ศพ – ตอนที่ 520 สู้กับผีชุดเหลือง

ตอนที่ 520 สู้กับผีชุดเหลือง

ตอนเห็นเสื้อผ้าชุดขาวของผีผู้ชาย กําลังเปลี่ยนเป็นสีเหลือง พวกเราก็ตกใจทันที

ชุดเหลืองนี่มันไม่ใช่สัญญาณที่ดี

หากเจ้าหมอนพัฒนากลายเป็นผีชุดเหลือง พลังที่ตามมาก็ต้องเคลื่อนไปอีกขั้นอย่างแน่นอน

เมื่อเวลานั้นมาถึง หากอยากคิดจะสู้กับเขา เราก็อาจต้องเปลืองแรงมากกว่าเดิม หรือแม้แต่อาจส่งผลทางลบกับพวกเรา จนถึงตกอยู่ในอันตรายเลยก็ว่าได้

นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าจะเกิดขึ้น ดังนั้นหลังตะโกนออกมาแล้ว

ผมก็ไม่ลังเลเลยสักนิด พุ่งตรงเข้าไปหาผีผู้ชายที่กําลังจะพัฒนาไปอีกขั้นทันที

ทางผมเพิ่งขยับตัว เหล่าเฟิงเองก็ตอบสนองเช่นกัน

เหล่าเฟิงรีบชักดาบจักรพรรดิเล่มนั้นของเขาออกมา แล้วพุ่งไปหาผีผู้ชายเช่นกัน

แต่เจ้าผีผู้ชายตนนั้น กลับทําตัวดุร้ายขึ้นเรื่อยๆ เสื้อผ้าขยับอย่างอัตโนมัติโดยที่ไม่มีลมเลยสักนิด แรงอาฆาตรุนแรง มันสาดซัดออกมาเรื่อยๆ จนแทบจะทะลุออกมาไปจากห้องนี้ ทําให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันอันมหาศาลทันที

และผมยังไม่ทันได้เข้าใกล้ผีผู้ชายตนนั้น ผีผู้ชายก็แหกปากตะโกนออกมา “ไปตายให้หมด !”

ทันใดนั้น คลื่นพลังหยินอันมหาศาล ก็ไหลออกมาจากตัวผีผู้ชาย

พลังหยินพวกนั้นกลายเป็นสายลมกระโชกแรง มันพัดเข้ามาที่หน้าของผมเร็วมาก

เจ้าผีผู้ชายตนนี้ร้ายกาจมาก แรงอาฆาตรุนแรงผิดปกติ

แม้แต่พลังเต้าชื่อในตอนนี้ของผม ก็ต้านพลังหยินอันเข้มข้นแบบนี้ได้อย่างล่าบาก

ในขณะที่กระแสพลังหยินสาดซัดเข้ามา จู่ๆก็มีพลังบางอย่างที่มองไม่เห็นเข้ามากระแทกตัว ผมในวินาทีนั้นผมรู้สึกเหมือนตัวเองโดนชนอย่างแรง

ผมเจ็บตรงหน้าอก และถอยออกมาทันที

ส่วนทางด้านเหล่าเฟิง เขาเองก็เป็นเหมือนผมโดนพลังที่มองไม่เห็นอันนั้น ผลักออกมาเช่นกัน

กลับไปมองทางผีผู้ชาย ตอนนี้เขาได้กลายเป็นผีชุดเหลืองอย่างสมบูรณ์แล้ว

แรงอาฆาตอันรุนแรงนั้น แพร่ออกมาจากตัวเขาอย่างต่อเนื่อง กรงเล็บอันแหลมคมคู่นั้น ทําให้คนที่เห็นต้องใจสั่น

โดยเฉพาะหน้าที่ดูโหดหินของเขา มันให้ความรู้สึกที่น่ากลัวสุดๆ ผมขมวดคิ้ว เจ้าผีร้ายตนนี้ค่อนข้างร้ายกาจ แต่ตอนนี้ต้องพุ่งเข้าชนเท่านั้น

ทางด้านเหล่าเฟิง เขากลับเค้นเสียงดัง ฮ จากนั้นก็ยกดาบในมือขึ้น แล้วพุ่งเข้าไปสังหารอีกฝ่ายอีกครั้ง

ผมเองก็ไม่พูดพร่ําทําเพลง พุ่งเข้าไปหาผีร้ายอีกครั้ง

เจ้าผีร้ายกลายเป็นผีชุดเหลืองสําเร็จแล้ว ความแข็งแกร่งจึงพุ่งสูงขึ้นทันที

จากแรงอาฆาตที่เขาปล่อยออกมา พลังของเขาน่าจะสูงกว่าพลังของผมในตอนนี้นิดหน่อย

ประมาณเต้าชื่อเกือบถึงขั้นกลาง แต่ก็แค่เกือบ ไม่ได้ไปถึงเต้าซื้อขั้นกลางจริงๆ

แม้พลังของเขาจะสูงกว่าผมสองคน แต่พวกเราก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองจะสู้ไม่ได้

นอกจากเรื่องพลังแล้ว ในมือของพวกเรายังมีอาวุธที่ใช้ปราบภูติผีอีกมามาย เช่นดาบไม้ยันต์ และอื่นๆ

แล้วเจ้าผีร้ายละ ! มันก็มีแค่ดุร้ายเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเท่านั้น

และพวกเรามีคนเยอะกว่า แม้หยางเจ๋วจะยังไม่ได้ฟื้นขึ้นมา และผมกับเหล่าเฟิงร่วมมือกันก็อาจจะลำบาก แต่ผมเชื่อว่าขอแค่พวกเราสองคนร่วมมือกัน การก่าจัดผีผู้ชายตรงหน้าก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้

แน่นอน ว่ามันก็เสี่ยงอยู่บ้าง

เนื่องจากผีผู้ชายคนนี้ได้พัฒนากลายเป็นผีร้ายชุดเหลืองอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พละกําลังหมาศาล

หากไม่ระวังก็อาจโดนเจ้าหมอนซัดหรือกดได้ ผลที่ตามมาก็ร้ายแรงมากแน่นอน และอาจถึงชีวิตเลยก็ได้

แต่เข้าสายงานนี้มา มีครั้งไหนที่พวกเราไม่ต้องเผชิญกับอันตราย มีครั้งไหนที่ชีวิตไม่แขวนอยู่บนความเป็นความตายบ้าง

ตอนนี้ สิ่งที่ผมและเหล่าเฟิงคิดถึงมากที่สุด คือสังหารเจ้าผีร้ายตนนี้

ส่วนเรื่องอื่น ผมไม่มีเวลาคิด และก็คิดไม่ทันด้วย

ผ่านไปเพียงชั่วพริบตา เหล่าเฟิงก็เข้าไปในระยะสังหารผีผู้ชายแล้ว

เหล่าเฟิงตวัดดาบใบมือออกไปอย่างรวดเร็ว ดาบเล่มนั้นเพิ่งถูกตวัดออกไป มันก็พุ่งตรงเข้าที่หน้าผากของผีร้ายทันที

ส่วนเจ้าผีร้ายหน้าโหดตนนั้น ก็ตวัดกรงเล็บออกมา

เพราะระดับพลังที่ต่างกัน หลังเสียง “ปัง” ดังนั้น ดาบในมือของเหล่าเฟิง ก็โดนปัดออกไปส่วนตัวเหล่าเฟิงก็ถอยออกไปเช่นกัน

เจ้าผีร้ายตนนั้นเห็นเหล่าเฟิงโดนซัดออกไป มันจึงคาราม “โฮก” ออกมาหนึ่งครั้ง จากนั้นก็อ้าปากขึ้น

และเล็งจะเข้ามากัดที่คอของเหล่าเฟิง

เจ้าหมอนั่นเร็วสุดๆ ราวกับหมาบ้าไม่มีผิด

เหล่าเฟิงยังยืนไม่ดี แม้แต่ยืนยังยืนให้ดีไม่ได้ แล้วเขาจะหลบการโจมตีครั้งนี้ได้งั้นเหรอ

เขาได้แต่ทําหน้าตกใจ ดวงตามองปากของอีกฝ่าย กัดลงบนคอตัวเอง เขาไม่มีโอกาสหลบเลยสักนิด

แต่ผมจะปล่อยให้เพื่อนตัวเองมาตายอยู่ที่นึ่งั้นเหรอ

ผมได้ตามขึ้นไปแล้ว เมื่อเห็นเจ้าผีร้ายจะกัดเหล่าเฟิง ผมก็กําหมัดชกออกไปทันที

ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมาว่า “ไปตายซะ !”

เจ้าผีร้ายตนนั้นเหมือนสัตว์ตัวหนึ่ง พอเห็นเหล่าเฟิงไม่มีโอกาสหลบได้แล้ว สมาธิทั้งหมดก็จดจ่ออยู่ที่ตัวเหล่าเฟิง โดยที่ไม่ได้สนใจผมที่อยู่ด้านหลังเลยสักนิด

ผลลัพธ์หมัดนั้นของผม ซัดเข้าที่หน้าของเจ้าหมอนั่นเต็มๆ

“ปัก” เจ้าผีร้ายตนนั้นโดนซัดจนต้องถอยไปข้างหลัง และกรีดร้องออกมาทันที

ในเวลาเดียวกัน ผมก็ตะโกนด่าออกมาสั้นๆ “กล้ากัดเพื่อนฉัน ไปลงนรกไปไอ้เวร !”

เสียงเพิ่งเงียบลง เท้าผมก็ตามไปติดๆ

แม้เจ้าผีร้ายตนนั้นจะมีพลังเยอะกว่าพวกเรา แต่มันต่างจากผมมาก ดังนั้นการโจมตีติดกันของผม จึงสามารถทําให้อีกฝ่ายบาดเจ็บได้

เจ้าผีร้ายถอยไปข้างหลังสองสามก้าว จนไปถึงส่วนของระเบียง

ตอนนี้มันดูโมโหสุดๆ ในดวงตาขาวโพน มีคําว่าเคียดแค้นเขียนเอาไว้เต็มๆ ในเวลาเดียวกัน มันก็จองพวกเราตาไม่กระพริบ

มันยกกรงเล็บขึ้นอีกครั้ง ปากก็ส่งเสียงคํารามแห่งความโกรธ

พุ่งเข้ามา ราวกับหมาป่าที่หิวโหย

เมื่อเห็นอีกฝ่ายลงมืออีกครั้ง ผมก็ไม่ลังเล รีบชักดาบไม้ที่อยู่ด้านหลังออกมา จากนั้นก็เตรียมตัว ปะทะกับเจ้าผีร้ายตนนี้

ตอนนี้เหล่าเฟิงเพิ่งอยู่ในระดับเต้าฉือขั้นสุด ต่างจากผีร้ายประมาณสองขั้น

เมื่อกี้หลังจากโดนผีร้ายซัดออกมาแล้ว ตอนนี้เขาถึงกลับมาได้สติอีกครั้ง แต่มือขวาที่เขาใช้จับดาบ

กลับมีอาการชาหน่อยๆ

แต่เขาเองก็ไม่สนอะไรมากนัก เมื่อเห็นผมพุ่งเข้าไป เขาก็ตั้งสติ จับดาบให้มั่น แล้วรีบตามไปทันที

ต่อจากนั้น เราก็เริ่มโจมตีกันทั้งซ้ายขวา

ผมเป็นตัวหลัก รับหน้าที่โจมตีผีร้าย

ส่วนเหล่าเฟิงเป็นผู้ช่วย คอยหยุดการโจมตีจากผีร้าย ทําให้อีกฝ่ายไม่สามารถจัดการผมได้แบบเต็มกําลัง

เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ผีร้ายชุดเหลืองจะมีพลังเยอะกว่าผมและเหล่าเฟิง แต่เมื่อผมสองคนร่วมมือกัน

เราก็สามารถเปลี่ยนข้อดีของผีร้ายได้

ในที่สุด เราก็สู้กับอีกฝ่ายได้อย่างสูสี

แต่ผมและเหล่าเฟิงก็ไม่กล้าประมาท

หากเผยช่องโหว่ออกมา ผมและเหล่าเฟิงก็อาจบาดเจ็บหนักทั้งคู่

กลับกัน หากผีร้ายเปิดช่องโหว่ เขาก็อาจตายในเงื้อมมือผมสองคน

การต่อสู้ดูดุเดือดผิดปกติ ผีร้ายระเบิดพลังหยินอันเข้มข้นออกมาเป็นครั้งคราว ท่าทางดูทรงพลังสุดๆ

กรงเล็บคู่นั้น มีพละกําลังมหาศาล

หากไม่ได้เหล่าเฟิงช่วยหยุดเอาไว้ ผมก็คงต้านไว้ไม่อยู่

เราต่อสู้ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ มาได้ประมาณ 20 นาที แต่ก็ยังดูไม่ออกมาว่าใครจะเป็นผ่ายแพ้ชนะ

ผมดึงหน้าลง เตรียมตัวใช้เคล็ดวิชาของผม หรือวิชาเฟนเทียนกงที่เพิ่งฝึกสําเร็จมานั่นเอง

ผมสามารถเปิดใช้วิชาเฟินเทียนกงได้ประมาณ 10 นาที แต่หลังจาก 10 นาทีนั้นแล้ว พลังวิญญาณในตัวผมก็จะถูกดูดออกไปจนหมด

ดังนั้น ผมต้องชนะภายในสิบนาทีนี้

แน่นอน การต่อสู้ผ่านมากว่า 20 นาทีแล้ว ตัวผมเองก็เห็นความแข็งแกร่งของผีร้ายตนนี้อย่างชัดเจนแล้ว

ดังนั้น ผมมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์

ขอแค่ผมเปิดใช่วิชาเฟินเทียนกง บวกกับการร่วมมือกับเหล่าเฟิง ผมจะต้องสังหารผีตนนี้ได้อย่างแน่นอน……

ศพ

ศพ

อ่านนิยายเรื่องศพ
Status: Ongoing
โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset