ตอนที่ 69 ……
พวกเราเดินมาได้อย่างราบรื่น ไม่เจอปัญหาอะไรเลยสักนิด
แต่หลังจากเดินออกมาจากประตูหลังได้ไม่นาน ผมก็พบเรื่องผิดปกติ
ผมมองไปรอบๆ ทุกอย่างมืดสนิท เดินคล่ำทางมาเรื่อยๆ แต่ผมกลับรู้สึกไม่สบายใจ
เพราะผมพบว่ารอบๆถนนเส้นนี้เงียบเกินไป เงียบจนไม่มีเสียงอะไรเลยสักนิด
ถ้าเป็นตอนกลางวันก็คงจะดี แต่ตอนนี้เป็นตอนกลางคืน
ถนนเส้นนี้ต่างล้อมรอบไปด้วยป่า จึงมีทั้งเงาของต้นไม้และพุ่มหญ้ามากมาย
ตอนนี้อยู่ในช่วงฤดูร้อน ตามหลักแล้ว ตอนกลางคืนจะต้องมีเสียงร้องของพวกแมลงจำนวนมากถึงจะถูก
โดยเฉพาะเมื่อพวกเราอยู่ในภูเขา เป็นไปไม่ได้ที่มันจะเงียบได้ถึงขนาดนี้
ถ้าเกิดสถานการณ์อย่างนี้ขึ้นจะต้องมีอะไรพิเศษเกิดขึ้นแน่
เมื่อก่อนผมกับอาจารย์เคยขึ้นเขา อาจารย์บอกผมว่า
ถ้ารอบๆตัวมีพวกหมาป่า เสือ เสือดาวอยู่ใกล้ๆ หรืออะไรก็ตามที่เป็นอันตราย
รอบๆตัวของเราจะเงียบสุดๆ นี่ถือว่าเป็นการเตือนภัยล่วงหน้าของธรรมชาติอย่างหนึ่ง
ตอนนี้ ผมพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น สีหน้าผมจึงค่อยๆมืดมน
ผมหันไปพูดกับเฟิงเฉ่วหานว่า “เหล่าเฟิง ดูเหมือนจะมีอะไรผิดปกติ!”
ขณะที่พูด ผมก็มองสำรวจไปรอบๆ
เฟิงเฉ่วหานเองก็ตกใจ ต่อมาเขาก็รู้ตัว สีหน้าจึงค่อยๆเปลี่ยนไป “เงียบเกินไป!”
“ใช่ เงียบเกินไป!” ผมพูดด้วยความหวาดระแวง หันมองไปรอบๆอย่างต่อเนื่อง แต่ก็หาสถานที่ที่ผิดปกติไม่เจอ
“ที่นี่อยู่นานไม่ได้ ปิดไฟฉาย แล้วเปิดตากันเถอะ!” เฟิงเฉ่วหานพูดขึ้นมาอีกครั้ง
แม้ผมจะไม่รู้ว่าทำไมรอบๆถึงได้เงียบขนาดนี้ หรือบางทีอาจเกี่ยวกับเรื่องที่ผมไปเก็บผงขี้ธูป
แต่ตอนนี้ผมก็ไม่กล้าอยู่นาน คิดแค่ว่ารีบออกไปจากที่นี่ดีกว่า
ขณะนั้นผมไม่พูดพล่าม รีบปิดไฟฉาย และหยิบขวดน้ำตาวัวที่พกติดตัวออกมาเปิดตาทันที
ทันใดนั้นความรู้สึกเย็นๆก็ปรากฎขึ้น ในที่สุดรอบๆที่เคยมืดมิดก็สว่างขึ้นมาไม่น้อย
ผมหันไปมองเฟิงเฉ่วหาน จากนั้นก็รีบเร่งฝีเท้าทันที
พวกเราเดินเร็วมาก แต่ตรงไปข้างหน้าไม่ถึง 200 เมตร
ลมกระโชกแรงก็พัดเข้ามา ทันใดนั้นอากาศรอบๆก็หนาวเย็นขึ้นมาทันที
ราวกับว่าตอนนี้ พวกเราได้เข้ามาสัมผัสกับสายลมในฤดูหนาว
แต่วินาทีนั้นสีหน้าของผมและเฟิงเฉ่วหาน กลับเปลี่ยนไป
นี่คือพลังหยิน และเป็นพลังหยินที่แท้จริง มันอัดแน่นอะไรขนาดนี้
ในเวลาเดียวกัน เฟิงเฉ่วหานก็เข้ามาคว้าตัวผมไว้ “ไปข้างหน้าต่อไม่ได้ ข้างหน้าของพวกเราจะต้องมีวิญญาณชั่วร้ายอยู่……”
แม้ว่าในใจของผมกำลังคิดแบบนี้อยู่ก็จริง แต่เมื่อได้ยินเฟิงเฉ่วหานพูดกับผมแบบนั้น ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ
แต่ไม่รอให้ผมได้พูด พุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆ กลับมีเสียงดัง “กร๊อบแกร๊บ” แถมเสียงนั้นยังพุ่งเข้ามาทางพวกเราด้วย
รอบๆเงียบสงัด เมื่อจู่ๆก็มีเสียงดังขึ้นมา มันจึงดึงดูดความสนใจของผมกับเฟิงเฉ่วหานทันที
ผมสองคนหันไปมองตามสัญชาตญาณ ในเวลาเดียวกันยังตะโกนออกไปว่า “ใคร!”
แต่เสียงพึ่งเงียบลง ผมก็เห็นเงาของใครบางคนกระโดดออกมาจากพุ่มไม้
เมื่อเห็นคน ผมกับเฟิงเฉ่วหานก็ตื่นตัวขึ้นมา รีบสังเกตลักษณะท่าทางของคนๆนี้ทันที
พบว่าคนๆนี้คือผู้หญิง รวบผมไว้ข้างหลัง ตัวสูง ผิวขาวเนียนละเอียด
ส่วนหน้าของเธอ กลับใส่หน้ากากสีดำเอาไว้ เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีดำสนิทที่งดงามคู่เดียวเท่านั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็เงียบไปพักหนึ่ง
สถานที่ทุรกันดารแบบนี้ ทำไมจู่ๆก็มีผู้หญิงกระโดดออกมา แถมดูจากรูปร่างและดวงตาแล้ว เธอน่าจะเป็นสาวสวยอีกด้วย
แต่ตอนที่ผมเห็นดวงตาของเธอ กลับรู้สึกว่าเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน แต่ตอนนี้ผมก็คิดไม่ออก
แต่ก็ไม่ลังเล เมื่อเห็นอีกฝ่ายปรากฎตัว ผมก็ถามออกไปตามสัญชาตญาณ “คุณเป็นใคร”
แต่เสียงของผมพึ่งตกลง ผู้หญิงสวมหน้ากากคนนั้นก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานว่า “อย่าพูดมาก ถ้าไม่อยากตายก็อย่ายืนอยู่บนถนนเส้นนี้ดีกว่า!”
ผู้หญิงสวมหน้ากาก พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่คลุมเครือ พวกเราไม่สามารถระบุต้นเสียงได้เลยว่าเธอคือใคร
แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกแปลกใจก็คือ เหมือนผมเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อน
“คุณหมายความว่ายังไง” ผมพูดต่อ
ผู้หญิงคนนั้นหัวเราะออกมาเบาๆ “เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายแท้ๆ! การที่พวกนายสองคนยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้จนถึงตอนนี้ ก็ถือว่าเป็นปาฏิหาริย์มากแล้ว ดูให้ดีๆว่าถนนที่พวกนายกำลังยืนอยู่คือถนนอะไร”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หัวใจของผมก็มีเสียงดัง “กึก” ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
เธอเป็นใคร ทำไมถึงรู้ว่าพวกเราสองคนเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้าย แถมยังพูดเยาะเย้ยพวกเราแบบนั้น ถนนเส้นนี้มันมีปัญหาอะไร
เนื่องจากคำพูดแปลกๆของเธอ จึงทำให้ผมหันไปมองตามสัญชาตญาณ
แต่ผมก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรแตกต่างนิ ก็แค่ถนนที่ปูด้วยหินธรรมดาๆ แต่สีของหิน เป็นสีเหลืองอ่อนก็เท่านั้น
ผมไม่ค่อยมีการตอบสนองอะไรมากนัก แต่เฟิงเฉ่วหานที่ยืนอยู่ข้างๆผมกลับหน้าเปลี่ยนสี เขาทำหน้าหวาดกลัว
ในปากยังพูดออกมาด้วยความตกตะลึง “แย่ แย่แล้ว! ติงฝาน พวกเรา พวกเรารีบออกจากที่นี่เร็ว……”
จู่ๆก็เห็นเฟิงเฉ่วหานตกใจแบบนั้น ผมจึงเกิดความสงสัย
“เหล่าเฟิง เป็นอะไร” ผมสงสัยในใจ
แต่เฟิงเฉ่วหานกลับสูดลมหายใจเข้า “นายมองถนนเส้นนี้ดีๆอีกรอบ!”
ผมรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อย มันก็ไม่ใช่แค่ถนนเล็กๆเส้นหนึ่งเหรอ จะมีอะไรให้ดูนักหนา
แต่ก็หันไปมองถนนเล็กๆตรงหน้าอีกรอบ ครั้งนี้ผมมองไกลออกไป
ถนนหินสายนี้ ค่อนข้างคดเคี้ยว แต่เมื่อเปิดตาแล้ว ผมถึงสามารถมองเห็นได้ไกลมาก
เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีเพียงถนนหินสีเหลืองเส้นนี้เส้นเดียว มองไม่ออกจริงๆว่ามีอะไรผิดปกติ
ผมขมวดคิ้ว และพูดด้วยความสงสัย “ไม่มีอะไรผิดปกตินิ! ก็แค่ถนนหินสีเหลืองเส้นหนึ่ง……”
แต่ขณะที่ผมกำลังพูดคำว่าถนนหินสีเหลือง คำว่า “เท่านั้น” ยังไม่ทันหลุดออกมาจากปาก
ในสมองของผมก็มีเสียงระเบิดดัง “ตูม” ทันใดนั้นอักษรสี่คำก็ปรากฎขึ้นในสมอง สายธารสีเหลือง…
วินาทีนั้น ผมหน้าซีด หันไปมองรอบๆทันที
พบว่าในยามค่ำคืนที่มืดมิน แต่กลับเห็นถนนสีเหลืองเส้นนี้ได้อย่างชัดเจน
เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า สายธารสีเหลืองจะนำไปสู่นรกภูมิ เป็นหนึ่งไม่มีสอง
เมื่อก่อนเคยได้ยินคนแก่พูดว่า หลังคนตายเดินบนถนนสีเหลืองได้ครึ่งก้าวพวกเขาก็ถูกส่งไปรายงานตัว
หลังจากได้รับหัวใจผี สุดท้ายก็จะเดินเข้าประตูผี และได้เดินบนถนนสีเหลืองจริงๆไปยังนรก
แต่หลังจากคนเป็นตายแล้ว ก็จะเจอถนนสีเหลืองเช่นกัน แต่ถนนเส้นนี้จะถูกเรียกว่า “…” ซึ่งมันเป็นตัวนำทางของคนตาย
งั้นถนนที่พวกเรากำลังยืนอยู่ ก็เป็นถนนที่นำคนตายไปสู่นรกนะซิ
ช่วงเวลานั้นผมกลัวโครตๆ “สายธารสีเหลือง ……”
“ใช่ พวกเรากำลังเดินบนถนน… ถ้ายังเดินต่อไปข้างหน้า จะต้องตายแน่!” เฟิงเฉ่วหานพูดต่อ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ทันใดนั้นผู้หญิงสวมหน้ากากที่อยู่ข้างๆก็พูดว่า “ฮึ! ไม่ต้องเดินไปข้างหน้า แค่พวกนายยืนอยู่ที่นี่ ก็เหมือนตายไปแล้วครึ่งหนึ่ง! ไม่อยากตายก็เดินตามฉันมา!”
หลังจากพูดจบ ผู้หญิงสวมหน้ากากคนนั้นก็หมุนตัว เดินตรงเข้าไปในพุ่มไม้ทันที
แม้จะไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร แต่หลังจากรู้จักกันในขณะที่ตัวเองกำลังเดินอยู่บนถนน… ผมก็ไม่กล้าชักช้าลีลาต่อไป
รีบหมุนตัว และเดินตามเฟิงเฉ่วหานไปทันที
แต่พวกเราพึ่งเดินไปข้างหน้าได้ไม่นาน ก็มีลมกระโชกพัดเข้ามา อุณหภูมิรอบๆ เริ่มลดต่ำลงอีกครั้ง
ดูเหมือนตอนนี้ อุณหภูมิรอบๆจะต่ำกว่าศูนย์องศา ผมขนลุกครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่มันยังไม่จบเพียงเท่านี้ จู่ๆผู้หญิงสวมหน้ากากที่อยู่ข้างหน้าก็หยุดเดิน
พวกเราเห็นเธอขมวดคิ้ว และมองไปรอบๆอย่างต่อเนื่อง ดูท่าทางจะระแวงมากๆ
จากนั้น เธอก็พูดกับผมและเฟิงเฉ่วหานอย่างกระวนกระวาย “แย่แล้ว สายไปแล้ว พวกเขามาแล้ว หลบไม่ทันแล้ว……”