ศพ – ตอนที่ 53 เชิญคน

ตอนที่ 53 เชิญคน

เสียงพึ่งจางหาย ยาเม็ดนั้นก็เข้าไปอยู่ในท้องของหานเฉ่วเฟิงแล้ว

อาจารย์และเหล่าฉินไม่เข้าใจ แต่ผมกลับมองด้วยความเข้าใจแจ่มแจ้ง และรู้ดีว่ายาเม็ดนั้นใช้ทำอะไร

มันจะต้องเป็นตัวปราบวิญญาณของหานเฉ่วเฟิงแน่ แต่ตอนนี้หานเฉ่วเฟิงไม่พอใจ เขาจึงพยายามพูดออกมาอีกครั้ง “ตา ตาแก่……”

ขณะเสียงพึ่งขาดไป ยาเม็ดนั้นก็ทำงานทันที ร่างกายของหานเฉ่วเฟิงก็ไม่ขยับเขยื้อนอีก

“ตู๋อ่าว ลูกศิษย์แกเป็นอะไร ทำไมก่อนหน้ากับตอนนี้ถึงได้แตกต่างกันขนาดนี้ละ” เหล่าฉินถามด้วยความมึนงง

 

อาจารย์เองก็หันไปมองหน้านักพรตตู๋ ส่วนตัวผมไม่ได้พูดอะไร

เพราะนี่เป็นความลับของเฟิงเฉ่วหาน ผมจึงรู้สึกลำบากใจที่จะพูดออกมา

นักพรตตู๋แสดงสีหน้าหดหู่นิดหน่อย เขาตอบกลับว่า “ชีวิตของลูกศิษย์ผมยากลำบาก จึงมีวิญญาณสองดวงในร่าง ก็คือวิญญาณพี่ชายของเขาน่ะครับ”

นักพรตตู๋ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงพูดออกมานิดหน่อยเท่านั้น

เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินได้ยิน ก็ตกตะลึงในทันที

ในเวลาเดียวกันผมก็ได้ยินเหล่าฉินพูดว่า “ถึงว่า ฉันถึงบอกว่าก่อนและหลังต่างกันลิบลับ ที่แท้ตะกี้ก็เป็นพี่ชายของเขา! แต่ว่าตู๋อ่าว ทำไมเสี่ยวเฟิงถึงมีวิญญาณสองดวงละ”

 

เมื่อนักพรตตู๋ได้ยินประโยคนี้ ก็พยักหน้าเล็กน้อย “ศิษย์พี่ เรื่องปริศนาชีวิตของเสี่ยวเฟิง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตอนที่รับเขาเป็นศิษย์ เขาก็อายุ 24 ปีแล้ว สำหรับเรื่องในอดีต เขาเองก็ไม่เคยพูดกับผม และผมเองก็ไม่เคยถามเขาด้วยครับ”

เมื่อทุกคนได้ยินถึงจุดนี้ ก็พยักหน้ารับและไม่จี้ถามอีก

เพราะทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง โดยเฉพาะคนในสายงานของพวกเรา มีข้อห้ามมากมายที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่นเฟิงเฉ่วหานมีวิญญาณสองดวง ส่วนผมก็แต่งงานกับผี

เมื่อเจ้าตัวไม่เต็มใจที่จะพูด นักพรตตู๋อ่าวเองจึงไม่คิดที่จะพูดมากเช่นกัน

ดังนั้น ทุกคนจึงไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้อีก ขอแค่คนสบายดีก็โอเคแล้ว

 

หลังจากปราบหานเฉ่วเฟิงลง ทุกคนก็หันไปมองพวกผีที่อยู่อีกฝั่งของคูน้ำอีกครั้ง

ผีพวกนี้นอกจากแยกเขี้ยวใส่พวกเรา พวกมันก็ไม่สามารถทำอะไรได้อีก

พวกเราไม่กล้าทำอะไรสุ่มสี่สุ่มห้า ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กล้ากลับไปหาที่ตายด้วย

อีกฝ่ายมีผีจำนวนมากขนาดนั้น และอีกอย่างสถานที่แห่งนี้ยังเป็นรังผี ถ้าเข้าไปอีกคงไม่ต่างอะไรกับไปตาย

ดังนั้น ทุกคนจึงมีทางเลือกแค่เดินทางกลับไปที่พัก ส่วนที่เหลือนั่น พวกเราเองก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว

เพราะช่วงเวลาที่หานเฉ่วเฟิงปรากฎตัว จิตวิญญาณของเฟิงเฉ่วหานจะอ่อนล้ามาก

ดังนั้นหลังจากสลบไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ผมเลยต้องแบกเขากลับ

 

ก่อนที่พวกเราจะออกมา ผมยังหันไปมองรอบๆอีกครั้ง คิดจะมองหาร่างของมู่หลงเหยียน เพื่อพูดขอบคุณกับเธอสักคำ

ถ้าไม่ได้เธอเตือนไว้ทันเวลา พวกเราคงหนีออกมาจากป่าช้าเก่าไม่ได้

แต่มันก็น่าเสียดายมาก เพราะผีเมียคนนี้ชอบหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปกติก็ไม่สนใจใยดีผมอยู่แล้ว แล้วแบบนี้ผมจะมองเห็นเธอได้ยังไงละ

ผมจึงพูดกับอากาศว่า “ขอบคุณนะ” จากนั้นก็ออกจากที่นี่ทันที

ระหว่างทางกลับ ผมถามอาจารย์ว่า เรื่องนี่จะจบลงแบบนี้ใช่ไหมครับ

อาจารย์เผยสีหน้าที่ลำบากใจ บอกว่าช่วงนี้พวกเราทำได้แค่ดูไปเรื่อยๆ

 

แต่นักพรตตู๋กลับพูดว่า “เรื่องนี้ไม่จบง่ายๆแบบนี้หรอก ตอนนี้พวกเราเข้าไปกวนน้ำให้ขุ่นแล้ว ถ้าไม่ทำให้สำเร็จ ไม่ช้าก็เร็วเจ้าผีชั่วตัวนั้นต้องบุกมาทวงชีวิตพวกเราแน่!”

“นักพรตตู๋ ถึงผมจะอยากทำ แต่ก็ไม่มีความสามารถพอ!” อาจารย์ถอนหายใจ แต่ก็รู้สึกไม่พอใจอยู่บ้าง

นักพรตตู๋กลับทำสีหน้าเคร่งขรึม “พวกเรากลับไปพักฟื้นสักสองสามวัน ผมจะไปเยี่ยมยอดฝีมืออาวุโสท่านหนึ่ง จากนั้นผมจะขอให้เขาลงเขามาช่วยครับ!”

จู่ๆก็ได้ยินนักพรตตู๋พูดออกมาแบบนี้ แถมยังเรียกว่าท่านผู้อาวุโสด้วย มันจึงทำให้ผมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัย

นักพรตตู๋อายุเท่าไหร่ละ เขาอายุ 60 กว่าเลยนะ แล้วแบบนั้นคนที่เขาเรียกว่าท่านอาวุโส จะมีอายุเท่าไหร่กันละ

 

ไม่รอให้ผมได้พูด เหล่าฉินที่อยู่ข้างๆถามขึ้นมาทันที “ท่านผู้อาวุโสงั้นเหรอ เป็นยอดฝีมือที่ไหนละ”

นักพรตตู๋ยิ้มออกมาเล็กน้อย “ศิษย์พี่ ท่านผู้อาวุโสคนนี้ไม่มีชื่อเสียง แต่เขาเป็นเหมือนกับคุณ ต่างรักความสันโดษทำงานอยู่ในสุสาน และเป็นคนที่ความสามารถจริงๆครับ”

“ฮือ ยังมีเรื่องนี้อยู่อีกงั้นเหรอ” เหล่าฉินพูดด้วยความสงสัย

นักพรตตู้พยักหน้า และพูดออกมาอีกครั้ง “ปีที่แล้วผมกับเสี่ยวเฟิงเข้าไปยังสถานที่ที่เรียกว่าเมืองหวงหลง แต่ดันไปเจอกับผีร้าย และมันยังร้ายกาจมากอีกด้วย”

“ผมและเสี่ยวเฟิงเกือบถูกฆ่าตาย ในวินาทีชีวิต โชคดีที่ท่านผู้อาวุโสมาช่วยไว้! ผมเลยมีวาสนารู้จักกับเขาครับ”

หลังจากฟังจบ ทุกคนก็พยักหน้าอย่างพร้อมใจ

 

สำหรับยอดฝีมือที่แข็งแกร่งมาก เป็นธรรมดาที่เขาจะร้ายกาจมาก ทุกวันนี้พวกเราเองก็ทำได้แค่เชิญคนที่มีฝีมือในสายงานเดียวกันให้ออกมาสู้รบปรบมือเท่านั้น

ไม่อย่างนั้น ถ้ารอให้มันบุกมาถึงที่ เปอร์เซ็นรอดของพวกเราคงเหลือเพียง 20%

นอกจากจะเชิญคนมาช่วยแล้ว สำหรับทุกคนเรื่องที่ทำไมผีชั่วในป่าช้าเก่า ไม่กล้าข้ามคู่น้ำมานั้น ยังเป็นเรื่องที่ทำให้พวกเราเองรู้สึกสงสัยและไม่เข้าใจกันอย่างมาก

ถึงจะคิดตลอดทาง พวกเราก็คิดไม่ออกอยู่ดี

ตอนนี้ พวกเราเดินมาถึงเขตตัวเมืองแล้ว

เฟิงเฉ่วหานเองก็ได้สติแล้วเช่นกัน แต่ร่างกายของเขากำลังอ่อนแอ จึงยังรู้สึกมึนงง และอ้าปากค้างตลอดเวลา

 

เพราะผีชั่วไม่ได้ตามมา พวกเราจึงกลัวว่าเจ้าผีชั่วนั้นจะย้อนกลับไปหาคุณเหวิน

ดังนั้นในเวลาเดียวกันกับที่พวกเรากลับไป ก็โทรศัพท์หาคุณเหวินด้วย

บอกว่าช่วงนี้ให้เขาออกจากตัวเมือง ไปพักอยู่นอกเมืองสักพัก

สำหรับคำแก้ตัวก็เป็นการสร้างขึ้นมาหนึ่งข้อ ใจความหลัก ก็คือการทำแบบนี้จะทำให้วิญญาณของคุณหนู

เหวินจากไปอย่างสบายใจ

เนื่องจากคุณเหวินและภรรยารักลูกสาวมาก พวกเขาจึงเชื่อคำพูดของอาจารย์ โดยไม่ถามอะไรสักคำ บอกว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปพักผ่อนที่นอกเมือง

ขอแค่คุณเหวินออกไป เจ้าผีชั่วตนนั้นก็จะหาตัวเขาไม่เจอไปพักหนึ่ง และไม่มีทางหาที่อยู่ของพวกเราเจอได้ง่ายๆ

 

ดังนั้นช่วงนี้ขอแค่พวกเราซ่อนตัวอยู่ในบ้าน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรมากแล้ว

จากนั้น พวกเราก็เรียกแท็กซี่กลับตำบล

ต่อมาในบ่ายวันนั้น นักพรตตู๋ก็เดินทางออกไปจากตำบลเพียงลำพัง เพื่อไปเชิญท่านผู้อาวุโสผู้นั้นลงมาจากภูเขานั้นเอง

ส่วนเฟิงเฉ่วหานพักอยู่ในสุสาน สองวันแรกพวกเราก็สบายดีอยู่หรอก

ใช้ชีวิตปกติเหมือนคนธรรมดา ไม่มีอะไรผิดปกติเลยสักนิด ผมเองก็เปิดร้านค้าขายของตามปกติ

แต่เมื่อเข้าสู่คืนที่สาม เรื่องวุ่นๆก็เกิดขึ้น

เวลาประมาณตีสามกว่าๆ จู่ๆผมก็ถูกอาจารย์ปลุกให้ตื่นจากฝัน

 

“เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝาน”

ผมลืมตาขึ้นมองอย่างซะลึมซะลือ และพูดด้วยน้ำเสียงงัวเงีย “มีอะไรครับอาจารย์”

แต่อาจารย์กลับพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พูดเบาๆ รีบใส่เสื้อผ้า ไอ้ผีชั่วนั้นบุกมาแล้ว!”

ผมกำลังงัวเงีย เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนั้น “พรึบ” สีหน้าของผมก็เปลี่ยนไปทันที

“ไอ้ ไอ้ผีชั่วนั้นมาเหรอครับ” ผมแสดงท่าทางหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย

“อาจารย์ก็ยังไม่แน่ใจ แต่ข้างนอกประตูมีฝูงแมวอยู่หนึ่งฝูง!” อาจารย์พูดต่อ

แต่เสียงของเขาพึ่งตกลง ผมก็ได้ยินเสียงร้องเบาๆของแมวดังมาจากข้างนอก

“เมี๊ยว เมี๊ยว”

 

ไม่รอช้า รีบลุกขึ้นมาใส่เสื้อผ้าและรองเท้าทันที จากนั้นผมก็เปิดหน้าต่างแอบมองดูสถานการณ์ข้างนอก

ภายใต้แสงไฟสลัวๆ ผมเห็นแมวป่าประมาณ 20 ตัวได้ แถมยังมีลวดลายต่างกันออกไป

และหนึ่งในนั้นที่สะดุดตาที่สุดก็คือแมวอ้วนดำ ซึ่งเจ้าแมวดำตัวนี้มันคุ้นตามาก

แค่มองแวบแรกก็รู้ทันที มันก็คือแมวศพที่ผีชั่วเลี้ยงไว้นั่นเอง

ถ้าเจ้าแมวดำอยู่ที่นี่ งั้นก็แสดงว่าเจ้าผีชั่วต้องอยู่แถวนี้แน่นอน

พวกมันรวมตัวกันอยู่หน้าประตูบ้านของผม มันต้องหาที่อยู่ของพวกเราเจอแล้วอย่างแน่นอน คงได้กลิ่นอายของพวกเรา

 

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ อาจารย์ยังพูดเพิ่มว่า “นอกจากแมวพวกนี้แล้ว ที่หน้าบ้านเรายังมีผีเร่รอนอยู่สองสามตัวด้วย พวกมันน่าจะมาบุกโจมตีพวกเรา”

ผมขมวดคิ้ว “อาจารย์ พวกเราต้องถูกพบแล้วแน่ๆ”

แต่หลังจากผมพูดจบ ทันใดนั้นก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น “ก๊อกก๊อกก๊อก!”

เสียงเคาะประตูกลางดึก แถมยังดูรุนแรงเป็นพิเศษ

นอกจากนี้ ยังมีน้ำเสียงเย็นชาของผู้ชายดังมาจากข้างนอกประตู “นักพรต เมื่อรู้ว่าพวกเรามาแล้ว ทำไมยังไม่เปิดประตูฮะ”

 

หลังจากพูดจบ ที่ประตูก็มีเสียงดัง “ปังปังปัง” เหมือนกับเขากำลังทุบประตูอยู่

ไม่ใช่แค่นี้ แมวที่อยู่ด้านนอกยังส่งเสียงร้อง “เมี๊ยวเมี๊ยวเมี๊ยว”

เวลาตีสาม จู่ๆก็มีเสียงแมว 10 กว่าตัวร้องขึ้นมา

ความรู้สึกแบบนั้นไม่เพียงทำให้คนฟังขนลุก แต่ยังทำให้ความกลัวเกิดขึ้นในใจของผู้คนด้วย

เมื่อผมและอาจารย์เห็นสิ่งนี้ ก็เผยสีหน้าที่หวาดกลัวออกมา

อาจารย์รีบหยิบยันต์ออกมาสามแผ่น เดินไปติดที่ประตูอย่างรวดเร็ว เพื่อป้องกันไม่ให้ผีชั่วบุกเข้ามาทางประตูได้

 

ส่วนตัวผมก็รีบวิ่งไปจับดาบไม้ เพื่อเตรียมตัวรับมือการต่อสู้

“อาจารย์ ถ้าพวกมันทำลายประตูเข้ามาได้ พวกเราต้องสู้ตายกับพวกมันซินะครับ!” ผมพูดออกมาอย่างโกรธแค้น  ตอนนี้ถอยจนไม่รู้จะถอยไปไหนแล้ว นักพรตตู๋ก็ยังไม่กลับมา ตอนนี้จึงทำได้เพียงพึ่งพาตัวเองเท่านั้น

อาจารย์กลับขมวดคิ้ว รีบพูดกับผมว่า “สู้อะไรละ อีกเดี๋ยวอาจารย์จะออกไปดึงดูดผีชั่วให้ จากนั้นแกก็รีบหนีไปข้างหลัง จากนั้นก็ไปรวมตัวกับเหล่าฉินและเฟิงเฉ่วหานที่สุสาน รอนักพรตตู๋กลับมาเงียบๆ”

เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ ผมก็เงียบไปพักหนึ่ง

อาจารย์ไม่ใช่คู่ต่อสู้กับผีชั่วสักหน่อย ถ้าอาจารย์ดึงตัวผีชั่วไว้ แบบนั้นมันก็ไม่เท่ากับเข้าถ้ำเสือเหรอ แล้วแบบนั้นเขาจะรอดออกมาได้ยังไงละ

 

ผมก็ปฏิเสธออกไปตรงๆ “ไม่ครับอาจารย์ ถ้าจะไปก็ต้องไปด้วยกัน”

อาจารย์โมโหนิดหน่อย เขากระตุกคิ้วหนึ่งครั้ง จากนั้นก็พูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นมาก “ไอ้เด็กนี้ทำไมดื้อแบบนี้ฮะ ถ้ายังชักช้า อีกเดี๋ยวพวกเราสองคนจะไม่มีใครหนีรอดกันได้เลยนะ!”

ขณะที่พูด เสียงทุบประตู ก็ดังขึ้นเรื่อยๆ

แม้อาจารย์จะพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังมาก แต่ผมตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับอาจารย์

แต่ไม่รอให้ผมได้ตอบโต้ จู่ๆในบ้านก็มีเสียงผีเมียดังขึ้น “พวกคุณสองคนไม่ต้องหนีไปไหนทั้งนั้นแหละ คืนนี้ถ้าใครหน้าไหนกล้าเข้ามาในบ้านหลังนี้ แม่จะฆ่ามันเอง……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset