั้น ก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว และไม่สนใจต่อสู้กับผีชั่วอีกต่อไป

ผมเองก็เชื่อฟังคำพูดของผีเมีย วิ่งไปทางในเมืองทันที ในเวลาเดียวกันผมยังเบี่ยงตัวเข้าไปสมทบกับอาจารย์และคนอื่นๆด้วย

วินาทีที่อาจารย์และคนอื่นๆแยกตัวจากผีชั่ว สีหน้าของเจ้าผีชั่วตนนั้นก็เปลี่ยนไปทันที มันเผยใบหน้าที่โกรธแค้นและกระวนกระวายออกมา

 

ใช้ดวงตาทั้งสามที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวามองมาที่ผม ในเวลาเดียวกันผมยังได้ยินเสียงทุ้มต่ำที่แหบแห้งของผีชั่ว “ได้ไอ้เด็กเวร กล้าทำลายแผนของข้า คืนนี้พวกแกอย่าคิดจะหนีไปได้! กลับมาหาข้าเดี๋ยวนี้!”

 

ตอนพูดถึงประโยคสุดท้าย ผีชั่วตนนั้นก็แทบตะโกนออกมาเลยทีเดียว

ขณะที่เสียงนี้ปรากฎขึ้น ทันใดนั้นพุ่มไม้ใบหญ้ารอบๆทิศ ก็มีเสียงเสียดสีกันเกิดขึ้น

จากนั้นผมก็เห็นใครบางคนใส่ชุดสีขาวไล่ตามกันมาเรื่อยๆ เป็นผีชุดขาวที่มีนัยน์ตาว่างเปล่า พุ่งออกมาจากพุ่มไม้ ก่อหญ้าและป่า พวกมันต่างพุ่งเข้ามาจากทั้งสามทิศ

และขณะที่ปรากฎตัว แต่ละตนยังพุ่งเข้ามาหาพวกเราด้วย

 

ใบปากของพวกมันยังแผดเสียง “กากากา” เหมือนกับเสียงคำรามของสัตว์ร้ายไม่มีผิด

ท่าทางแบบนั้นราวกับเกลียดชังพวกเราจนไม่ยอมอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน แถมยังบ้าคลั่งอยากฉีกเนื้อพวกเราออกเป็นชิ้นๆอีกด้วย

 

ตอนนี้เป็นเวลากลางคืน ภายใต้สายตาของพวกเรา เสื้อผ้าสีขาวจึงดูโดเด่นเป็นพิเศษ

ผ่านไปเพียงครู่เดียว รอบๆตัวของพวกเรา ก็มีผีร้ายปรากฎตัวขึ้นถึง 20 กว่าตน จนเกือบจะล้อมรอบพวกเราได้เลยจริงๆ

 

โดยเฉพาะเสียงกรีดร้องที่ทุ้มต่ำ มันทำให้พวกเรารู้สึกถึงวิกฤติร้ายแรง

และยิ่งวิ่งไปทางป่าช้าเก่าเท่าไหร่ ผีร้ายในชุดขาวก็ยิ่งผุดขึ้นมาอย่างกับดงดอกเห็ด

พวกมันต่างเผยใบหน้าสยดสยอง ใช้ดวงตาขาวโพนที่ว่างเปล่าจ้องมาทางพวกเราอย่างไม่ละสายตา

“บ้าเอ้ย ทำไมที่นี่ถึงมีผีร้ายเยอะขนาดนี้วะ!” หานเฉ่วเฟิงด่าออกมาด้วยน้ำเสียงหืดหอบ

 

ในเวลาเดียวกันเท้าของเขายังไม่หยุดวิ่ง มุ่งตรงไปทางเข้าเมืองพร้อมกับพวกเรา จนไม่เหลือช่องว่างให้ผีร้ายได้ขัดขวางพวกเราเลย

อาจารย์และคนอื่นๆต่างสูดหายใจเข้าลึกๆ คิดไม่ถึงว่ารอบๆตัวของพวกเราจะมีผีร้ายเยอะขนาดนี้

และดูจากท่าทีของเจ้าพวกนี้ ดูเหมือนพวกมันได้สร้างวงล้อมรอบทั้งสามทิศไว้แล้ว

ถ้าไม่ได้ผมช่วยเตือนทันเวลา ผ่านไปอีกแป๊บหนึ่ง พวกเราจะต้องถูกล้อมไว้อย่างแน่นอน

และเมื่อถึงเวลานั้น พวกเราก็จะไม่มีทางหนีอีกต่อไป

ใจของทุกคนต่างรู้สึกว่ามันอันตรายมาก จึงเพิ่มความเร็วขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนข้างหลังของพวกเรา ก็กำลังมีผีร้ายในชุดขาวตามติดมา 20 กว่าตน

 

“นี่มันเรื่องอะไรกันแน่ ทำไมที่นี่ถึงมีผีร้ายเยอะขนาดนี้!” เหล่าฉินพูดออกมาด้วยความแปลกใจ และหันไปดูข้างหลังเป็นครั้งคราว

นักพรตตู๋กลับแสดงสีหน้ามืดมน “เมื่อก่อนผมเคยได้ยินมาว่า นักพรตผีเป็นพวกชอบเลี้ยงผี ที่นี่คงไม่ได้เป็นสถานที่ที่เขาแวะพักบ้างบางครั้ง แต่เป็นรังผีที่เขาใช้ในการเลี้ยงผีครับ!”

