ศพ – ตอนที่ 71 โชคดี

ตอนที่ 71 โชคดี

เมื่อเห็นทหารผีเดินเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆ ใจผมก็แทบจะทะลุออกมา

โดยเฉพาะตอนที่เห็นร่างกายที่ซูบผอม และดวงตาสีขาวโพนไร้ชีวิตชีวา บวกกับอากาศที่หนาวเย็นราวกับอยู่ท่ามกลางน้ำแข็ง ก็ทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น

ขณะที่ชายคนนี้กำลังเดินเข้ามาทีละนิด ผมก็พบว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่น แสดงสีหน้าหวาดกลัว

แม้ว่าชายตรงหน้าจะเป็นผี แต่พวกเรากลับไม่กล้าหาเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กล้าโจมตีใส่เขาหรือแม้แต่จะหนี

เพราะถ้าถูกจับได้ พวกเราจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยละ

ถึงพวกเราจะร้ายกาจแค่ไหน แต่จะเก่งจนสามารถเอาชนะผีเหล่านี้ได้อย่างนั้นเหรอ

 

พวกเรากลั้นลมหายใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหายใจ เพราะตอนนี้พวกเราถูกแรงกดดันนั้นกดทับการหายใจเรียบร้อยแล้ว

แต่ภายใต้ความเครียดที่รุนแรงนั้น หัวใจผมกลับเต้นเร็วมาก

ปกติเวลาผมกลั้นหายใจ จะสามารถกลั้นได้ 1 นาทีกว่าๆ

แต่ตอนนี้ ผมกลับกลั้นมาได้แค่ 30 กว่าวินาที ก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว

ผมหน้าแดง รู้สึกทรมานมาก

ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แม้แต่เฟิงเฉ่วหานและผู้หญิงสวมหน้ากากก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเองก็แทบทนไม่ไหวแล้ว

 

แต่เจ้าผีตนนั้นกลับตามลมหายใจจนเข้ามาถึงตรงหน้าของพวกเรา แต่ในสายตาของเขา น่าจะมองไม่เห็นพวกเรา

เขายังขยับจมูกสูดดมอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหน้าของพวกเราเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น แต่ก็ยังคงสูดดมอย่างไม่หยุดหย่อน

พี่ชาย คุณเป็นหมารึไง! รีบออกไปเถอะ! ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว!

ผมแอบพูดในใจ เพราะทรมานมาก

แต่ขณะที่ผีตนนั้นกำลังดม เขาก็ตรงเข้ามาดมหน้าผากของผม

ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากผม ไม่ถึง 10 เซนติเมตร

 

ผมรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แพร่ออกมา และสามารถเห็นดวงตาสีขาวโพนคู่นั้นได้อย่างชัดเจน

ผมพิงก้อนหินตัวแข็งทื่อ ค่อยๆเอนหัวไปข้างหลังเล็กน้อย อยากจะพิงหัวให้ติดกับก้อนหิน

แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ากำแพงในใจของผมกำลังจะพังทลาย ผมแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ

หลังจากผีตนนั้นดมได้สักพัก เขาเลื่อนลงตามร่างกายของผม จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่กระเป๋าในมือของผม

ในนั้นมีกระถางธูปที่พึ่งเปลี่ยนผงขี้ธูปมา ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้จะดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก

และดูเหมือนจะเป็นเจ้าสิ่งนี้จริงๆ ที่ดึงดูดความสนใจจากผีตนนี้

เขาส่งเสียง “ฟึดฟึด” แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา

 

แต่เขาไม่มั่นใจเรื่องตำแหน่ง หลังจากหันไปดมทั่วๆ ทันใดนั้นเขาก็ดึงดาบที่เอวออกมา

หลังจากดาบถูกดึงออกมา พวกเราสามคนก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย

นี่คือถูกจับได้แล้วเหรอ แต่พวกเราก็ยังไม่ขยับตัวเลยนะ

ส่วนผีตนนั้น กลับยกดาบขึ้นทันที และแทงเข้ามาตรงร่างของผมในระยะเพียงครึ่งเมตร

“บึก” ดาบเล่มนั้นแทงเข้ากับก้อนหิน หินก็แตกออกและล่วงลงพื้นทันที

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที

เขาคิดจะทำอะไร ถูกจับได้แล้วเหรอ

 

หลังจากแทงเข้ามาหนึ่งครั้ง เขาก็ชักดาบกลับไป จากนั้นก็เข้ามาใกล้ผมอีกนิด และแทงเข้ามาอีกครั้ง

“บึก” ครั้งนี้ก็แทงโดนหินที่อยู่ข้างตัวผมอีกครั้ง แต่ระยะห่างจากผม มีไม่ถึง 10 เซนติเมตร

ถ้าเขายังคิดจะแทงเข้ามาอีกครั้ง จะต้องแทงโดนผมอย่างแน่นอน

ตอนนี้ใจของผมกำลังกังวลจนแทบบ้า และผมทนไม่ไหวแล้ว อยากจะสูดหายใจเข้าสักครั้ง

ผมไม่รู้จริงๆว่าควรทำยังไง ควรจะหายใจแล้วค่อยหลบ

หรือว่าจะทำเป็นเงียบ อดทนต่อไปดี

 

ในช่วงเวลานี้ ในสมองของผมก็เริ่มคิดที่จะสู้

ในเวลาเดียวกัน ผีตนนั้นได้ดึงดาบกลับไปแล้ว ขณะนี้เขากำลังจะแทงเข้ามาทางผมอีกครั้ง

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็กัดฟันอย่างแรง หยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง

ผมไม่สนใจอีกต่อไป ผมไม่อยากนั่งรอความตาย และยิ่งไม่อยากถูกผีแทงตายแบบนี้

ถ้าเขายกดาบมาแทงจริงๆ ผมก็จะรีบหลบ จากนั้นก็แปะยันต์ใส่เจ้านี้และรีบหนีทันที

จะสู้ได้ไหมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะมัวมานั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้

ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ เมื่อเห็นผีตนนั้นจะแทงเข้ามาอีกครั้ง ผมก็เตรียมตัวจะลงมือ

 

ทันใดนั้นผู้หญิงที่สวมหน้ากากก็ขยับตัว ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร หยิบเศษหินที่แตกออกมาจากหินก้อนนั้นขึ้น จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความมืด

โยนหินก้อนนั้นเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงดัง “แก๊กแก๊ก”

จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงนี้ที่ด้านหน้าของตัวเอง จึงหันไปมองทันที ผมเผยสีหน้ามืดมนออกมา ดาบในมือของผีตนนั้นก็หยุดลงทันที

จากนั้น เขาก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปที่พุ่มไม้พุ่มนั้น

เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ถอนหายใจออกมาในใจ

อันตรายมากๆ เมื่อกี้อีกนิดเดี๋ยวผมก็จะถูกจับได้แล้ว

 

หลังจากผีตนนั้นจากไป พวกเราสามคนก็สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงขาดอากาศหายใจและตายอยู่ที่นี่จริงๆ

จากนั้นผู้หญิงสวมหน้ากากก็พูดออกมาตั้งแต่วินาทีแรก “ไปซ่อนตรงนั้น!”

หลังจากพูดจบ ผู้หญิงสวมหน้ากากก็ชี้ไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

ในเวลาเดียวกันเธอยังหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็แปะลงบนก้อนหินที่พวกเราอยู่ก่อนหน้านี้

เธอกัดนิ้วของตัวเองอย่างรวดเร็ว ใช้เลือดที่นิ้ว ป้ายลงบนยันต์เหลืองแผ่นนั้น

ผมและเฟิงเฉ่วหานจะกล้าชักช้าได้ยังไง เจ้าผีตนนี้ไม่ใช่ศัตรูที่พวกเราจะต่อกรด้วยได้

 

ตอนนี้เจ้านั้นถูกพวกเราหลอกล่อ เป็นธรรมดาที่พวกผมจะไม่กล้าลีลา รีบวิ่งไปทางที่เธอบอกทันที

และขณะที่พวกเราพึ่งจะขยับตัวนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ฮึ!” ดังมาจากทางพุ่มไม้

 

พุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆห่างจากพวกเราไม่ไกลนัก  ดังนั้นวิ่งมาแค่สองก้าว ร่างของพวกเราสามคนก็มานอนราบอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว

และการใช้ระยะห่างจากเมื่อกี้ ยังทำให้ผมได้หายใจถึงสองสามครั้ง จากนั้นก็กลั้นหายใจต่อทันที

เจ้าผีนั้นขยับตัว มันปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง

แถมครั้งนี้ยังตรงมาที่ตำแหน่งที่ซ่อนก่อนหน้านี้ของพวกเราอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึง ก็จ้องยันต์ที่ผู้หญิงสวมหน้ากากแปะเอาไว้ทันที

 

ในปากยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ฮึ! อ่อน พวกสอดแนมกระจอกๆ ตายไปซะ”

หลังจากพูดจบ เขาก็แทงเข้าไป ตรงกลางยันต์แผ่นนั้นทันที

หลังจากผีตนนั้นแทงไปได้หนึ่งครั้ง เขาก็หมุนตัว และลอยกลับไปที่ถนนเส้นนั้นทันที

เมื่อเห็นผีตนนั้นลอยผ่านพวกเราไป ผมก็กลัวจนแทบช็อก

แต่ผีตนนั้นก็ไม่หันมาสนใจพวกเราอีกเลย เขาลอยเข้าไปในกองทัพ เดินตามพวกทหารผี ตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ

หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที กองทัพนั้นก็หายไปจนหมด ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆทั้งสิ้น

และถนนสีเหลืองที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

 

หินสีเหลืองอ่อนพวกนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้มันกลายเป็นถนนหินธรรมดาๆ

และอากาศที่หนาวเย็นรอบๆ ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

ก่อนหน้านี้รอบๆจะเงียบจนน่ากลัว แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

เสียงร้องของแมลงในฤดูร้อนเริ่มดังขึ้นมาทีละนิด พวกมันกลับมาคึกคักอีกครั้ง

“ไม่เป็นไรแล้ว ลุกขึ้นมาซิ!” ผู้หญิงสวมหน้ากากพูดออกมาเบาๆ

เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็ถอนหายใจออกมายาวๆ

 

ตอนนี้ยังตกใจอยู่เล็กน้อย เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชีวิตนี้จะได้เห็นกองทัพผีเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังโชคดีที่สามารถหนีรอดมาจากพวกมันได้

แน่นอน ว่าทั้งหมดนี้มาจากความช่วยเหลือของผู้หญิงสวมหน้ากาก

ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฎตัวอย่างกระทันหันของเธอ ป่านนี้พวกเราก็คงยังไม่รู้ว่ากำลังเดินอยู่บนถนนอะไร แถมตอนนั้นเธอยังใช้ยันต์แปลกๆปิดบังพลังหยางในร่างกายของพวกเราเอาไว้ และสุดท้ายพวกเราก็หลบจมูกสุนัขนั้นได้

ผมและเฟิงเฉ่วหาน กลัวตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องแล้ว ว่าจะถูกจับวิญญาณไป……

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset