ตอนที่ 71 โชคดี
เมื่อเห็นทหารผีเดินเข้ามาใกล้พวกเราเรื่อยๆ ใจผมก็แทบจะทะลุออกมา
โดยเฉพาะตอนที่เห็นร่างกายที่ซูบผอม และดวงตาสีขาวโพนไร้ชีวิตชีวา บวกกับอากาศที่หนาวเย็นราวกับอยู่ท่ามกลางน้ำแข็ง ก็ทำให้คนรู้สึกถึงแรงกดดันที่มองไม่เห็น
ขณะที่ชายคนนี้กำลังเดินเข้ามาทีละนิด ผมก็พบว่าร่างกายของตัวเองกำลังสั่น แสดงสีหน้าหวาดกลัว
แม้ว่าชายตรงหน้าจะเป็นผี แต่พวกเรากลับไม่กล้าหาเรื่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังไม่กล้าโจมตีใส่เขาหรือแม้แต่จะหนี
เพราะถ้าถูกจับได้ พวกเราจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยเลยละ
ถึงพวกเราจะร้ายกาจแค่ไหน แต่จะเก่งจนสามารถเอาชนะผีเหล่านี้ได้อย่างนั้นเหรอ
พวกเรากลั้นลมหายใจ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องหายใจ เพราะตอนนี้พวกเราถูกแรงกดดันนั้นกดทับการหายใจเรียบร้อยแล้ว
แต่ภายใต้ความเครียดที่รุนแรงนั้น หัวใจผมกลับเต้นเร็วมาก
ปกติเวลาผมกลั้นหายใจ จะสามารถกลั้นได้ 1 นาทีกว่าๆ
แต่ตอนนี้ ผมกลับกลั้นมาได้แค่ 30 กว่าวินาที ก็รู้สึกทนไม่ไหวแล้ว
ผมหน้าแดง รู้สึกทรมานมาก
ไม่ใช่แค่ผมคนเดียว แม้แต่เฟิงเฉ่วหานและผู้หญิงสวมหน้ากากก็เป็นเช่นนั้น พวกเขาเองก็แทบทนไม่ไหวแล้ว
แต่เจ้าผีตนนั้นกลับตามลมหายใจจนเข้ามาถึงตรงหน้าของพวกเรา แต่ในสายตาของเขา น่าจะมองไม่เห็นพวกเรา
เขายังขยับจมูกสูดดมอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากหน้าของพวกเราเพียงครึ่งเมตรเท่านั้น แต่ก็ยังคงสูดดมอย่างไม่หยุดหย่อน
พี่ชาย คุณเป็นหมารึไง! รีบออกไปเถอะ! ฉันจะทนไม่ไหวแล้ว!
ผมแอบพูดในใจ เพราะทรมานมาก
แต่ขณะที่ผีตนนั้นกำลังดม เขาก็ตรงเข้ามาดมหน้าผากของผม
ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากผม ไม่ถึง 10 เซนติเมตร
ผมรู้สึกได้ถึงไอเย็นที่แพร่ออกมา และสามารถเห็นดวงตาสีขาวโพนคู่นั้นได้อย่างชัดเจน
ผมพิงก้อนหินตัวแข็งทื่อ ค่อยๆเอนหัวไปข้างหลังเล็กน้อย อยากจะพิงหัวให้ติดกับก้อนหิน
แต่ทันใดนั้นเอง ผมก็รู้สึกว่ากำแพงในใจของผมกำลังจะพังทลาย ผมแทบจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ
หลังจากผีตนนั้นดมได้สักพัก เขาเลื่อนลงตามร่างกายของผม จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ที่กระเป๋าในมือของผม
ในนั้นมีกระถางธูปที่พึ่งเปลี่ยนผงขี้ธูปมา ดูเหมือนเจ้าสิ่งนี้จะดึงดูดเขาเป็นอย่างมาก
และดูเหมือนจะเป็นเจ้าสิ่งนี้จริงๆ ที่ดึงดูดความสนใจจากผีตนนี้
เขาส่งเสียง “ฟึดฟึด” แสดงท่าทางตื่นเต้นออกมา
แต่เขาไม่มั่นใจเรื่องตำแหน่ง หลังจากหันไปดมทั่วๆ ทันใดนั้นเขาก็ดึงดาบที่เอวออกมา
หลังจากดาบถูกดึงออกมา พวกเราสามคนก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาเล็กน้อย
นี่คือถูกจับได้แล้วเหรอ แต่พวกเราก็ยังไม่ขยับตัวเลยนะ
ส่วนผีตนนั้น กลับยกดาบขึ้นทันที และแทงเข้ามาตรงร่างของผมในระยะเพียงครึ่งเมตร
“บึก” ดาบเล่มนั้นแทงเข้ากับก้อนหิน หินก็แตกออกและล่วงลงพื้นทันที
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ตัวสั่นขึ้นมาทันที
เขาคิดจะทำอะไร ถูกจับได้แล้วเหรอ
หลังจากแทงเข้ามาหนึ่งครั้ง เขาก็ชักดาบกลับไป จากนั้นก็เข้ามาใกล้ผมอีกนิด และแทงเข้ามาอีกครั้ง
“บึก” ครั้งนี้ก็แทงโดนหินที่อยู่ข้างตัวผมอีกครั้ง แต่ระยะห่างจากผม มีไม่ถึง 10 เซนติเมตร
ถ้าเขายังคิดจะแทงเข้ามาอีกครั้ง จะต้องแทงโดนผมอย่างแน่นอน
ตอนนี้ใจของผมกำลังกังวลจนแทบบ้า และผมทนไม่ไหวแล้ว อยากจะสูดหายใจเข้าสักครั้ง
ผมไม่รู้จริงๆว่าควรทำยังไง ควรจะหายใจแล้วค่อยหลบ
หรือว่าจะทำเป็นเงียบ อดทนต่อไปดี
ในช่วงเวลานี้ ในสมองของผมก็เริ่มคิดที่จะสู้
ในเวลาเดียวกัน ผีตนนั้นได้ดึงดาบกลับไปแล้ว ขณะนี้เขากำลังจะแทงเข้ามาทางผมอีกครั้ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็กัดฟันอย่างแรง หยิบยันต์ออกมาจากกระเป๋าของตัวเอง
ผมไม่สนใจอีกต่อไป ผมไม่อยากนั่งรอความตาย และยิ่งไม่อยากถูกผีแทงตายแบบนี้
ถ้าเขายกดาบมาแทงจริงๆ ผมก็จะรีบหลบ จากนั้นก็แปะยันต์ใส่เจ้านี้และรีบหนีทันที
จะสู้ได้ไหมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่จะมัวมานั่งรอความตายแบบนี้ไม่ได้
ในใจของผมกำลังคิดแบบนี้ เมื่อเห็นผีตนนั้นจะแทงเข้ามาอีกครั้ง ผมก็เตรียมตัวจะลงมือ
ทันใดนั้นผู้หญิงที่สวมหน้ากากก็ขยับตัว ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไร หยิบเศษหินที่แตกออกมาจากหินก้อนนั้นขึ้น จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากความมืด
โยนหินก้อนนั้นเข้าไปในพุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆอย่างไม่ให้ซุ่มให้เสียง จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงดัง “แก๊กแก๊ก”
จู่ๆผมก็ได้ยินเสียงนี้ที่ด้านหน้าของตัวเอง จึงหันไปมองทันที ผมเผยสีหน้ามืดมนออกมา ดาบในมือของผีตนนั้นก็หยุดลงทันที
จากนั้น เขาก็หมุนตัวอย่างรวดเร็ว พุ่งตรงไปที่พุ่มไม้พุ่มนั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ผมก็ถอนหายใจออกมาในใจ
อันตรายมากๆ เมื่อกี้อีกนิดเดี๋ยวผมก็จะถูกจับได้แล้ว
หลังจากผีตนนั้นจากไป พวกเราสามคนก็สูดหายใจเข้าหนึ่งครั้ง ไม่อย่างนั้นพวกเราคงขาดอากาศหายใจและตายอยู่ที่นี่จริงๆ
จากนั้นผู้หญิงสวมหน้ากากก็พูดออกมาตั้งแต่วินาทีแรก “ไปซ่อนตรงนั้น!”
หลังจากพูดจบ ผู้หญิงสวมหน้ากากก็ชี้ไปที่พุ่มไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล
ในเวลาเดียวกันเธอยังหยิบยันต์แผ่นหนึ่งออกมา จากนั้นก็แปะลงบนก้อนหินที่พวกเราอยู่ก่อนหน้านี้
เธอกัดนิ้วของตัวเองอย่างรวดเร็ว ใช้เลือดที่นิ้ว ป้ายลงบนยันต์เหลืองแผ่นนั้น
ผมและเฟิงเฉ่วหานจะกล้าชักช้าได้ยังไง เจ้าผีตนนี้ไม่ใช่ศัตรูที่พวกเราจะต่อกรด้วยได้
ตอนนี้เจ้านั้นถูกพวกเราหลอกล่อ เป็นธรรมดาที่พวกผมจะไม่กล้าลีลา รีบวิ่งไปทางที่เธอบอกทันที
และขณะที่พวกเราพึ่งจะขยับตัวนั้น ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียง “ฮึ!” ดังมาจากทางพุ่มไม้
พุ่มไม้ที่อยู่ข้างๆห่างจากพวกเราไม่ไกลนัก ดังนั้นวิ่งมาแค่สองก้าว ร่างของพวกเราสามคนก็มานอนราบอยู่กับพื้นเรียบร้อยแล้ว
และการใช้ระยะห่างจากเมื่อกี้ ยังทำให้ผมได้หายใจถึงสองสามครั้ง จากนั้นก็กลั้นหายใจต่อทันที
เจ้าผีนั้นขยับตัว มันปรากฎตัวขึ้นอีกครั้ง
แถมครั้งนี้ยังตรงมาที่ตำแหน่งที่ซ่อนก่อนหน้านี้ของพวกเราอย่างรวดเร็ว เมื่อเขามาถึง ก็จ้องยันต์ที่ผู้หญิงสวมหน้ากากแปะเอาไว้ทันที
ในปากยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ฮึ! อ่อน พวกสอดแนมกระจอกๆ ตายไปซะ”
หลังจากพูดจบ เขาก็แทงเข้าไป ตรงกลางยันต์แผ่นนั้นทันที
หลังจากผีตนนั้นแทงไปได้หนึ่งครั้ง เขาก็หมุนตัว และลอยกลับไปที่ถนนเส้นนั้นทันที
เมื่อเห็นผีตนนั้นลอยผ่านพวกเราไป ผมก็กลัวจนแทบช็อก
แต่ผีตนนั้นก็ไม่หันมาสนใจพวกเราอีกเลย เขาลอยเข้าไปในกองทัพ เดินตามพวกทหารผี ตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ
หลังจากนั้นประมาณ 2 นาที กองทัพนั้นก็หายไปจนหมด ไม่เห็นแม้แต่ร่องรอยใดๆทั้งสิ้น
และถนนสีเหลืองที่พวกเราเห็นก่อนหน้านี้ ก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา
หินสีเหลืองอ่อนพวกนั้น หายไปอย่างไร้ร่องรอย ตอนนี้มันกลายเป็นถนนหินธรรมดาๆ
และอากาศที่หนาวเย็นรอบๆ ก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ก่อนหน้านี้รอบๆจะเงียบจนน่ากลัว แต่ตอนนี้กลับเปลี่ยนมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
เสียงร้องของแมลงในฤดูร้อนเริ่มดังขึ้นมาทีละนิด พวกมันกลับมาคึกคักอีกครั้ง
“ไม่เป็นไรแล้ว ลุกขึ้นมาซิ!” ผู้หญิงสวมหน้ากากพูดออกมาเบาๆ
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็ถอนหายใจออกมายาวๆ
ตอนนี้ยังตกใจอยู่เล็กน้อย เพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่า ชีวิตนี้จะได้เห็นกองทัพผีเดินทาง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเราก็ยังโชคดีที่สามารถหนีรอดมาจากพวกมันได้
แน่นอน ว่าทั้งหมดนี้มาจากความช่วยเหลือของผู้หญิงสวมหน้ากาก
ถ้าไม่ใช่เพราะการปรากฎตัวอย่างกระทันหันของเธอ ป่านนี้พวกเราก็คงยังไม่รู้ว่ากำลังเดินอยู่บนถนนอะไร แถมตอนนั้นเธอยังใช้ยันต์แปลกๆปิดบังพลังหยางในร่างกายของพวกเราเอาไว้ และสุดท้ายพวกเราก็หลบจมูกสุนัขนั้นได้
ผมและเฟิงเฉ่วหาน กลัวตั้งแต่ตอนเกิดเรื่องแล้ว ว่าจะถูกจับวิญญาณไป……