ตอนที่ 67 การแก้ไข
เรื่องที่ผมคิดว่าน่าสงสัยที่สุดก็คือหยางเฉ่ว ตอนที่พวกผมต่อสู้ เธอกลับดูสงบมาก
และที่ตำบลชิงฉือของเราก็เล็กเพียงแค่นี้ มีใครอยู่บ้างนั้น แน่นอนว่าผมต้องเคยเจอหน้ามาหมด
แต่สำหรับสาวสวยอย่างหยางเฉ่ว ผมกลับไม่เคยเจอหน้าเธอมาก่อน
เธอจะต้องไม่ใช่คนในพื้นที่ของเราแน่ ยิ่งไปกว่านั้นตอนที่กินของปิ้งย่าง เธอก็ยังนั่งอยู่ข้างๆ ไม่อย่างงั้น “ยันต์ทำลายวิญญาณ” จะมาจากที่ไหนได้ละ
นอกจากเธอแล้ว ตอนนี้ผมก็คิดไม่ออกจริงๆว่ายันต์แผ่นนี้จะมาจากที่ไหนได้
นอกจากนี้ ถ้าเป็นหยางเฉ่วจริงๆ เธอจะเอายันต์แผ่นนี้มาใส่กระเป๋าผมทำไมละ แล้วเธอเป็นใครกันแน่นะ
เพียงแค่ชั่วพริบตา ผมก็เกิดความสงสัยเพิ่มขึ้นอีก
แต่ก็เล่าเรื่องที่ผมและเฟิงเฉ่วหานไปป่าช้าเก่ามา และเรื่องจัดการกับผีชั่วจนสำเร็จ ให้มู่หลงเหยียนฟังทั้งหมด
มู่หลงเหยียนพยักหน้าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จนสุดท้าย ผมก็พูดกับมู่หลงเหยียนว่า “ยันต์แผ่นนี้ หรือว่าจะมาจากผู้หญิงคนนั้น”
มู่หลงเหยียนจ้องผม และพูดต่อว่า “ฮึ นายถามฉัน แล้วฉันจะไปถามใครละ ตอนที่ฉันกลับมาจากสุสานไร้ญาติ ก็เห็นพวกนายกำลังดื่มเหล้าอยู่ด้วยกันแล้ว”
มู่หลงเหยียนยังคงโกรธอยู่เล็กน้อย เธอกอดอก เหมือนกับภรรยาขี้น้อยใจ
ผมกลับเผยสีหน้าลำบากใจ ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกผิดนิดหน่อย
พกยันต์แผ่นนี้ติดตัว จนเกือบทำร้ายมู่หลงเหยียน ตอนนี้ผมเลยรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ
เวลานี้จึงเกิดฉากที่ค่อนข้างอึดอัดใจ พวกเราสองคนต่างตกอยู่ในความเงียบ
หลังจากนั้นสักพัก ผมก็คิดว่าจะหาเรื่องคุยทำลายความเงียบนี้ลง
แต่ไม่รอให้ผมพูดออกมา จู่ๆมู่หลงเหยียนก็พูดกับผมว่า “บางทียัยนั้นเองก็อาจเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย รู้วิชาหลบหลีกความชั่วร้าย เดินผ่านทางมา แล้วได้เจอกับนายและเฟิงเฉ่วหานโดยบังเอิญ”
“สองสามวันนี้นายก็เจอผีบ่อยๆ พลังก็อ่อน ถ้าไม่แต่งงานกับฉัน นายก็คงหลีกเลี่ยงพลังของผีที่จะเข้ามาปะปนบนร่างของนายได้ยาก”
“ฉันคิดว่า เธอคงให้ยันต์แผ่นนั้นไว้เพื่อให้นายปลอดภัย! แน่นอน ว่าไม่ร่วมที่เป้าหมายอาจจะเป็นฉัน เพราะฉันมีศัตรูเยอะน่ะ!”
มู่หลงเหยียนพูดออกมาเบาๆ เมื่อพูดถึงประโยคสุด้ทาย เธอก็ทำท่าไม่กลัวว่าจะมีมดแมลงเพิ่มมาอีกตัว
แต่ผมกลับตกตะลึง ผีเมียของผมมีศัตรูเยอะงั้นเหรอ
แต่เมื่อคิดย้อนไป มันก็อาจเป็นไปได้ อารมณ์ร้ายขนาดนี้ ถึงจะเป็นผี ก็คงไปทำให้ผีจำนวนมากต้องไม่พอใจ!
ผมแอบพูดในใจ คงเป็นแบบนี้มั้ง ผมจึงไม่ได้ถาม หลีกเลี่ยงไม่ให้ผีเมียอยากฉีกผมอีกรอบ
“ชั่งเถอะ! คืนนี้ก็พอเท่านี้ละกัน! ฉันจะกลับไปสุสานไร้ญาติ” ขณะที่พูด มู่หลงเหยียนก็ลุกขึ้น
เมื่อผมเห็นมู่หลงเหยียนลุกขึ้น ก็รีบพูดออกมาทันที “ให้ฉันไปส่งเธอไหม”
แต่มู่หลงเหยียนกลับเหลือบมองผม “อยากให้ฉันไปเร็วๆขนาดนั้นเลยเหรอฮะ”
เมื่อเห็นสีหน้าของมู่หลงเหยียนเปลี่ยนไป ผมก็รีบพูดขึ้นมาอีกครั้ง “งั้นเธออยู่ต่อนะ! นอนในห้องของฉัน……”
แต่ผมยังพูดไม่จบ มู่หลงเหยียนก็ตะโกนใส่ผมอีกครั้ง “ฝันไปเถอะย่ะ ไอ้ผู้ชายห่วย!”
หลังจากพูดจบ เธอก็หมุนตัว และเดินตรงไปที่ประตู
ผมไม่ได้ชื่อนั้นซะหน่อย! อยากจะกระอักเลือดออกมาจริงๆ
ผีเมียของผมคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ มีตรรกะอะไร ชอบด่าผมว่าผู้ชายห่วยอยู่เรื่อย
บอกให้เธอนอนห้องผม เธอคงคิดว่าผมกล้าทำอะไรไม่ดีกับเธอละมั้ง
ถึงเธอจะยอม แต่ผมก็กลัวชีวิตจะสั้นลง
แต่ผมไม่รู้อะไร มู่หลงเหยียนที่ภายนอกดูเป็นคนหยิ่งและหัวแข็ง แต่หลังจากเธอหันไป กลับเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย
หลังจากเธอเดินไปข้างหน้าสองก้าว ร่างของเธอก็หายไปทันที
เมื่อมู่หลงเหยียนจากไปแล้ว ไฟที่เคยดับ จู่ๆก็กระพริบขึ้นมาสองครั้ง “พรึบ” จากนั้นไฟก็สว่างขึ้นมาอีกครั้ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในที่สุดก็ผ่านด่านมู่หลงเหยียนตัวแม่เจ้าอารมณ์ได้ซะที
เมื่อก่อนผมเคยได้ยินว่า การแต่งกับผี จะต้องแต่งกับผีที่อ่อนโยน จะแต่งกับผีที่ก้าวร้าวไม่ได้เด็ดขาด และพลังยังต้องอ่อนกว่าตัวเองด้วย
เพราะถ้าพูดกันไม่รู้เรื่อง ตอนสู้กันคุณจะไม่ชนะเธอ แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจริงๆก็รอทุกข์ทรมานได้เลย
แต่บ้าเอ้ยใครจะซวยยิ่งกว่าผมละ แต่งงานกับคนก็ยังไม่ได้แต่ง ดันได้แต่งงานกับผีที่พิเศษสุดๆ
แตะผีเมียไม่ได้ ถ้าแค่แตะไม่ได้ก็ดีซิ
แต่ผีเมียตนนี้ยังเผด็จการสุดๆ พลังก็สูง ไม่ต้องพูดถึงว่าสู้ได้เลย ตอนนี้ถึงจะคิดว่าผมมีสิบคนก็ยังเอาชนะมู่หลงเหยียนไม่ได้เลย
หลังจากนั่งพักบนโซฟาสักพัก สุดท้ายผมก็ถอนหายใจออกมา จากนั้นผมก็เดินไปอาบน้ำ และเข้าไปนอนในห้อง
ตอนที่ผมตื่นมาอีกที ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
อาจารย์บอกว่า ตอนเที่ยงพวกเราจะไปกินข้าวกันที่ร้านอาหารในตำบล
พาท่านผู้อาวุโสหวางและนักพรตโปไปด้วย เนื่องจากพวกเขาช่วยพวกเราทำงานใหญ่ จึงต้องขอบคุณพวกเขาดีๆ
นี่เป็นเรื่องปกติ ผมจึงไม่รีรอ
หลังจากใส่เสื้อผ้าเสร็จ ผมและอาจารย์ก็ไปรออยู่ที่ร้านอาหาร สั่งกับข้าวรอทุกๆคนก่อน
ผ่านไปไม่นาน ผู้อาวุโสหวาง ท่านนักพรตตู๋ และคนอื่นๆก็มาถึง
ผู้อาวุโสหวางเป็นคนใจดีที่พิเศษคนหนึ่ง เขาไม่มีพิธีรีตรองมากนัก เนื่องจากเขาไม่ชอบ อาหารของตำบลเรา
ตอนกิน จึงหันมาคุยกับผมและเฟิงเฉ่วหานเรื่องในสายงาน
ส่วนใหญ่เขาจะสอนสิ่งที่ผมสองคนใช้ได้ เขาแก่ขนาดนี้แล้ว แถมพลังยังสูงมากด้วย
ดังนั้นเพียงแค่ให้คำแนะนำพวกเราแค่นิดๆหน่อยๆ ก็สร้างประโยชน์ให้พวกเราอย่างมหาศาล
โดยเฉพาะคนอย่างผม พึ่งเข้ามาในสายงานนี้ หลังจากฟังจบผมก็รู้ว่ามุมมองของตัวเองเปิดกว้างขึ้นทันที
เมื่อทุกคนกินอาหารเสร็จ เหล่าฉินอยากให้ค่าตอบแทนกับท่านผู้อาวุโสหวาง
แต่สุดท้ายกลับถูกผู้อาวุโสหวางปฏิเสธ เขาบอกว่าเข้ามาในงานนี้แล้ว ต้องไม่ละอายใจต่ออาจารย์ของอาจารย์ เขาไม่ได้มาช่วยพวกเราเพราะต้องการเงิน
ยังบอกอีกว่าต่อไปถ้ามีเรื่องอะไร ก็โทรศัพท์ไปหาเขาได้ ไม่ต้องไปเชิญเขาที่ตำบลชิงหลงด้วยตัวเอง
ขอแค่ร่างกายของเขายังขยับได้ จะต้องมาช่วยพวกเราอย่างแน่นอน
เหล่าฉินหน้าแดง เขารู้สึกอายมาก อาจารย์ ท่านนักพรตตู๋และคนอื่นๆก็ต่างแสดงท่าทางละอายใจ
หลังจากกินข้าวกลางวันเสร็จ ทุกคนก็ส่งท่านผู้อาวุโสหวางและนักพรตโปขึ้นรถ
หลังจากส่งผู้อาวุโสหวางเสร็จ พวกเราก็ยังไม่กลับไปพักผ่อน
นักพรตตู๋ใช้เวลาครึ่งค่อนชีวิตในการร่อนเร่พเนจร และตอนนี้ท่านนักพรตตู๋ก็เหลือเหล่าฉินศิษย์พี่เพียงคนเดียว
ตอนนี้เขาก็แก่มากแล้ว จึงไม่อยากให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก
พวกเขาจึงตัดสินใจอยู่ที่นี่กับพวกเรา เพื่อใช้ชีวิตวัยชราของเขา
ในเวลาเดียวกันก็เตรียมเปิดร้านขายของเลี้ยงชีพ ทำธุรกิจขายยาจีนเล็กๆ และก็ไม่สร้างความขัดแย้งด้วยการทำธุรกิจงานศพเหมือนกับพวกเรา
ดังนั้นพวกเราจึงพาท่านนักพรตตู๋ไปเดินดูรอบๆตำบล เพื่อหาเช่าร้านสักหลัง
ตำบลของพวกเราก็ไม่ได้คึกคักเหมือนในตัวเมือง มีร้านค้าว่างมากมาย ราคาที่เช่าก็ยังถูกด้วย
ผ่านไปไม่นานพวกเขาก็ได้ร้านที่ต้องการ ซึ่งมันอยู่ห่างจากร้านงานศพของพวกเราประมาณ 200 เมตร
แม้ปากของเหล่าฉินจะต่อว่านักพรตตู๋มากมาย แต่จริงๆแล้วเขาก็รู้สึกดีใจกับเรื่องนี้มาก
ครึ่งเดือนหลังจากนั้น ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับเรื่องนี้
ทั้งช่วยท่านนักพรตตู๋ขอใบอนุญาต ย้ายทะเบียนบ้าน เรื่องตกแต่งสิ่งต่างๆ หรือแม้แต่ซื้อของมาตกแต่ง
แต่ร้านยาจีนของท่านนักพรตตู๋กลับออกมาสมบูรณ์แบบ เขาดำเนินเรื่องไปได้ดี ทุกอย่างต่างราบรื่น ไม่มีปัญหาใดๆเกิดขึ้น
ส่วนเรื่องของหยางเฉ่ว ผมเองก็ไม่มีเวลาและโอกาสคุยเรื่องนี้กับเฟิงเฉ่วหาน
หลังจากจากเกิดเรื่องในวันนั้น ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นอีก ดังนั้นผมจึงค่อยๆลืมมันไป
อีกอย่างในครึ่งเดือนนี้ พวกเราก็ไม่ได้เจอเรื่องยุ่งยากอะไร
เหมือนกับคำพูดของท่านผู้อาวุโสหวางที่ว่า เจ้าปรมาจารย์กุ่ยคนนั้น ผีชั่ว แมวศพ ก็ไม่ได้มาหาเรื่องพวกเราอีก
ทุกอย่างกลับมาสงบสุข เหมือนกับในอดีตอีกครั้ง
แต่วันก่อนหน้าที่ร้านยาจีนของท่านนักพรตตู๋จะเปิด จู่ๆก็มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น
อาจารย์บอกกับผมว่า กระถางธูปของมู่หลงเหยียนเต็มแล้ว
ตอนเย็นให้ผมไปเปลี่ยนกระถาง ที่วัดเจ้าเฉินที่อยู่ทางภูเขาทิศเหนือ
ผมจึงแปลกใจ กระถางธูปเต็มก็เต็มไปซิ ทำไมต้องเปลี่ยนด้วยละ
และยังให้ไปไกลถึงภูเขาลูกนั้นอีก เพื่อให้เอาขี้ธูปในกระถางไปเปลี่ยน แต่กลับไม่ไปหยิบมาตรงๆ
ผมจึงถามอาจารย์ว่า “อาจารย์ ทำไมต้องไปเปลี่ยนไกลขนาดนั้นด้วยละครับ เรื่องแค่นี้ยังต้องทำอะไรให้มันซับซ้อนอีกเหรอครับ”
ผลลัพธ์อาจารย์กลับพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “แกกับเธอมีหยินหยางต่างกัน อีกอย่างพลังหยินของเธอก็แข็งแกร่งกว่าแกมาก ถ้าแกไม่อยากตายเร็ว ก็ฟังที่ฉันพูด”
หลังจากพูดจบ ผมก็เบิกตากว้าง แสดงท่าทางตกตะลึง
“รู้ไหม ถ้าไม่ใช้เทวรูปกดไว้ พลังหยางของแกก็คงน้อยลงเรื่อยๆ ร่างกายก็จะยิ่งอ่อนแอ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็นิ่งอึ้งไปทันที ไม่น่าแปลกใจเลยที่การแต่งงานกับผีจะเป็นเรื่องต้องห้าม ดูเหมือนข้างในจะต้องมีข้อห้ามอีกเยอะแน่
แต่อาจารย์ยังพูดไม่จบ เขาก็เงียบไป จากนั้นก็พูดขึ้นมาอีกครั้ง “เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ซับซ้อน แต่ยังมีข้อห้ามอีกมากมาย ขี้ธูปพวกนี้ จะตกลงดินไม่ได้เด็ดขาด!”
“หลังจากเปลี่ยนกระถางธูปเสร็จ จำได้ว่าต้องเดินออกทางประตูหลัง ห้ามเดินออกประตูหน้าเด็ดขาด ถ้าไม่ทำตามนั้น แกจะต้องเจอผีตามไปหลอกหลอนแน่……”