อาจารย์ลืมตาทั้งสองข้าง และยังสามารถพูดได้ ผมจึงรู้สึกดีใจมาก
แต่เมื่อได้ยินถึงคำสุดท้ายของอาจารย์ จิตใจของผมก็ตกลงไปอีกครั้ง
ใบหน้าเริ่มหงิกงอ ในสมองมีเสียงเวิงๆระเบิดออกมา ร่างกายนิ่งเงียบไปทันที
อาจารย์ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง จากนั้นก็ตบตัวผมเบาๆ พูดกับผมด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ติงฝาน แกอย่ากลัวไปเลย แม้ว่าผีร้ายนี้จะสู้ด้วยยาก แต่อาจารย์เอาชีวิตเป็นประกัน ฉันจะคอยปกป้องแกให้ปลอดภัยเอง!”
หลังจากพูดจบ อาจารย์ก็ไอ “แค่ก…แค่ก” ออกมาอย่างรุนแรง
การเผชิญหน้ากับความตาย แม้ว่าในใจจะรู้สึกหวากกลัวมาก แต่เมื่อได้ยินคำนี้จากอาจารย์ ผมก็รู้สึกซาบซึ้งในทันที
ขณะที่อาจารย์เริ่มไอ ผมก็รีบพูดทันที “อาจารย์ อาจารย์ ผม ผมไม่กลัว ขอแค่อาจารย์ไม่เป็นอะไรก็พอแล้วครับ!”
ขณะที่ผมพูด ก็ตบไปที่หลังของอาจารย์เบาๆ ผ่านไปสักพักเขาก็กลับมาหายใจเป็นปกติอีกครั้ง
ในเวลานี้ เหล่าฉินที่วิ่งไปเอาผ้าพันแผลและยาห้ามเลือดก็มาถึง
เหล่าฉินเห็นอาจารย์ฟื้นขึ้นมา เขาก็ดีใจในทันที แล้วก็รีบใส่ยาห้ามเลือดให้กับอาจารย์
ดีที่มันเป็นแค่แผลภายนอก แค่เสียเลือดไปมากเท่านั้น นอกนั้นก็ไม่มีแผลที่ทำร้ายถึงไปกระดูก
เหล่าฉิน ยังปลอบใจอาจารย์ของผมไปในตัว บอกให้เขาสบายใจได้ และพักผ่อนให้เยอะๆ
บอกว่าผีผู้หญิงนั้นถูกเลือดหมาดำสาดใส่ เธอคงไม่กลับมาหาเรื่องอีกในเวลาสั้นๆนี้แน่!
แต่เมื่ออาจารย์ได้ยินประโยคนี้ เขากลับส่ายหัวทันที
เขาบอกว่าอย่างมากก็แค่วันเดียว และพอผ่านไป ผมก็จะหนีไม่พ้นอยู่ดี!
ไม่เพียงเท่านั้น เมื่อถึงเวลานั้นนอกจากผมแล้ว เขาและเหล่าฉิน จะต้องเข้ามาพัวพันด้วย……
เมื่อพูดถึงจุดนี้ อาจารย์ก็ถอนหายใจออกมา และไม่พูดอะไรต่ออีก
ผมและเหล่าฉินเมื่อฟังมาถึงตรงนี้ พวกเราก็ต่างแสดงสีหน้าตกตะลึงออกมา
ผมจึงถามต่อ “อาจารย์ งั้นเป้าหมายของผีสองสามีภรรยานั้นก็คือผมและลุงซาน ตอนนี้ลุงซานตายไปแล้ว เหลือแค่ผมคนเดียว แค่ผมตายไปก็จบแล้วไม่ใช่เหรอครับ พวกคุณเข้ามาเกี่ยวข้องได้ยังไงกันละครับ”
ผมแสดงสีหน้าสงสัย ไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
แต่อาจารย์กลับเผยรอยยิ้มที่ขมขื่นออกมา บอกว่าเขาช่วยผมหลอกผีร้ายสองตนถึงสองครั้ง เหล่าฉินยิ่งแล้วใหญ่ไปทำร้ายจนผีผู้หญิงบาดเจ็บ
และสาเหตุที่ผีมีคำว่า “ร้าย” ก็แปลว่าพวกเขาดุร้ายมาก จนเรียกได้ว่ามีแค้นยังไงก็ต้องชำระ
ดังนั้นหลังจากผมตาย พวกเขาต้องมารังควานอาจารย์กับเหล่าฉินต่อ
เมื่อได้ยินถึงตรงนี้ ผมก็รู้สึกผิดมากขึ้น
การเก็บศพโดยบังเอิญแค่ครั้งเดียว ไม่เพียงต้องจ่ายด้วยชีวิตของลุงสาม ตอนนี้ยังพลอยทำให้อาจารย์และเหล่าฉินลำบากไปด้วย ในใจของผมรู้สึกแย่จนทำอะไรต่อไม่ไหว
เหล่าฉินทำงานนี้มาครึ่งชีวิต แม้ว่าจะไม่ได้มีความสามารถพิเศษอะไร แต่เขาก็ไม่ได้เป็นคนรักตัวกลัวตาย
ในเวลานี้เขาทำสีหน้าเคร่งขรึม และพูดออกมาตรงๆ “ฮึ! อย่างมากก็แค่สู้กับพวกมัน รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ ฉันจะหาเลือดหมาดำมาใหม่ ถ้าผีร้ายนั้นกล้ามาอีก ฉันจะสาดมันให้ตายเอง!”
อาจารย์ถอนหายใจออกมา “เหล่าฉิน วิธีนี้เราใช้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ถ้ายังคิดจะใช้อีก มันไม่มีทางได้ผลแล้วล่ะ”
“ไม่ได้ผลงั้นเหรอ เหล่าติง งั้นนายว่าพวกเราควรทำยังไง หรือว่าพวกเราจะยืนรอความตายแบบนั้นรึไง” เหล่าฉินพูดพร้อมกับทำหน้าขมวดคิ้ว
และผมเองก็ทำหน้าสงสัยมองไปที่อาจารย์ด้วยเช่นกัน รอดูว่าอาจารย์จะมีวิธีอะไรบ้างไหม
อาจารย์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เปิดปากพูด “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่นี่ มีเพียงวิธีสุดท้ายเท่านั้น ก็คือ ก็คือ……”
“ก็คืออะไร นายพูดออกมาซะทีซิ!” เหล่าฉินถามด้วยความร้อนใจ
อาจารย์กลับหันมามองที่ผม “ก็คือต้องทำให้เสี่ยวฝานไม่ได้รับความเป็นธรรม!”
ทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรม ผมในงงทันที
แต่ต่อมาผมก็พูดว่า “อาจารย์ ถ้ามันสามารถทำให้ชีวิตของทุกคนปลอดภัยได้ และกำจัดผีชั่วสองตนนั้นไปได้ ผมก็ยินดีทำให้ผมไม่ได้รับความเป็นธรรมเถอะครับ!”
หลังจากที่อาจารย์ฟังผมพูดจบ เขาก็แสดงสีหน้าซีเรียสออกมา จากนั้นก็พูดกับผมว่า “พรุ่งนี้ฉันจะให้แกแต่งงาน แกจะยอมไหม”
“อะไรนะ แต่งงานอะไร”
ผมงงหนักกว่าเดิม ถึงกับคายคำพูดพวกนั้นออกมา ทำหน้าตาไม่อยากเชื่อ
แฟนสักคนผมยังไม่มีเลย จะไปแต่งงานได้ยังไง ถึงจะไปซื้อเมียที่เวียดนามก็ไม่ทันแล้ว
แล้วก็นะ ถึงแม้จะแต่งงานแล้ว จะหนีความตายจากผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นได้จริงๆงั้นเหรอ
ผมทำหน้าเหวอไม่เข้าใจกับสิ่งที่อาจารย์พูด แต่ดูเหมือนเหล่าฉินที่ยืนอยู่ข้างๆจะเข้าใจความหมาย เพราะสีหน้าของเขาดูเปลี่ยนไปในทันที
แต่ไม่รอให้ทั้งสองคนได้พูด ผมก็ถามต่ออีกครั้ง “อาจารย์ ผมไม่มีแฟน จะแต่งงานได้ยังไงละครับ! แต่ถึงจะแต่งงานแล้ว จะหนีจากผีชาวประมงสองสามีภรรยาคู่นั้นได้จริงเหรอครับ”
สีหน้าของอาจารย์ยังไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงเผยสีหน้าที่ซีเรียสออกมา ในเวลานี้เขาพยักหน้าให้กับผม “ถูกต้อง แค่แกแต่งงาน ก็หนีภัยร้ายนี้ได้ และยิ่งไปกว่านั้นแกไม่จำเป็นต้องมีแฟนด้วย!”
ผมฟังพร้อมกับแสดงสีหน้าที่สับสน ไม่ต้องการแฟนงั้นเหรอ แล้วจะแต่งงานได้ยังไงละ
ไม่รอให้ผมต้องถามอีกรอบ เหล่าฉินที่ทำสีหน้าหวาดกลัวก็พูดกับอาจารย์ของผมด้วยน้ำเสียงที่ติดอ่าง “เหล่า เหล่าติง นายคงไม่ คงไม่ให้เสี่ยวฝาน เสี่ยวฝานแต่ง แต่งงานกับผีหรอกนะ”
เมื่อได้ยินคำว่า “แต่งงานกับผี” ผมก็ยิ่งมึนหนักยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
การแต่งงานกับผีนั้นผมก็รู้ มันถูกเรียกว่าการแต่งงานของคนตาย
โดยปกติแล้ว จะจัดขึ้นเพื่อหาคู่แต่งงานให้กับหนุ่มสาวที่ตายไปแล้ว
คนเฒ่าคนแก่คิดว่า ชีวิตของคนเราจะแก่ ป่วย และตาย แต่ก่อนหน้านั้นก็ต้องแต่งงานมีลูก
ถ้ายังไม่ได้แต่งงานแล้วเสียชีวิตก่อน จะคิดว่าชีวิตของคนแบบนี้ยังไม่ถือว่าสมบูรณ์
ไม่สามารถลงไปในนรกได้ อยู่อย่างสิ้นหวัง จากนั้นก็จะมารังควานคนในครอบครัว
ดังนั้นพวกคนเฒ่าคนแก่จึงคิดว่าการจัดพิธีแต่งงานให้กับหนุ่มสาวที่ตายไป และค้นหาหนุ่มสาวที่มีอายุใกล้เคียงกัน ฝังกระดูกพวกเขาร่วมกัน มันก็เหมือนกับพิธีแต่งงานของคน ที่จะต้องมีสินสอดทองหมั้น ในสมัยก่อนยังมีเพลงงานแต่งของคนตายเป็นพิเศษอีกด้วย
แต่เมื่อมาถึงในปัจจุบัน เรื่องแบบนี้ก็พบเห็นได้น้อยมากแล้ว
แต่ปัญหาก็คือ นี่เป็นพิธีที่จัดให้กับหมุ่นสาวที่ตายไปแล้ว และผมยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะมาแต่งงานกับผีได้ยังไง
ถึงจะทำได้ แต่ไม่มีศพผู้หญิง ก็แต่งไม่ได้อยู่ดี!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ผมก็พูดกับอาจารย์อีกครั้ง “อาจารย์ การแต่งงานกับผีนี้ไม่ได้จัดให้คนตายเหรอ ผม ผมยังไม่ตายนะครับ จะแต่งงานกับผีได้เหรอ และอีกอย่าง ที่นี่ก็ไม่มีศพผู้หญิง ผมก็แต่งไม่ได้นะครับ!”
อาจารย์กลับพยักหน้าให้อย่างหนักแน่น “ได้! ศพผู้หญิงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ไปหาเธอที่สุสานศพไร้ญาติก็ได้แล้ว หลังจากแต่งงานกับผีแล้ว ก็จะมีผีปกป้องภัยร้าย ช่วยปกป้องชีวิตแทนแก! แล้วก็ บางทีอาจจะหนีภัยร้ายครั้งนี้ได้อีกด้วย”
เมื่อได้ยินอาจารย์พูดแบบนี้ เดิมทีผมก็ไม่ได้คิดมากอยู่แล้ว ดังนั้นจึงตอบตกลงในทันที “อาจารย์ งั้นก็อย่ามาลังเลอยู่เลยครับ พาผมไปแต่งเลยครับ! ผมตกลง”
ผลลัพธ์ขณะที่เสียงพึ่งจางหายไป เหล่าฉินก็พูดขึ้นทันที “เสี่ยวฝาน แกรู้จักการแต่งงานกับผี แล้วรู้จักผลลัพธ์หลังแต่งงานไหม ผิดพลาดแค่นิดเดียว แกอาจตายอย่างน่าอนาถมากเลยนะ! เพราะมันเหมือนถูกฆ่าตายทั้งเป็น”
“ใช่แล้วลูกศิษย์ แกต้องคิดให้ดี ถ้าแต่งกับผีไปแล้ว ทั้งชีวิตนี้ของแกอาจจะแต่งงานมีลูกเหมือนคนปกติไม่ได้เลยนะ”
“ทุกวันทุกคืนอาจถูกผีตนหนึ่งหลอกหลอน! คนกับผียังมีข้อห้ามที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แค่แตะโดนกัน ก็ต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แกต้องคิดให้ดีๆซะก่อน” อาจารย์เองก็ถามผมด้วยความเคร่งเครียด ให้ผมได้เลือก
เมื่อกี้ผมไม่ได้คิดถึงจุดนี้ เมื่อได้ยินอาจารย์พูดออกมาแบบนั้น ผมก็เงียบนิ่งไปทันที
ทุกวันทุกคืนจะถูกผีตนหนึ่งหลอกหลอน คนและผีต่างกัน ไม่มีความรักระหว่างชายหญิง
ทั้งชีวิตไม่สามารถแต่งงานมีลูกได้ แค่คิดก็ทำให้คนกลัวแล้ว
แต่ว่า ตอนนี้ผมยังมีทางเลือกอื่นอีกเหรอ
ถ้าไม่ทำแบบนี้ อย่างมากที่สุดอีกสองสามวันข้างหน้า ผม อาจารย์ เหล่าฉิน พวกเราสามคนก็อาจได้รับอันตรายถึงชีวิต อีกอย่างถ้าตายสู้มีชีวิตต่อยังดีซะกว่า
เมื่อคิดถึงจุดนี้ ผมก็กัดฟัน หันไปพูดกับอาจารย์และเหล่าฉิน “ผมคิดดีแล้ว ขอแค่ยังมีชีวิตอยู่ ผมก็ไม่กลัว!”
เหล่าฉินไม่พูดอะไร เขาถอนหายใจออกมา
อาจารย์พยักหน้าเล็กน้อย บอกว่าในเมื่อผมตัดสินใจแล้ว งั้นพรุ่งนี้เราก็จะเริ่มทำพิธี
จากนั้น เหล่าฉินก็มาส่งผมกับอาจารย์ในร้าน
อาจารย์อายุมากแล้ว อาการบาดเจ็บก็ต้องดูหนักหนาเป็นธรรมดา หลังจากนอนลงบนเตียงได้ไม่นาน เขาก็หลับไปในทันที
แต่ผมกลับนอนพลิกไปพลิกมาแต่ก็นอนไม่หลับ จนถึงรุ่งสางผมพึ่งนอนหลับได้นิดเดียวเท่านั้น
เพราะคืนนี้ผมต้องแต่งงานกับผี ในช่วงเย็น เหล่าฉินจึงนำไก่ตัวผู้ตัวใหญ่มาให้พวกเราที่ร้าน
เมื่อสภาพร่างกายและจิตใจของอาจารย์ดีขึ้นมากแล้ว เมื่อเห็นเหล่าฉินมาถึง ทั้งสองคนก็เข้าไปคุยกันเสียงเบาๆในห้อง น่าจะคุยกันเรื่องพิธีในคืนนี้
ผมเองก็ไม่มีอารมณ์ไปแอบฟัง ผมจึงอยู่ด้านนอกเฝ้าร้านขายของ และเล่นเกมต่อไป
หลังจากฟ้ามืด อาจารย์และเหล่าฉินก็เดินออกมา ในเวลาเดียวกันยังนำของที่ใช้ทำพิธีออกมาด้วย จากนั้นก็พาผมออกมาจากร้านขายของ
ผมถามอาจารย์ว่าพวกเราจะไปไหนกัน อาจารย์ก็บอกว่าไปสุสานหม่าหลิง
ผมพูดเสียง “โอ้” ออกมา จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก
ส่วนสุสานหม่าหลิง ก็คือคำที่พวกเราใช้เรียกสุสานศพไร้ญาติ ที่นั้นมีหลุมศพพังเละอยู่มากมาย
พลังหยินรุนแรงมาก บางครั้งยังสามารถมองเห็นผีได้อีกด้วย ดังนั้นเมื่อถึงเวลากลางคืนที่นั้นจะไม่มีใครกล้าเข้าไปสักคน ไม่รู้ว่าคืนนี้อาจารย์จะจับคู่แบบไหนให้มาแต่งงานกับผม
เมื่อพวกเรามาถึงสถานที่ ก็เป็นเวลา 3 ทุ่มกว่าแล้ว
สถานที่แห่งนี้พลังหยินหนาแน่นมาก มันเงียบจนน่ากลัว นอกจากนี้ยังเย็นเป็นพิเศษด้วย
อาจารย์และเหล่าฉินหาหลุมศพที่ค่อนข้างดีในบริเวณแถวนี้หนึ่งหลุม จากนั้นก็สร้างแท่นบูชาจำลองขึ้นมา
จุดเทียน และเผากระดาษเงินกระดาษทอง
ส่วนเหล่าฉินก็ให้ผมถือข้าวหยิงหยู้เอาไว้ มันก็คือข้าวที่ทำอาหารแล้วจากนั้นก็นำมาอบอีกที
หลังจากนั้นก็บอกให้ผมโรยข้าวหยิงหยู้ลงที่บริเวณนี้ โรยทุกที่อย่างละหนึ่งกำมือ จนกว่าข้าวในถุงจะหมด
แม้ว่าผมจะไม่รู้ว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ แต่ก็ทำตามที่เขาบอก
ผมกำข้าวหยิงหยู้ขึ้นมา จากนั้นก็โรยมันออกไป
ขณะที่เมล็ดข้าวตกลงพื้น ทันใดนั้นก็มีเสียง “ฟิ้ว…” ดังขึ้น ภายใต้สิ่งแวดล้อมประเภทนี้และยังต้องมาได้ยินเสียงแบบนี้ มันจึงทำให้ตัวผมรู้สึกไม่สบายใจนิดหน่อย
แต่ยังดีที่ข้างหลังยังมีเหล่าฉินอยู่ หลังจากโรยข้าวเสร็จ ก็โรยกระดาษเงินกระดาษทองต่อ
และผมยังตะโกนตามเขาว่า “ผู้เฒ่าผู้แก่ที่อยู่รอบๆนี้มากินข้าวแล้วเอาอั่งเปาไปเร็ว! วันนี้เป็นงานมงคล หากมีการรบกวนใดๆ ก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย……”
หลังจากพูดจบ ผมยังต้องตีฆ้อง เสียงดัง “มง…มง”
แต่เมื่อผมได้ยินเหล่าฉินตะโกนแบบนี้ ในใจก็รู้สึกหวิวๆทันที มักรู้สึกว่าทั้งตัวต่างไม่สบาย แต่ก็ยังแกล้งทำเป็นใจกล้าและโรยข้าวต่อไป
เหล่าฉินก็พูดประโยคเดิมอย่างต่อเนื่อง จนทำให้บรรยากาศโดยรอบผิดปกติมาก
จนกระทั่งโรยข้าวในถุงหมด เหล่าฉินถึงได้พาตัวผมกลับไปหาอาจารย์
อาจารย์เตรียมพิธีจนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เขากำลังใช้ชุดนักพรตสีเหลืองยืนอยู่ด้านหน้า
เมื่อเห็นพวกเรากลับมา อาจารย์ก็ไม่รอช้า จุดเทียนสีแดงที่ตั้งอยู่บนโต๊ะทันที
ก่อนอื่นต้องบอกว่า ที่ด้านหน้ามีหุ่นฟางที่มีกระดาษเขียนวันเดือนปีเกิดของผมแปะเอาไว้
จากนั้น อาจารย์ก็หยิบดาบไม้ขึ้นมาร่ายรำ ในปากยังท่องคำอะไรบางอย่าง คงเป็นคำที่ใช้ในพิธี
เหมือนเวลาผ่านไปราวๆ 1 ชั่วโมง จู่รอบๆก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น มันเย็นยะเยือกมากทีเดียว
ทันใดนั้นฆ้องก็มีเสียงดัง “ติง…ติง…ติง”
เมื่ออาจารย์เห็นฆ้องเสียงดังขึ้น เขาก็พูดออกมาเบาๆ “มาแล้ว”
หลังจากพูดจบ เขาก็อมเหล้าที่อยู่ในมือหนึ่งคำ ในเวลาเดียวกันเขาก็พ้นมันไปที่หุ่นฟาง
เสียงดัง “ฟูด” ทันใดนั้นกระดาษวันเดือนปีเกิดของผมที่อยู่บนหุ่นฟาง ก็ถูกเผาทันที
ในเวลาเดียวกัน อาจารย์ก็ตะโกนมาทางผม “ติงฝาน มาคุกเข่าตรงหน้าฉัน……”