ศพ – ตอนที่ 57 คำพูดที่น่าตกใจ

ตอนที่ 57 คำพูดที่น่าตกใจ

พวกเรากำลังพักผ่อนกันอยู่ในห้อง เพราะไม่มีอะไรทำ

แต่จู่ๆพวกเราก็เห็นนักพรตตู๋พาคนแก่และผู้ชายร่างอ้วนเข้ามา

เมื่อเห็นนักพรตตู๋กลับมา ทุกคนก็ดูคึกคักมากขึ้น

ต่างคนต่างลุกขึ้น เตรียมตัวต้อนรับนักพรตตู๋ แต่เมื่อเห็นคนแก่และคนอ้วนหัวล้าน ใจของพวกเราก็อดไม่ได้ที่จะเผยความสงสัยออกมา

หรือว่าทั้งสองคนนี้คือคนที่นักพรตตู๋เชิญมา จากสิ่งที่นักพรตตู๋บอก อายุของผู้อาวุโสท่านนั้น อาจเป็นตาแก่คนนี้ก็ได้

 

แต่ ตาแก่คนนี้กลับเดินแทบจะไม่ไหว แล้วแบบนั้นเขาจะไปจับผีได้ยังไงละ

แล้วก็ผู้ชายร่างอ้วนวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ ก็รูปร่างอวบอ้วน เดินมาแค่ไม่เท่าไหร่ก็หอบเหนื่อยซะแล้ว หรือว่าคนประเภทนี้ก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายด้วยอย่างนั้นเหรอ

ผมพูดอยู่ในใจ แต่เฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆกลับรีบออกมาต้อนรับ

“อาจารย์! ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป!” ขณะที่พูด เจ้าเฟิงเฉ่วหานก็ยังแสดงท่าทางเคารพมากเขาจับมือทักทายกับคนแก่และชายร่างอ้วน เห็นได้ชัดว่าเขาดีใจมากๆ

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจ

บ้าไปแล้ว! นี่เป็นยอดฝีมือที่ท่านนักพรตตู๋เป็นคนเชิญมาจริงๆเหรอ

 

นอกจากผมแล้ว แม้แต่อาจารย์และเหล่าฉิน ก็ยังแสดงสีหน้าประหลาดใจ

คิดไม่ถึงว่าคนที่เขาเชิญมา จะเป็นคนลักษณะแบบนี้

ผิดจากยอดฝีมือสง่างามที่อยู่ในใจของผม ราวฟ้ากับเหว

“ท่านนักพรตตู๋!” อาจารย์ทักทาย

เหล่าฉินเองก็พูดตาม “ศิษย์น้อง ทั้งสองท่านนี่คือ”

นักพรตตู๋พูดด้วยรอยยิ้ม “เหล่าติง ศิษย์พี่ ท่านนี้คือผู้อาวุโสหวางที่ผมเคยเล่าให้ฟังเมื่อก่อนหน้านี้ ส่วนท่านนี้ คือศิษย์เอกของผู้อาวุโสหวาง นักพรตโป!”

 

เมื่ออาจารย์และเหล่าฉินได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็เข้าไปจับมืออย่างสุภาพมากๆ จากนั้นก็ตะโกน “ท่านผู้อาวุโส” เมื่อแสดงความเคารพออกมาหนึ่งครั้ง

ในเวลาเดียวกันก็จับมือนักพรตโปด้วยเช่นกัน เพื่อแสดงการทักทาย!

หลังจากนั้น ชายแก่พยักหน้าเล็กน้อย เขาก็ไม่พูดอะไรไร้สาระ รีบพูดกับพวกเราว่า “ทุกคนมานั่งคุยกันเถอะ! หลายปีมานี้ฉันไม่ค่อยได้ขยับตัวสักเท่าไหร่ นี่ก็ยืนมานานมากแล้ว มันปวดหลังน่ะ!”

“เชิญท่านผู้อาวุโสนั่งทางนี้เลยครับ!” นักพรตตู๋รีบพูด

จากนั้นก็รีบประคอง ชายชรานั่งลง

ส่วนชายร่างอ้วนวัยกลางคน แม้จะดูเหนื่อย แต่เขากลับยืนอยู่ข้างๆตามมารยาท ดูไม่มีเจตนาจะนั่งลงก่อนเลยสักนิด

 

อาจารย์และคนอื่นๆต่างเป็นคนใน รู้ดีว่ากฎที่มีส่วนใหญ่ล้วนเป็นกฎเก่าแก่ ถ้าท่านผู้อาวุโสยังไม่ได้นั่ง ทุกคนก็ไม่สามารถนั่งได้เช่นกัน

 

หลังจากนั้นท่านผู้อาวุโสหวาง ก็หัวเราะออกมาเล็กน้อย “ไม่ต้องสุภาพกันถึงขนาดนั้นก็ได้ ที่จริงฉันก็เป็นคนไม่มีมารยาทอะไร ตอนเป็นวัยรุ่นก็เป็นสัปเหร่อคนหนึ่ง ต่อมาเพราะเกิดเรื่องนิดหน่อย เลยถูกบังคับให้เรียนวิชา!”

 

เมื่อผมได้ยินคำพูดเหล่านี้ก็แสดงสีหน้าอึดอัดใจ เพราะไม่รู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือโกหก

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับยิ้มออกมาเล็กน้อย “ท่านผู้อาวุโสหวางคุณอย่าถ่อมตัวเลยครับ พลังของคุณผมเคยเห็นมากับตา ครั้งนี้ที่สามารถเชิญคุณลงเขามาได้ ก็รู้สึกเป็นเกียรติมากๆแล้วครับ!”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า! เสี่ยวตู๋ยกย่องฉันเกินไปแล้ว ฉันพาลูกศิษย์มาดูสักหน่อย ถ้าเจ้าสิ่งนั้นมันร้ายกาจจริงๆ ฉันก็สามารถหาคนมากำจัดมันให้ได้!” ท่านผู้อาวุโสหวางยิ้มอย่างเฉยชา

 

แต่นักพรตตู๋ก็ไม่พูดอะไรมาก เพียงทำตามความประสงค์ของอาวุโสหวาง นั่งลงที่โต๊ะหิน

ส่วนผมและเฟิงเฉ่วหาน ก็ไม่ได้พูดอะไร ยืนอยู่ข้างหลังอาจารย์ของตัวเอง

หลังจากนั่งลง ทุกคนก็เริ่มคุยกัน

 

ขณะนั้นผมก็ได้ยินชายร่างอ้วนวัยกลางคนนั่นพูดว่า “พวกเราคุยกันสั้นๆเถอะ! ว่าตอนนี้สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง”

ผู้ชายคนนี้มีเนื้อเสียงค่อนข้างทุ้ม แม้จะตัวอ้วน แต่เวลาที่คุยเรื่องสำคัญ ดวงตาของเขาก็เผยให้เห็นความเฉียบคมอย่างมาก

 

เนื่องจากสองสามวันมานี้ท่านนักพรตตู๋ไม่ได้อยู่บ้าน ดังนั้นเขาจึงหันมามองตาอาจารย์ของผม

อาจารย์ก็ไม่รอช้า รีบพูดขึ้นมาทันที “ท่านผู้อาวุโส เจ้าผีชั่วตัวนี้ร้ายกาจมากๆ มันฆ่าตายยากมากครับ……”

 

อาจารย์เริ่มเล่าเหตุการณ์ที่พวกเราเจอเมื่อวันก่อน ให้พวกเขาฟังตั้งแต่ต้นจนจบ

แน่นอนว่า ไม่ได้พูดเรื่อง ความสัมพันธ์ของผมกับมู่หลงเหยียน

 

เพียงเล่าว่า หลังจากพวกเราใช้ดาบแทงเจ้าผีชั่วตาย วิญญาณของเขาก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง โดยออกมาจากการสำรอกของแมวป่าตัวนั้น

 

ในเวลาเดียวกัน พวกเราก็ยังพูดถึงเรื่องที่ตัวเองเดาเอาไว้

 

เกี่ยวกับเรื่องราวของโถชีวิต และเรื่องที่มันไม่ใช่ตัวจริงของผีชั่ว

แต่ขณะนั้นเอง ผมก็พบว่าชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างๆ กลับกำลังเพ่งสมาธิมองสำรวจตัวผม ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขากำลังมองหาอะไร

 

หลังจากท่านผู้อาวุโสหวางได้ยิน เขาก็พยักหน้าเล็กน้อย

จากนั้นก็หันไปพูดกับชายร่างอ้วนที่อยู่ข้างๆว่า “เสี่ยวโป ไม่ต้องรอให้ถึงสามวันแล้ว คืนนี้นายไปจัดการเจ้าปีศาจนี้ซะ!”

 

ตาแก่นี้ก็พูดได้ง่ายดายเกินไปนะ เหมือนไม่เอาเรื่องนี้มาเป็นปัญหาเลยสักนิด

แต่ผมมองออก ว่าตาแก่คนนี้ดูสงบจริงๆ เวลาพูด ดวงตาทั้งสองข้างต่างไม่สั่นไหวเลยสักนิด

 

ผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง ช่างดูมั่นใจจริงๆ

แต่เมื่อพวกเราได้ยิน กลับเผยสีหน้าตกตะลึงออกมา

ไม่ไปดูให้มันละเอียดกว่านี้หน่อยเหรอ แค่ได้ยินเพียงรอบเดียว ก็คิดจะลงมือเลยงั้นเหรอ

 

ผมอดไม่ได้ที่จะพูดเพิ่ม “ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป ก่อนหน้าพวกเราเคยไปที่ป่าช้าเก่ากันมาแล้ว นอกจากผีชั่วแล้ว ที่นั้นยังเป็นรังผีมีผีจำนวนเยอะมากนะครับ ถ้าพวกเราบุกเข้าไป เกรง เกรงว่าจะเกิดเรื่องอันตรายขึ้นนะครับ……”

 

เมื่อชายร่างอ้วนได้ยินผมพูดแบบนี้ จู่ๆเขาก็ยิ้มออกมา “เจ้าหนู แค่ผีกระจอกๆไม่กี่ตัว ก็ทำให้นายกลัวจนเป็นแบบนี้แล้วเหรอ คืนนี้ฉันจะทำให้มันตายให้หมด”

 

จู่ๆตาอ้วนก็พูดแบบนี้ มันจึงดูประทับใจมาก และดูเป็นคนมั่นใจสุดๆเช่นกัน

เมื่อเห็นอีกฝ่ายเป็นแบบนี้ แถมยังพูดจาถึงขนาดนี้ แล้วผมจะพูดอะไรได้ละ

 

ส่วนอาจารย์และเหล่าฉิน ก็เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร

แต่นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหาน กลับเชื่อในคำพูดของคนทั้งสองมาก

ดังนั้นผมจึงถามเฟิงเฉ่วหานเป็นการส่วนตัวว่า ทั้งสองคนร้ายกาจอย่างที่พูดจริงๆรึเปล่า

คนหนึ่งก็แก่จนเดินแทบไม่ไหว ส่วนอีกคนก็อ้วนจนมีน้ำหนักเกิน 200 กิโลกรัมแล้วมั้ง แล้วแบบนี้พวกเขาจะไปปราบผีชั่วได้จริงๆเหรอ

 

แต่เฟิงเฉ่วหานกลับพยักหน้าอย่างหนักแน่น บอกว่าคนเราไม่อาจตัดสินกันที่หน้าตา น้ำทะเลก็ไม่อาจตวงวัดได้เช่นกัน

 

บอกว่าถ้าท่านผู้อาวุโสหวางนั่งเป็นพยาน แล้วท่านนักพรตโปกล้าพูดแบบนี้ แสดงว่ามันจะต้องไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน พวกเราแค่ฟังและทำตามที่เขาพูดก็พอ

 

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดด้วยความมั่นใจแบบนี้  ผมก็รู้สึกสบายใจขึ้นมานิดหน่อย

หลังจากตกลงเรื่องเวลาเรียบร้อยแล้ว ผมและอาจารย์ก็กลับมาเตรียมตัวที่ร้าน

 

คนจริงย่อมไม่เกรงกลัวสิ่งใด ชายสองคนนี้จะมีความสามารถขนาดไหนนั้น คืนนี้ที่ป่าช้าเก่าผมคงได้เห็นกับตา

 

หลังจากทุกคนเตรียมตัวเรียบร้อย เวลาก็ล่วงเลยมาจนถึง 4 โมงเย็น เหล่าฉินเริ่มขับรถขนศพไปยังป่าช้าเก่า

 

เมื่อพวกเรามาถึงชานเมือง ฟ้าก็มืดแล้ว

ทุกคนจึงหาอะไรกินนิดหน่อย ส่วนตาอ้วนคนนั้นดื่มเบียร์ไปสองขวด เหมือนเขาไม่กลัวฤทธิ์

ของแอลกอฮอลที่จะส่งผลกับตัวเองในคืนนี้เลย

หลังจากนั้น พวกเราก็ขับรถตรงไปยังป่าช้าเก่า

ระหว่างทางถนนเต็มไปด้วยดินโคลน หลังจากพวกเรามาถึงป่าช้าเก่า ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว

 

ท้องฟ้ามืดมิด รอบๆป่าช้าเก่าไม่มีชาวบ้านอาศัยอยู่ จึงมืดมิดไร้ซึ่งแสงไฟจากบ้านเรือน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงลอยสูงอยู่บนท้องฟ้า แต่ก็มีเมฆดำเข้าปกคลุมบ้างบางครั้ง ทำให้บรรยากาศของที่นี่แปลกประหลาดอย่างสุดขั้ว

 

เพราะพวกเราเคยมาที่นี่แล้ว ดังนั้นกลุ่มชายเจ็ดแปดคนจึงไม่เดินหลงทาง พวกเรารีบเดินตรงมายังวัดร้างทันที

ผมและเฟิงเฉ่วหานเป็นคนเดินนำอยู่ข้างหน้า แต่ก็ตื่นกลัวเล็กน้อย

 

หลังจากนั้นผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง พวกเราก็ออกมาจากพุ่มไม้ ปรากฎตัวขึ้นที่นอกเขตวัดร้าง

พึ่งออกมาจากพุ่มไม้ ผมก็หันไปพูดกับท่านผู้อาวุโสหวางและตาอ้วนว่า “ท่านผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตโป นี่คือวัดร้างที่ผีชั่วซ่อนตัวอยู่ครับ”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset