ตอนที่ 57 คำพูดที่น่าตกใจ
พวกเรากำลังพักผ่อนกันอยู่ในห้อง เพราะไม่มีอะไรทำ
แต่จู่ๆพวกเราก็เห็นนักพรตตู๋พาคนแก่และผู้ชายร่างอ้วนเข้ามา
เมื่อเห็นนักพรตตู๋กลับมา ทุกคนก็ดูคึกคักมากขึ้น
ต่างคนต่างลุกขึ้น เตรียมตัวต้อนรับนักพรตตู๋ แต่เมื่อเห็นคนแก่และคนอ้วนหัวล้าน ใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะเผยความสงสัยออกมา
หรือว่าทั้งสองคนนี้คือคนที่นักพรตตู๋เชิญมา จากสิ่งที่นักพรตตู๋บอก อายุของผู้อาวุโสท่านนั้น อาจเป็นตาแก่คนนี้ก็ได้
แต่ ตาแก่คนนี้กลับเดินแทบจะไม่ไหว แล้วแบบนั้นเขาจะไปจับผีได้ยังไงละ
แล้วก็ผู้ชายร่างอ้วนวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ก็รูปร่างอวบอ้วน เดินมาแค่ไม่เท่าไหร่ก็หอบเหนื่อยซะแล้ว หรือว่าคนประเภทนี้ก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายด้วยอย่างนั้นเหรอ
ผมพูดอยู่ในใจ แต่เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกลับรีบออกมาต้อนรับ
“อาจารย์! ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป!” ขณะที่พูด เจ้าเฟิงเฉ่วหานก็ยังแสดงท่าทางเคารพมากเขาจับมือทักทายกับคนแก่และชายร่างอ้วน เห็นได้ชัดว่าเขาดีใจมากๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ
บ้าไปแล้ว! นี่เป็นยอดฝีมือที่ท่านนักพรตตู๋เป็นคนเชิญมาจริงๆเหรอ
นอกจากผมแล้ว แม้แต่อาจารย์และเหล่าฉิน ก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ
คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาเชิญมา จะเป็นคนลักษณะแบบนี้
ผิดจากยอดฝีมือสง่างามที่อยู่ในใจของผม ราวฟ้ากับเหว
“ท่านนักพรตตู๋!” อาจารย์ทักทาย
เหล่าฉินเองก็พูดตาม “ศิษย์น้อง ทั้งสองท่านนี่คือ”
นักพรตตู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “เหล่าติง ศิษย์พี่ ท่านนี้คือผู้อาวุโสหวางที่ผมเคยเล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้ ส่วนท่านนี้ คือศิษย์เอกของผู้อาวุโสหวาง นักพรตโป!”
เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็เข้าไปจับมืออย่างสุภาพมากๆ จากนั้นก็ตะโกน “ท่านผู้อาวุโส” เมื่อแสดงความเคารพออกมาหนึ่งครั้ง
ในเวลาเดียวกันก็จับมือนักพรตโปด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงการทักทาย!
หลังจากนั้น ชายแก่พยักหน้าเล็กน้อย เขาก็ไม่พูดอะไรไร้สาระ รีบพูดกับพวกเราว่า “ทุกคนมานั่งคุยกันเถอะ! หลายปีมานี้ฉันไม่ค่อยได้ขยับตัวสักเท่าไหร่ นี่ก็ยืนมานานมากแล้ว มันปวดหลังน่ะ!”
“เชิญท่านผู้อาวุโสนั่งทางนี้เลยครับ!” นักพรตตู๋รีบพูด
จากนั้นก็รีบประคอง ชายชรานั่งลง
ส่วนชายร่างอ้วนวัยกลางคน แม้จะดูเหนื่อย แต่เขากลับยืนอยู่ข้างๆตามมารยาท ดูไม่มีเจตนาจะนั่งลงก่อนเลยสักนิด
อาจารย์และคนอื่นๆต่างเป็นคนใน รู้ดีว่ากฎที่มีส่วนใหญ่ล้วนเป็นกฎเก่าแก่ ถ้าท่านผู้อาวุโสยังไม่ได้นั่ง ทุกคนก็ไม่สามารถนั่งได้เช่นกัน
หลังจากนั้นท่านผู้อาวุโสหวาง ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องสุภาพกันถึงขนาดนั้นก็ได้ ที่จริงฉันก็เป็นคนไม่มีมารยาทอะไร ตอนเป็นวัยรุ่นก็เป็นสัปเหร่อคนหนึ่ง ต่อมาเพราะเกิดเรื่องนิดหน่อย เลยถูกบังคับให้เรียนวิชา!”
เมื่อผมได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็แสดงสีหน้าอึดอัดใจ เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือโกหก
แต่ท่านนักพรตตู๋กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโสหวางคุณอย่าถ่อมตัวเลยครับ พลังของคุณผมเคยเห็นมากับตา ครั้งนี้ที่สามารถเชิญคุณลงเขามาได้ ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากๆแล้วครับ!”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เสี่ยวตู๋ยกย่องฉันเกินไปแล้ว ฉันพาลูกศิษย์มาดูสักหน่อย ถ้าเจ้าสิ่งนั้นมันร้ายกาจจริงๆ ฉันก็สามารถหาคนมากำจัดมันให้ได้!” ท่านผู้อาวุโสหวางยิ้มอย่างเฉยชา
แต่นักพรตตู๋ก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงทำตามความประสงค์ของอาวุโสหวาง นั่งลงที่โต๊ะหิน
ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์ของตัวเอง
หลังจากนั่งลง ทุกคนก็เริ่มคุยกัน
ขณะนั้นผมก็ได้ยินชายร่างอ้วนวัยกลางคนนั่นพูดว่า “พวกเราคุยกันสั้นๆเถอะ! ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”
ผู้ชายคนนี้มีเนื้อเสียงค่อนข้างทุ้ม แม้จะตัวอ้วน แต่เวลาที่คุยเรื่องสำคัญ ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความเฉียบคมอย่างมาก
เนื่องจากสองสามวันมานี้ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้อยู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงหันมามองตาอาจารย์ของผม
อาจารย์ก็ไม่รอช้า รีบพูดขึ้นมาทันที “ท่านผู้อาวุโส เจ้าผีชั่วตัวนี้ร้ายกาจมากๆ มันฆ่าตายยากมากครับ……”
อาจารย์เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่พวกเราเจอเมื่อวันก่อน ให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ
แน่นอนว่า ไม่ได้พูดเรื่อง ความสัมพันธ์ของผมกับมู่หลงเหยียน
เพียงเล่าว่า หลังจากพวกเราใช้ดาบแทงเจ้าผีชั่วตาย วิญญาณของเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยออกมาจากการสำรอกของแมวป่าตัวนั้น
ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็ยังพูดถึงเรื่องที่ตัวเองเดาเอาไว้
เกี่ยวกับเรื่องราวของโถชีวิต และเรื่องที่มันไม่ใช่ตัวจริงของผีชั่ว
แต่ขณะนั้นเอง ผมก็พบว่าชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างๆ กลับกำลังเพ่งสมาธิมองสำรวจตัวผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังมองหาอะไร
หลังจากท่านผู้อาวุโสหวางได้ยิน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย
จากนั้นก็หันไปพูดกับชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างๆว่า “เสี่ยวโป ไม่ต้องรอให้ถึงสามวันแล้ว คืนนี้นายไปจัดการเจ้าปีศาจนี้ซะ!”
ตาแก่นี้ก็พูดได้ง่ายดายเกินไปนะ เหมือนไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาเลยสักนิด
แต่ผมมองออก ว่าตาแก่คนนี้ดูสงบจริงๆ เวลาพูด ดวงตาทั้งสองข้างต่างไม่สั่นไหวเลยสักนิด
ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง ช่างดูมั่นใจจริงๆ
แต่เมื่อพวกเราได้ยิน กลับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
ไม่ไปดูให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยเหรอ แค่ได้ยินเพียงรอบเดียว ก็คิดจะลงมือเลยงั้นเหรอ
ผมอดไม่ได้ที่จะพูดเพิ่ม “ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป ก่อนหน้าพวกเราเคยไปที่ป่าช้าเก่ากันมาแล้ว นอกจากผีชั่วแล้ว ที่นั้นยังเป็นรังผีมีผีจำนวนเยอะมากนะครับ ถ้าพวกเราบุกเข้าไป เกรง เกรงว่าจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้นนะครับ……”
เมื่อชายร่างอ้วนได้ยินผมพูดแบบนี้ จู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา “เจ้าหนู แค่ผีกระจอกๆไม่กี่ตัว ก็ทำให้นายกลัวจนเป็นแบบนี้แล้วเหรอ คืนนี้ฉันจะทำให้มันตายให้หมด”
จู่ๆตาอ้วนก็พูดแบบนี้ มันจึงดูประทับใจมาก และดูเป็นคนมั่นใจสุดๆเช่นกัน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ แถมยังพูดจาถึงขนาดนี้ แล้วผมจะพูดอะไรได้ละ
ส่วนอาจารย์และเหล่าฉิน ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร
แต่นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหาน กลับเชื่อในคำพูดของคนทั้งสองมาก
ดังนั้นผมจึงถามเฟิงเฉ่วหานเป็นการส่วนตัวว่า ทั้งสองคนร้ายกาจอย่างที่พูดจริงๆรึเปล่า
คนหนึ่งก็แก่จนเดินแทบไม่ไหว ส่วนอีกคนก็อ้วนจนมีน้ำหนักเกิน 200 กิโลกรัมแล้วมั้ง แล้วแบบนี้พวกเขาจะไปปราบผีชั่วได้จริงๆเหรอ
แต่เฟิงเฉ่วหานกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น บอกว่าคนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา น้ำทะเลก็ไม่อาจตวงวัดได้เช่นกัน
บอกว่าถ้าท่านผู้อาวุโสหวางนั่งเป็นพยาน แล้วท่านนักพรตโปกล้าพูดแบบนี้ แสดงว่ามันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน พวกเราแค่ฟังและทำตามที่เขาพูดก็พอ
เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความมั่นใจแบบนี้ ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย
หลังจากตกลงเรื่องเวลาเรียบร้อยแล้ว ผมและอาจารย์ก็กลับมาเตรียมตัวที่ร้าน
คนจริงย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด ชายสองคนนี้จะมีความสามารถขนาดไหนนั้น คืนนี้ที่ป่าช้าเก่าผมคงได้เห็นกับตา
หลังจากทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง 4 โมงเย็น เหล่าฉินเริ่มขับรถขนศพไปยังป่าช้าเก่า
เมื่อพวกเรามาถึงชานเมือง ฟ้าก็มืดแล้ว
ทุกคนจึงหาอะไรกินนิดหน่อย ส่วนตาอ้วนคนนั้นดื่มเบียร์ไปสองขวด เหมือนเขาไม่กลัวฤทธิ์
ของแอลกอฮอลที่จะส่งผลกับตัวเองในคืนนี้เลย
หลังจากนั้น พวกเราก็ขับรถตรงไปยังป่าช้าเก่า
ระหว่างทางถนนเต็มไปด้วยดินโคลน หลังจากพวกเรามาถึงป่าช้าเก่า ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว
ท้องฟ้ามืดมิด รอบๆป่าช้าเก่าไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ จึงมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็มีเมฆดำเข้าปกคลุมบ้างบางครั้ง ทำให้บรรยากาศของที่นี่แปลกประหลาดอย่างสุดขั้ว
เพราะพวกเราเคยมาที่นี่แล้ว ดังนั้นกลุ่มชายเจ็ดแปดคนจึงไม่เดินหลงทาง พวกเรารีบเดินตรงมายังวัดร้างทันที
ผมและเฟิงเฉ่วหานเป็นคนเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่ก็ตื่นกลัวเล็กน้อย
หลังจากนั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ออกมาจากพุ่มไม้ ปรากฎตัวขึ้นที่นอกเขตวัดร้าง
พึ่งออกมาจากพุ่มไม้ ผมก็หันไปพูดกับท่านผู้อาวุโสหวางและตาอ้วนว่า “ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป นี่คือวัดร้างที่ผีชั่วซ่อนตัวอยู่ครับ”