 

“ไอ้ขยะเฟิงเฉ่วหาน ทุกครั้งที่เจอเรื่องวุ่นๆต้องให้ฉันออกมาคอยจัดการให้ทุกทีซิน่า!” หานเฉ่วเฟิงไม่พอใจ แสดงสีหน้าบูดเบี้ยวออกมา

ส่วนผม กลับรู้สึกขอบคุณผีเมียมากๆ

ถ้าเธอไม่เตือน ป่านนี้พวกเราคงตกอยู่ในสถานการณ์สิ้นหวังไปแล้ว

 

พวกเรายังวิ่งตรงไปเรื่อยๆ และเร็วมากด้วย

ส่วนผีพวกนั้น ก็วิ่งตามหลังเรามาติดๆ และยิ่งเข้ามาใกล้เรื่อยๆด้วย

แต่พูดแล้วก็ว่าแปลก ตอนเห็นว่าพวกมันกำลังจะไล่ตามพวกเรา เมื่อพวกเรากระโดดข้ามคูน้ำ มาถึงถนนในชนบทเส้นหนึ่ง

 

จู่ๆผีกลุ่มนั้นที่ไล่ตามพวกเรา กลับหยุดอยู่ข้างหน้าคูน้ำเอาดื้อๆ

ราวกับพวกมันไม่สามารถข้ามไปได้ พวกมันทั้งหมดจึงยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าที่โกรธแค้น

คำรามใส่พวกเราด้วยเสียงที่ดุร้าย แต่กลับไม่มีผีตนใดกล้าข้ามคูน้ำมาสักตน

 

“อาจารย์ เหมือนพวกมันจะข้ามมาไม่ได้!” หลังจากเห็นภาพแบบนี้ ผมก็รีบพูดด้วยความตกใจ

อาจารย์และคนอื่นหันกลับมามองสองสามครั้ง เมื่อเห็นว่าเป็นแบบนั้นจริงๆ พวกเราจึงหยุดวิ่ง

ช่วงเวลานั้นพวกเรายังไม่เข้าใจว่าตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ มันเป็นเพียงคูน้ำเล็กๆเน่าๆเส้นหนึ่งเองนะ

ไม่ใช่ทะเลเพลิงซะหน่อย ทำไมพวกมันถึงไม่ตามมานะ

ขณะที่พวกเรากำลังสงสัย ทันใดนั้นเจ้าผีชั่วก็เดินออกมาจากฝูงผีร้าย ยืนหยุดอยู่ด้านหน้าคูน้ำ

มองมาที่พวกเราด้วยความโกรธแค้น “ถือว่าพวกแกวิ่งเร็ว แต่เรื่องนี้มันยังไม่จบหรอก ไม่ช้าก็เร็วข้าจะตามหาพวกแกเจออยู่ดี และพรากชีวิตโง่ๆของพวกแกมา!”

 

หานเฉ่วเฟิงระเบิดอารมณ์ร้ายออกมา เหมือนกับนิสัยของพวกนักเลงนั้นเอง

เมื่อได้ยินประโยคนี้ เขาก็ตะคอกใส่ทันที “แกพูดอะไรนะ จะข้ามมาเจอกันเดียวๆ……”

ผลลัพธ์หลังจากคำว่า “ข้าม” หลุดออกไป นักพรตตู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆก็ตบไปที่หลังของหานเฉ่วเฟิงอย่างแรง

หานเฉ่วเฟิงไม่ได้เตรียมตัว จึงร้อง “โอ๊ย” ออกมา จากนั้นร่างของเขาก็ทรุดลงกับพื้น

แต่เขาไม่ได้หมดสติ แค่ตัวสั่นไปทั้งตัว ตาเหลือกจนเห็นตาขาว สภาพเหมือนกับคนกำลังชัก

ในปากของเขายังเปล่งเสียงที่แหบแห้งออกมา “ตา ตาแก่ แก แกกล้าลอบกัดข้า……”

“นักพรตตู๋ นี่คือ” อาจารย์และเหล่าฉินแปลกใจมาก ไม่รู้ว่าทำไมนักพรตตู๋ต้องทำแบบนี้

 

แต่นักพรตตู๋กลับไม่ยอมอธิบายในเวลานี้ เขานั่งยองๆลงพร้อมกับสีหน้าที่จริงจัง

จากนั้นก็หยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าของตัวเองด้วยความรวดเร็ว หลังจากเทออกมาหนึ่งเม็ด เขาก็ยัดมันเข้าไปในปากของหานเฉ่วเฟิงทันที

ในเวลาเดียวกัน ยังมองดวงตาที่ขาวโพน และพูดกับหานเฉ่วเฟิงด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ออกมาอวดเก่งมากพอแล้ว ตอนนี้ควรกลับไปได้แล้ว……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset