ศพ – ตอนที่ 59 วิชาลับ

ตอนที่ 59 วิชาลับ

 

ตอนนี้ ผีชุดขาวกำลังพุ่งเข้ามาหาพวกเรา

แต่ตาแก่อย่างผู้อาวุโสหวาง กลับแสดงท่าทางสงบ ไม่เผยท่าทีตื่นกลัวออกมาเลยสักนิด

ไม่เพียงเท่านั้น ด้านหลังยังมีเสียงของ นักพรตโปดังขึ้นมา “เก้าอักขระปราบมารร้าย”

ภายในสายงานของพวกเรา การเสกคาถา จะแบ่งออกเป็นสามส่วนหลักๆคือ “ยันต์ วงเวท และศาสตร์เฉพาะ”

และในสามส่วนนี้ ยังแบ่งออกเป็นต่าวจุน 5 อักขระและต่าวเหมิน 9 อักขระ

ก็เหมือนกับคำว่า “ขอเชิญเทพลุ่ยลิ้ง” และ “หลิน ปิง โต้ว เจอะ เจีย เจิ้น เลี่ย เฉียน ฉิง”

 

“ยันต์” จะใช้กับต่าวจุน 5 อักขระ

“วงเวท” จะใช้กับต่าวเหมิน 9 อักขระ

ส่วน “ศาสตร์เฉพาะ” มีเทคนิคมากมาย เป็นการผสมกัน ขึ้นอยู่กับการใช้ของแต่ละคน และแน่นอนว่ามันเป็นการนำสองอย่างแรกมาผสมกัน

ตอนนี้ที่นักพรตโปใช้ ไม่มีทั้งยันต์และวงเวท แต่เป็นการใช้คาถาต่าวเหมิน 9 อักขระ

เห็นได้ชัดว่า สิ่งที่ท่านนักพรตโปกำลังใช้คือ “ศาสตร์เฉพาะ”

ส่วนเป็นวิชาอะไรนั้น ทุกคนเองก็ไม่รู้เช่นกัน

 

เพียงแค่ได้ยินนักพรตโปพูดว่า “จงเปิดออก” จากนั้นพลังที่อยู่ในตัวของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

ดูเหมือนจู่ๆพลังในร่างกาย ก็ระเบิดออกมา ไร้ซึ่งรูปแบบ จนทำให้คนถึงกลับรู้สึกกดดัน

ตอนนี้เขามีเส้นเลือดสีน้ำเงินปรากฎขึ้นมาบนผิวกาย ใบหน้าก็ดูดุร้ายขึ้นเยอะมาก

โดยเฉพาะดวงตาของเขาคู่นั้น ในเวลานี้มันกลับเต็มไปด้วยเลือด เมื่อจ้องมองก็จะเห็นเลือดสีแดงสดที่ไหลเวียนอยู่ในนั้นได้อย่างชัดเจน

แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ หลังจากนักพรตโปเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

เขาก็ดึงดาบไม้ออกมา จ้องมองไปยังผีร้ายที่พุ่งเข้ามาและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ไอ้พวกชั่ว ดูเอาไว้ว่าฉันจะกำจัดพวกแกยังไง!”

 

หลังจากพูดจบ ท่านนักพรตโปก็ยกดาบไม้ขึ้นและพุ่งตัวออกไปฆ่าผีร้ายทันที

ร่างกายที่มีน้ำหนัก 200 กว่ากิโลกรัม จู่ๆก็วิ่งไปข้างหน้า จากนั้นก็ใช้ความเร็วราวสายลม ตรงไปยังกลุ่มผีร้ายที่อยู่ด้านหน้าทันที

แม้นักพรตโปจะมีรูปร่างค่อนข้างอ้วน แต่วินาทีนี้ความเร็วของเขากลับค่อนข้างเร็ว

ภาพดังกล่าว ทำให้พวกเราทุกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นถึงกับตกตะลึง

ชายคนหนึ่งที่อ้วนขนาดนี้ เมื่อกี้ตอนเดินขึ้นเขายังเดินไปหอบไปเลยแท้ๆ

แต่ตอนนี้ กลับเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกเราตกใจได้ยังไงละครับ

“ท่าน ท่านนักพรตโปเร็วมาก”

 

แต่เสียงพึ่งจางหาย จู่ๆนักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ท่านนักพรตโปเป็นคนที่มีพลังระดับสูง ตอนนี้เขาขับเคลื่อนพลังที่จุดตานเทียน จะต้องใช้เสริมกำลังให้กับร่างกายแน่! พวกเราก็อย่าช้าอยู่เลย รีบเข้าไปช่วยนักพรตโปปราบผีชั่วพวกนี้กันเถอะ!”

เมื่อได้ยินนักพรตตู๋พูดแบบนั้น ผมก็เข้าใจขึ้นมาบ้าง

เขาน่าจะใช้วิชาเต๋า ไม่อย่างนั้นร่างกายที่อวบอ้วนของเขา ก็คงวิ่งไม่ได้เร็วขนาดนั้นแน่

จากนั้น พวกเราก็วิ่งเข้าไปสมทบทันที เพื่อเข้าไปช่วยท่านนักพรตโปปราบเจ้าพวกนี้อีกแรง

แต่ในเวลานี้ นักพรตโปก็ได้เผชิญหน้ากับพวกผีชั่วเรียบร้อยแล้ว

ตอนแรกผมคิดว่าจะเป็นฉากการต่อสู้ที่ดุเดือด แต่ใครจะไปรู้ว่าพลังของท่านนักพรตโปสูงมาก เวลาลงมือก็โหดเหี้ยมอีกด้วย

 

เพียงได้สัมผัสกับศัตรู “บึกบึก” เสียงคมดาบก็ดังขึ้นสองครั้ง เขาไม่ลังเลใดๆ ใช้ดาบฟันไปที่ร่างของผีชุดขาวสองตน

แต่ผีร้ายสองตนนั้นยังไม่ทันได้กรีดร้องออกมา วิญญาณของพวกมันก็แตกสลายไปซะแล้ว

แต่นี่มันยังไม่จบ ท่านนักพรตโปยังลงมืออย่างต่อเนื่อง

ร่างกายเร็วปานสายฟ้า แต่ดูยังไงก็คือคนอ้วนที่กำลังขยับตัว

ดาบไม้ในมือของเขาราวกับดาบแห่งความตาย เมื่อดาบจอคอ วินาทีชีวิตของผีตนนั้นก็จบลงทันที

หลังจากพวกเรามาถึงบริเวณใกล้ๆ ก็แทบไม่เหลืออะไรให้พวกเราช่วยอีกแล้ว

 

เพียงแค่นักพรตโปคนเดียว ก็ฆ่าผีร้ายไป 10 ตัวแล้ว

ส่วนผีที่เหลือก็ตกใจกลัวจนไม่กล้าสู้ เมื่อกี้พวกมันยังร้อง “โฮกโฮก” ออกมาไม่ยอมหยุด แถมแสดงสีหน้าดุร้ายราวจะกินเลือดกินเนื้อ

แต่ตอนนี้กลับถูกนักพรตโปทำให้ตกใจ จนแทบวิ่งหนีไปทางวัดร้างไม่ทัน

ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แม้แต่ผีชั่วที่ยืนอยู่หน้าประตู ก็ยังทำหน้าเหวอ

เขาเองก็คิดไม่ถึงว่า นักพรตโปคนที่มีรูปร่างอวบอ้วนคนหนึ่ง

ในเวลาต่อสู้ จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหาร ดุร้ายจนผีร้ายรับมือไม่ไหว

เมื่อนักพรตโปเห็นผีร้ายเหล่านั้นวิ่งหนี ก็ไม่ไล่ตามแต่อย่างใด เขากลับยืนหยุดอยู่นอกวัดร้าง

 

พูดกับผีชั่วที่อยู่หน้าประตูว่า “จะให้ฉันเข้าไปฆ่า หรือว่าแกจะออกมาหาที่ตาย!”

ก่อนที่จะพูด นักพรตโปผู้ทรงพลัง ยังมองหน้าอีกฝ่ายด้วยท่าทางดูถูกมากๆ

แต่เจ้าผีชั่วกลับเงียบไปพักหนึ่ง เพราะนักพรตโปคนเดียวก็สามารถสู้กับผี 30 ตนได้ แถมตอนนี้เขายังฆ่าผีไปแล้ว 10 ตน แล้วจะไม่เป็นอันตรายกับตัวเองได้ยังไงละ

ถ้าผีชั่วกล้าออกมา มันต้องถูกสับเป็นชิ้นๆแน่

ถ้าเมื่อก่อนพวกเราอาจจะยังสงสัยในตัวนักพรตโป แต่ตอนนี้ พวกเราไม่มีข้อสงสัยใดๆทั้งสิ้น

มีนักพรตโปอยู่ในกลุ่มนี้ พวกเราจะกลัวใครอีกละ ผีชั่วงั้นเหรอ สำหรับเขาแล้ว ก็เหมือนได้เล่นเกมด่านง่ายๆเท่านั้นแหละ

 

เนื่องจากผมกำลังได้ใจ จึงตะโกนด่าผีชั่วว่า “แม่…ซิไม่ใช่ว่าอยากได้ชีวิตพวกเรางั้นเหรอ ทำไมฮะ แม้แต่เดินออกจากประตูก็ไม่กล้าแล้วเหรอ”

“ไอ้เด็กนี่……” เจ้าผีชั่วนั้นโมโหจนต้องกัดฟัน แต่ก็ยังไม่กล้าลงมือ

ทำได้เพียงมองพวกเราด้วยสายตาที่โหดเหี้ยม แต่ก็ทำอะไรไม่ได้

เมื่อเห็นผีชั่วถูกรังแก ในใจของผมก็รู้สึกฟินขึ้นมาทันที

แต่ทันใดนั้นเอง จู่ๆเสียงแหบห้าวก็ดังออกมาจากวัดร้าง “ฮ่าฮ่าฮ่า! ที่แท้ก็เป็นทายาทที่ใช้วิชาลับ เคล็ดวิชาสามประสานซินะ น้อยคนนักที่จะทำได้!”

 

หลังจากเสียงแปลกๆนี้ปรากฎขึ้น ผีชั่วที่อยู่หน้าประตูวัด ก็รีบถอยหลบไปอยู่ข้างๆ

จากนั้น ก็มีตาแก่ใส่ชุดคนตาย เดินออกมาจากข้างในวัดร้าง

เขาประสานมือไว้ด้านหลัง สวมใส่ชุดคนตายเนื้อผ้าสีดำ ท่าทางของเขาดูแปลกมากๆ

แต่หลังจากผีชั่วที่อยู่ข้างๆเห็นตาแก่คนนั้น กลับตะโกนด้วยความเคารพ “อาจารย์!”

ส่วนพวกผีที่ตกเป็นทาสเมื่อเห็นตาแก่ ก็ดูสั่นเทา ราวกับกลัวตาแก่คนนี้มาก

ตัวผมเอง ก็อดไม่ได้ที่จะยกคิ้วขึ้น

อาจารย์ของไอ้ผีชั่วงั้นเหรอ หรือว่าเขาก็คือหมอผีชั่ว “ปรมาจารย์กุ่ย”

เมื่อผมคิดได้ แต่ไม่รอให้ผมได้พูดออกมา นักพรตโปที่อยู่ข้างๆกลับพูดว่า “แกก็คือปรมาจารย์กุ่ยคนนั้นซินะ”

 

ใบหน้าของนักพรตโปดูซีดเซียว แสดงท่าทีไม่กล้าลงมือสุ่มสี่สุ่มห้า

แต่ตาแก่นั้นกลับหัวเราะ “ฮ่าฮ่าฮ่า” และพูดว่า “ไม่กล้ารับไม่กล้ารับ ข้านักพรตกุ่ยซานหยวน ส่วนปรมาจารย์สองคำนี้เป็นเพียงคำเรียกทั่วไปเท่านั้น! แต่วิชาสามประสานของเจ้า น่าสนใจมากเลยนะ แต่น่าเสียดายหลังจากหลงฉวนตัวจริงกลับบ้านเกิด ก็ไม่มีใครใช้วิชานี้อีก หรือว่าหลงฉวนตัวจริงเป็นอาจารย์ของเจ้างั้นเหรอ”

ผมยืนฟังอยู่ข้างๆ ไม่แสดงท่าทางอะไรออกมา เพราะผมไม่รู้เรื่องอะไรเลยสักนิดน่ะ

แต่อาจารย์ นักพรตตู๋และเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินคำว่า “หลงฉวนตัวจริง” สี่คำนี้ “พรึบ” สีหน้าของพวกเราก็เปลี่ยนไปทันที แสดงใบหน้าที่ตกตะลึง

 

“หลงฉวน หลงฉวนตัวจริงงั้นเหรอ” นักพรตตู๋ที่อยู่ข้างๆทำหน้าตกตะลึง หันไปมองท่านผู้อาวุโสหวางที่อยู่ข้างหลังทันที

หลังจากนักพรตตู๋และคนอื่นๆต่างก็หันไปมอง ทุกคนมองท่านผู้อาวุโสหวางด้วยสีหน้าตกตะลึง

ดูเหมือนชื่อ “หลงฉวนตัวจริง” ในสายงานของพวกเรา เขาจะมีฐานะพิเศษ

แต่นักพรตโปกลับแสดงสีหน้าเย็นชา ราวกับคำสองสามคำนี้เป็นสิ่งต้องห้าม

เขาจ้องเจ้าปีศาจด้วยสายตาที่เยือกเย็น “ใช่หรือไม่ ไปถามยมบาลในนรกก็แล้วกัน!”

เสียงพึ่งจางหาย นักพรตโปก็ยกดาบเข้าไปแทง อย่างรวดเร็ว

 

เมื่อเจ้าปีศาจเห็นนักพรตโปลงมืออย่างฉับพรัน เขาก็เผยสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมา “เจ้าเด็กน้อย กล้ามากนะ!”

หลังจากพูดจบ เจ้าปีศาจก็เผยสีหน้าเมินเฉย เพียงชั่วพริบตา ร่างของเขาก็หายไป

ทันใดนั้นสายลมที่เย็นยะเยือกก็ปรากฎขึ้น ในเวลาเดียวกันผมยังเห็นการเคลื่อนไหวของเจ้าปีศาจที่อยู่ไกลออกไป

ทิ้งไว้เพียงภาพเบลอๆ จากนั้นเขาก็เข้ามาข้างตัวของท่านนักพรตโป

ไม่รอให้นักพรตโปรู้ตัว เขาก็อ้าปากขึ้นอย่างรวดเร็ว เผยให้เห็นคมเขี้ยวสีดำสนิท

ทันใดนั้นเสียง “โฮก” ก็ดังขึ้น จากนั้นเขาก็เข้ามากัดที่คอของนักพรตโปทันที……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset