ศพ – ตอนที่ 68 เก็บผงขี้ธูป

ตอนที่ 68 เก็บผงขี้ธูป

อาจารย์พูดออกมาอย่างชัดเจน บอกผมว่าการแต่งงานกับผี มีผลเสียมากมาย

ถึงผมจะกลัวมาก แต่โชคดีที่อาจารย์ยังพอมีวิชาอยู่บ้าง

จึงสามารถหาวิธี ช่วยผมแก้ไขสถานการณ์ได้

เมื่อผมได้ยินเรื่องพวกนี้ ผมก็ไม่กล้าทำเป็นโอดโอยอีกต่อไป

อาจารย์พูดยังไง ผมก็ทำตามนั้น

แม้ว่าผมจะต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับมู่หลงเหยียน แต่ผมก็ไม่อยากตายเร็ว

โลกที่งดงามใบนี้ นอกจากผู้หญิงจะเป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับผม แต่ยังมีเรื่องที่สวยงามอีกมากมายรอผมอยู่

 

เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็หันไปมองป้ายวิญญาณ

ส่วนอาจารย์ ก็พูดรายละเอียดทั้งหมดให้ผมฟังอีกรอบ

และเรื่องทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งที่ผมต้องลงมือทำในคืนนี้ เรื่องนี้มีเหตุผลอยู่ เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่จะหาเลือกวันใดวันหนึ่งแล้วลงมือได้

การเปลี่ยนผงขี้ธูปที่อาจารย์พูด ที่จริงแล้วมันคือการไป “ขโมย” ขโมยจากพวกเทพ

พวกเราทุกคนที่ทำงานสายนี้ต่างเชื่อเรื่องบาปกรรม กลัวการทำผิดต่อเทพเซียน ดังนั้นเรื่องแบบนี้ จึงต้องระวังเป็นพิเศษ

สำหรับเรื่อง เปลี่ยนผงขี้ธูป จะทำได้แค่วันสุดท้ายของเดือนเท่านั้น

 

เพราะคืนนี้เป็นวันสิ้นเดือนตามปฏิทินจันทรคติ แสงจันทร์จะสว่างน้อยที่สุด

ช่วงเวลานี้ สีท้องฟ้าจะช่วย “ปิดบัง” จากสายตาของเหล่าเทพได้

และในวันนี้ จะมีเพียงช่วงเวลาสั่นๆคือตอน 01.30-02.30 เท่านั้นที่ผมจะสามารถลงมือได้

เพราะตอนนั้นแสงจันทร์จะน้อยที่สุด พลังหยินแรงที่สุด และก็เป็นเวลาที่ดีที่สุด

อาจารย์พูดออกมาแบบนี้ แต่สำหรับเรื่องลึกลับแบบนี้ผมก็ยังรู้สึกว่าต้องฟังหูไว้หู

แต่หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็ไม่กล้าละเลยข้อห้ามพวกนี้

อาจารย์ไม่ทำร้ายผมแน่นอน กลับกันยังปรารถนาดีกับผมเสมอ

 

สำหรับคนอื่นๆ ผมไม่ได้คิดจะไปศึกษาอะไรมากมาย

ส่วนเรื่องปิดบังสายตาเทพอะไรนั้น ผมยังไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่

หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จ ผมก็พักอยู่ในบ้านแป๊บนึง จนท้องฟ้าเริ่มมืดลง

วัดเจ้าเฉินนั้นตั้งอยู่บนเนินเขาในตำบลถัดไป ห่างจากที่ที่พวกเราอยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง

อาจารย์กลัวผมจะไปสาย เมื่อเวลามาถึง 4 ทุ่มเขาก็ไล่ผมออกจากบ้านทันที

บอกว่ารีบไป จะได้ไปดูว่าประตูหน้าและประตูหลังอยู่ตรงไหน จากนั้นก็รอให้ถึงเวลาแล้วค่อยลงมือ แต่อย่าตกใจจนทำอะไรไม่ถูกละ

ตอนแรกผมยังคิดว่าจะได้ดูทีวีอีกสักหน่อย ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิด ดันถูกอาจารย์ไล่ออกมาจากบ้าน

 

ตอนนี้ในมือของผมกำลังถือกระเป๋าเล็กๆใบหนึ่ง ในนั้นใส่กระถางธูปของมู่หลงเหยียน และมีธูปอีกสองสามดอก

ตอนอาจารย์นำไปตรวจ เขายังกำชับผมเป็นพิเศษ

บอกว่าตอนเข้าให้เข้าประตูหน้า ตอนออกให้ออกประตูหลัง

แต่ผมก็ไม่รู้ว่าทำไม จึงตอบ “ครับ” และเดินออกมาจากบ้านทันที

ขณะเดินไปบนถนน ผมก็รู้สึกเบื่อมาก ต้องเดินคนเดียวในตอนกลางคืนมันก็น่าเบื่อนะ

จึงอยากให้เฟิงเฉ่วหานมาเดินด้วยกัน แค่ไม่บอกเรื่องแต่งงานกับผี ก็ไม่เป็นอะไรแล้วนิ

ดังนั้นหลังจากผมเดินออกมาจากบ้าน ก็โทรศัพท์หาเฟิงเฉ่วหานทันที

 

เขารับโทรศัพท์เร็วมาก “เหล่าเฟิง คืนนี้ฉันมีธุระ นายไปทำเป็นเพื่อนฉันหน่อยซิ!”

เฟิงเฉ่วหานพูดไม่เก่ง เขาจึงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ต้องเอาอาวุธไปไหม”

ผมเผยรอยยิ้มขมขื่นที่มุมปาก เจ้าเด็กนี้คิดว่าผมจะไปจับผีซินะ

“ไม่ต้อง ไปแลกเปลี่ยนของที่ภูเขาทางเหนือลูกถัดไปเท่านั้น! ฉันรอนายที่สี่แยกนะ……” ผมพูดต่อ

ผลลัพธ์ผมยังพูดไม่จบ ก็ได้ยินเสียงเย็นชาของเฟิงเฉ่วหานตอบกลับมาว่า “ตกลง” จากนั้นเขาก็วางโทรศัพท์ทันที

เจ้านี้น่าเบื่อมาก แต่ผมสองคนก็เข้ากันได้ดีมาก

 

ผมยืนรออยู่หน้าสี่แยกได้พักหนึ่ง เฟิงเฉ่วหานก็ใส่ชุดเล่นเดินเข้ามา

หน้าตาเย็นชา ดวงตาไร้ชีวิตชีวา แถมยังในมือยังถือบุหรี่อยู่หนึ่งมวน ตอนนี้เขาดูเท่ห์สุดๆเลยละ

“เหล่าเฟิง!” ผมรีบโบกมือ

แต่เจ้านั้นยังไม่พูดอะไรออกมา แต่หลังจากมาถึงตรงหน้าผม เขาก็พูดออกมาว่า “ไปทำอะไร”

“เดินไปคุยไปเถอะ!” ผมพูด จากนั้นก็เดินนำทันที

จากนั้นก็พูดสั้นๆว่าผมไปทำอะไร นั้นก็คือไปเปลี่ยนผงขี้ธูปนั้นเอง

ส่วนเรื่องอื่นๆนั้น ผมก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขาเองก็ไม่ถาม

เมื่อมีเพื่อนร่วมทาง ผมก็ไม่รู้สึกเบื่ออีกต่อไป

 

เพราะพวกเราเดินกันช้ามาก ดังนั้นตอนที่พวกเรามาถึงภูเขา ก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

คืนนี้พระจันทร์โค้งเป็นวงเสี้ยว ดังนั้นพวกเราจึงมองไม่ค่อยเห็น

ทำได้เพียงมองเห็นตัววัดเล็กๆจากที่ไกลๆ และที่แห่งนั้นก็คือวัดเจ้าเฉินนั้นเอง

ในพื้นที่ของพวกเรา ตอนนี้ศาลเจ้าหลักเมืองไม่มีใครไปกราบไหว้อีกแล้ว ดังนั้นในวัดเจ้าเฉินจึงมีคนมากราบไหว้อยู่บ้าง

เพราะการไหว้เจ้าเฉิน จะทำให้บ้านมีกินมีใช้ ทำให้ชีวิตสามารถผ่านไปได้อย่างราบรื่น

ดังนั้นผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนมากจะทำสิ่งนี้จนเป็นกิจวัตร นั้นก็คือในเดือนสิบสองตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ที่วัดเจ้าเฉินแห่งภูเขาทิศเหนือแห่งนี้จะมีการจัดงานเซ่นไหว้เล็กๆขึ้น

 

ผมมองวัดเจ้าเฉิน แล้วพูดกับเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆว่า “ที่นี่แหละ! วัดเจ้าเฉินแห่งภูเขาทิศเหนือ! ผงขี้ธูปที่ฉันจะต้องการเปลี่ยนก็มาจากที่นี่!”

เฟิงเฉ่วหานไม่ได้พูดอะไร เพียงพยักหน้ารับเท่านั้น

ผ่านไปแค่แป๊บเดียว พวกเราก็เดินมาถึงหน้าวัดเจ้าเฉิน

มันเก่ามาก แต่ไม่ทรุดโทรม

ผมมองไปรอบๆ จากนั้นก็พาเฟิงเฉ่วหานเดินเข้าไปในวัด

อาจารย์เคยบอกว่า ก่อนอื่นต้องสำรวจภายในวัดให้เรียบร้อย และเข้าหน้าออกหลัง

 

ถ้าเข้าประตูหน้ามาแล้ว ก็จะไม่สามารถถอยหลังได้อีก

ถ้าจะออก ต้องออกประตูหลัง และหลังจากเดินออกมาจากประตูหลังแล้ว จะไม่สามาถเดินกลับเข้าไปได้อีก

อาจารย์กำชับเรื่องพวกนี้ซ้ำๆ ดังนั้นผมจึงจำได้แม่นยำ

วัดมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีเพียงแค่อาคารหนึ่งหลัง ด้านนอกมีสวนหย่อมหนึ่งแห่ง

ตอนนี้ผมกำลังยืนอยู่ในวัดและมองไปรอบๆ ก็เห็นเพียงเทวรูปหนึ่งองค์และติ่ง(ภาชนะดินเผาขนาดใหญ่มีสามขา)หนึ่งอัน ซึ่งบนนั้นมีเทียนที่ละลายแล้วติดอยู่เป็นจำนวนมาก

เทวรูปที่อยู่ชั้นบน มีประตูหลังอยู่หนึ่งบาน

 

เมื่อมองดูเวลาอีกครั้ง ก็พบว่าตอนนี้ยังเหลืออีก 1 ชั่วโมงก่อนจะถึงเวลาตีหนึ่งครึ่ง

ผมจึงหาที่นั่งพักกับเฟิงเฉ่วหาน จุดบุหรี่ขึ้นมาสองมวน และถามเรื่องร้านยาจีนของเขา

เฟิงเฉ่วหานบอกว่า เรื่องส่วนใหญ่ทำเกือบเสร็จหมดแล้ว ตอนนี้ขาดแค่ฤกษ์ยาม ที่จะใช้เปิดกิจการเท่านั้น

เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ผมก็พยักหน้าเล็กน้อย แต่จู่ๆผมก็คิดถึงเรื่องยันต์ทำลายวิญญาณขึ้นมาได้

ดังนั้นจึงถามเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง นายรู้จักยันต์ทำลายวิญญาณไหม”

 

เมื่อเฟิงเฉ่วหานได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาก็หันมามองผมอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย “รู้จักซิ เป็นสิ่งที่ใช้ปราบวิญญาณชั่วร้ายได้ดีสุดๆ! แต่การที่จะสามารถวาดยันต์แผ่นนี้ได้ ตอนนี้มีคนน้อยมากที่ทำได้! ฉันเองก็เคยได้ยินเขาพูดมาเท่านั้นยังไม่เคยเห็นของจริงเลยสักครั้ง”

 

เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดแบบนี้ ผมก็มั่นใจขึ้นมาทันที

ว่ายันต์ในกระเป๋าแผ่นนั้น จะต้องเป็นหยางเฉ่วที่แอบยัดให้ผมแน่

เมื่อเฟิงเฉ่วหานเห็นผมเงียบไป ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาถามผมว่าเป็นอะไรไป

ผมจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนั้นให้เขาฟัง บอกว่าหลังจากกลับไป ก็เจอยันต์ทำลายวิญญาณในกระเป๋าหนึ่งแผ่น

เฟิงเฉ่วหานก็ทำสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ถ้างั้น ผู้หญิงคนนั้นก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แต่มันแปลกมากนะ ทำไมเธอต้องให้ยันต์แผ่นนั้นด้วยละ”

 

แม้ว่าในใจของผมจะมีสิ่งที่คิดไว้อยู่แล้ว แต่ผมก็ไม่ได้พูดออกมา

พวกเราคุยกันอีกนิดหน่อย จากนั้นก็ปิดหัวข้อนี้ลง ต่อมาผมก็ถามเฟิงเฉ่วหานว่าหลายปีมานี้เขาเคยเห็นเรื่องลึกลับอะไรบ้าง

แม้เฟิงเฉ่วหานจะเป็นคนพูดไม่เก่ง แต่ก็ไม่ใช่ว่าไม่พูดเลย

ช่วงเวลานี้มีแค่ผมสองคน เขาจึงเล่าให้ฟังสองสามเรื่อง ซึ่งผมก็รู้สึกแปลกใจมาก กับเนื้อเรื่องมากมายที่พิลึกกึกกือ

และตอนนี้ เวลาก็ดำเนินมาถึง 01.30 อย่างไม่ทันตั้งตัว

เมื่อผมเห็นว่าถึงเวลาแล้ว ก็เลิกคุยกับเฟิงเฉ่วหาน

 

ขอให้เฟิงเฉ่วหานไปจุดธูปที่หน้าประตูให้ผม ส่วนผมก็ไปเก็บผงขี้ธูป เมื่อเข้ามาถึงติ่งที่อยู่ใจกลางของห้อง ผมก็เตรียมจะเปลี่ยนผงขี้ธูป

เฟิงเฉ่วหานเร็วมาก เขาจุดธูปสามดอกนั้นอย่างรวดเร็ว

ปักธูปสามดอกลงที่หน้าประตู จากนั้นก็ปิดประตูทันที

ผมหยิบกระถางธูปขึ้นมา และพูดกับเทพที่นี่ว่า “ท่านเทพเจ้าเฉิน ขอรบกวนหน่อยนะครับ!”

หลังจากพูดจบ ผมก็หยิบกระถางธูปเทลงในติ่ง จากนั้นก็ใช้มือโกยขี้ธูปจากข้างในขึ้นมาใหม่อีกครั้ง

เพื่อป้องกันไม่ให้มันตกพื้น หลังจากที่ผมทำความสะอาดติ่งเรียบร้อย ผมก็นำกระถางธูปซ้อนทับด้านในและด้านนอกอีกสามชั้น สุดท้ายก็ค่อยใส่ลงในกระเป๋า

 

เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จ งานในคืนนี้ก็ถือว่าสำเร็จ ผมทำทุกอย่างไม่ถึง 5 นาที ถือว่าเร็วมาก

หลังจากเก็บผงขี้ธูปเรียบร้อย ผมก็คำนับเทพของที่นี่สามครั้ง

จากนั้นก็พูดกับเฟิงเฉ่วหานที่อยู่ข้างๆว่า “เหล่าเฟิงเสร็จแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ!”

หลังจากพูดจบ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เดินออกไปทางประตูหลังของวัด

ด้านหลังเป็นถนนในป่าเล็กๆเส้นหนึ่ง รอบๆมืดมิด มีสายลมเย็นๆ และมองเห็นได้ไม่ค่อยชัด

แต่พวกเราก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนี้จึงทำได้แค่เดินกลับไปตามถนนเล็กๆเส้นนี้เท่านั้น

ที่จริงมันก็ไม่มีอะไร แต่ปัญหาก็คือ

พวกเราเดินออกไปไม่ถึง 100 เมตร ก็พบว่ามีเรื่องที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset