ตอนที่ 72 เป็นเธอ
เมื่อคิดถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็รู้สึกขอบคุณผู้หญิงสวมหน้ากากตรงหน้ามาก
จึงพูดกับผู้หญิงสวมหน้ากากว่า “คนสวย เมื่อกี้ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้เธอช่วยเอาไว้ ฉันสองคนคงตายไปแล้ว!”
หลังจากพูดจบ ผมและเฟิงเฉ่วหานก็ทำตามมารยาท หันไปจับมือกับผู้หญิงสวมหน้ากาก
ผู้หญิงสวมหน้ากากพยักหน้า แต่ไม่พูดอะไร
ผมยังพูดต่อ “ฉันชื่อติงฝาน นี่คือเพื่อนของฉันเฟิงเฉ่วหาน ไม่ทราบว่าคนสวยชื่ออะไรเหรอครับ”
แต่เสียงของผมพึ่งจางหาย ผู้หญิงสวมหน้ากากก็ยิ้ม “ยิงฟัน” ออกมา เธอไม่รีบตอบ แต่เอื้อมมือไปถอดหน้ากากแทน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายจะเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง ผมและเฟิงเฉ่วหานก็แสดงสีหน้ารอคอย
พวกเราเองก็อยากรู้ ว่าหน้าตาของอีกฝ่ายเป็นยังไงกันแน่
ขณะที่หน้ากากเริ่มเลื่อนลงมาอย่างช้าๆ มันก็เผยให้เห็น ใบหน้าที่เรียบเนียน
แต่หลังจากที่ผมและเฟิงเฉ่วหานเห็นใบหน้านี้ พวกเราก็มึนงง
ยืนอึ้งในทันที รู้สึกทำอะไรไม่ถูก
มันไม่ใช่เพราะความสวยของผู้หญิงคนนี้ แต่เป็นเพราะผู้หญิงคนนี้ เป็นคนที่พวกเราเคยเห็นหน้ามาก่อน
เธอไม่ใช่ใครอื่น เธอก็คือคนที่พวกเราเจอหลังกลับมาจากป่าช้าเก่าเมื่อเดือนที่แล้ว สาวสวยที่เจอกันโดยบังเอิญในร้านปิ้งย่าง หยางเฉ่วนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ผมก็คิดอยู่ว่า ดวงตาคู่นั้นมันดูคุ้นๆ แต่ก็คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเป็นหยางเฉ่ว
ตอนนี้เมื่อได้เห็นแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง
เมื่อหยางเฉ่วเห็นผมและเฟิงเฉ่วหานทำหน้าเหวอ เธอก็รีบยิ้มหวานให้ทันที “ทำไม แค่ผ่านไปแป๊บเดียวก็ลืมฉันแล้วเหรอ”
“หยางเฉ่ว เธอ เธอเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายจริงๆเหรอ” ผมถามด้วยความสงสัย
หยางเฉ่วยิ้ม “มีปัญหาอะไรงั้นเหรอ ถ้าตอนนั้นฉันไม่ออกมา ป่านนี้พวกนายสองคนคงถูกจับตัวไปนานแล้ว!”
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ “ถ้าพูดแบบนั้น งั้นยันต์ทำลายวิญญาณที่อยู่ในกระเป๋าของฉัน เธอก็เป็นคนยัดเอาไว้ให้ฉันจริงๆซินะ”
หยางเฉ่วยิ้มอย่างเฉยชา “เป็นอะไร มันก็ไม่ได้มีประโยชน์กับนายเหรอ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็แทบกระอักเลือดออกมา
เธอช่วยฉันที่ไหนละ ตอนนั้นฉันเกือบโดนผีเมียตีตายด้วยซ้ำ
แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ หยางเฉ่วคนนี้ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร
และยังเหมือนกับสิ่งที่น้องศพเดาไว้ เธออาจเห็นว่าพลังหยางของผมมีน้อย และมีพลังผีบนร่าง จึงนำยันต์แผ่นนั้นมาช่วยชีวิตผม
แม้จะคิดถึงตรงนี้ แต่ผมก็ยังอยากถามด้วยตัวเองอยู่ดี
สุดท้ายผมก็ตอบรับ “อืมอืม” จากนั้นก็ถามว่า “เอ่อคือ ทำไมจู่ๆเธอก็ให้ยันต์ฉัน แถมตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ได้ละ”
ไม่ใช่แค่ผม เฟิงเฉ่วหานเองก็สงสัยมาก เขาหันไปมองหยางเฉ่วเช่นกัน
แต่หยางเฉ่วกลับพูดออกมาอย่างสบายๆ “เห็นนายช่วยฉันแก้ปัญหาเรื่องนักเลงกลุ่มนั้น ฉันเลยให้ไว้เพื่อช่วยชีวิตนายก็เท่านั้น พลังหยางของนายน้อยขนาดนั้น ช่วงสองสามวันคงถูกพวกผีเข้าสิงได้”
เมื่อได้ยินหยางเฉ่วอธิบาย ในที่สุดความสงสัยในใจของผมก็หายไป
ดูเหมือนหยางเฉ่วจะไม่ได้มีเจตนาร้าย แค่อยากให้ยันต์เอาไว้ช่วยชีวิตผมก็เท่านั้น
หลังจากพูดจบ หยางเฉ่วก็พูดต่อ “ส่วนเรื่องที่ทำไมดึกขนาดนี้ฉันถึงมาอยู่ที่นี่นั้น เรื่องนี้ฉันเองก็บอกพวกนายไม่ได้ แต่ฉันก็แปลกใจมากเลยนะ ทำไมพวกนายถึงมาอยู่ที่นี่ละ”
หลังจากมั่นใจว่าหยางเฉ่วไม่ใช่คนเลว ผมก็ไม่สนใจอีกต่อไป ว่าทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ในตอนกลางคืน
แต่เรื่องของผม นั้นไม่เป็นอะไร
ผมยกกระเป๋าในมือขึ้น “มาเปลี่ยนผงขี้ธูปนิดหน่อยน่ะ!”
“เปลี่ยนผงขี้ธูป” หยางเฉ่วไม่เข้าใจ
ผมเองก็ไม่ได้อธิบาย แค่พยักหน้าให้เล็กน้อยเท่านั้น
เมื่อหยางเฉ่วเห็นแบบนั้น เธอก็ยังอดไม่ได้ที่จะพูดเยาะเย้ย “ซวยมากเลยนะ แค่มาเปลี่ยนผงขี้ธูปก็ต้องมาเจอกองทัพผีเดินผ่าน!”
“ชั่งเถอะ ฉันมีธุระต้องไปทำ ถ้ามีโอกาสค่อยไปดื่มเหล้าด้วยกันอีกนะ!”
เมื่อเห็นหยางเฉ่วมีธุระ พวกเราก็ไม่ถามต่อ เพราะยังไม่รู้จักกับเธอดี
พวกเราพยักหน้าและบอกลา จากนั้นหยางเฉ่วก็ใส่หน้ากาก และวิ่งตรงไปที่พุ่มไม้ของอีกฝั่งอย่างรวดเร็ว
เธอเคลื่อนไหวเร็วมาก แค่แป๊บเดียวร่างของเธอก็เลือนหายเข้าไปในป่าแล้ว
เมื่อหยางเฉ่วไปแล้ว เฟิงเฉ่วหานก็พูดออกมาว่า “เธอมีพลังเยอะมากเลยนะ!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ ผมก็กลอกตาทันที
ไม่ต้องให้นายมาบอก ฉันเองก็ดูออก
สามารถมองออกว่าพวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายในครั้งเดียว ใช้ยันต์แผ่นเดียวหลอกผีได้ แล้วก็ยังเรื่องที่เธอสงบได้ขนาดนั้นอีก
ถ้านี่ไม่ใช่เพราะมีวิชาอยู่บ้าง จะทำแบบนั้นได้ไหมละ
“ใช่เยอะมาก แต่ยังไงเธอก็ไปแล้ว พวกเราเองก็ควรกลับกันได้แล้ว!” ผมพูดต่อ
เฟิงเฉ่วหานเองก็พยักหน้าเล็กน้อย และรีบเดินตามผมมาทันที
แม้ว่าจะได้เจอกับการเดินทางของกองทัพผี และต้องเจอกับสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ
แต่ตลอดทางที่เดินกลับมาพวกเราก็ไม่เจอปัญหาอะไรอีก ดังนั้นเลยใช้เวลาแค่หนึ่งชั่วโมง พวกเราก็เดินกลับมาถึงตำบลชิงฉือแล้ว
หลังจากหาอะไรกินในตำบลนิดหน่อย ผมก็แยกทางจากเฟิงเฉ่วหาน ต่างคนก็ต่างกลับบ้านของตัวเอง
เมื่อผมกลับมาถึงบ้าน อาจารย์ก็นอนหลับไปแล้ว
ผมหยิบกระถางธูปออกมา วางไว้ที่หน้าป้ายวิญญาณของน้องศพ จากนั้นก็จุดธูปสามดอก แล้วเข้าไปอาบน้ำและนอนหลับทันที
เมื่อตื่นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ผมก็เล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้อาจารย์ฟังหนึ่งรอบ
แม้ตาแก่นี้จะไปมาหลายที่ แต่เมื่อได้ยินสิ่งที่ผมเจอเมื่อคืน เขาก็อ้าปากค้างทันที
ในเวลาเดียวกันยังรู้สึกว่าโชคดีมาก ที่ผมสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย
การเดินทางของกองทัพผีเป็นสิ่งต้องห้ามอีกเรื่องหนึ่ง ปกติแล้วพวกเขาจะออกมาเพราะคุ้มกันวิญญาณไปยังนรก หรือไม่ก็ออกมาลาดตระเวนเท่านั้น
แต่ยังไงคนเป็นก็ต้องหลบ เพราะถ้าถูกจับได้ คนเหล่านั้นก็จะถูกจับวิญญาณไป
เหมือนกับผมและเฟิงเฉ่วหาน ที่ต้องหนีตาย ถึงจะมีโอกาสน้อยก็ต้องทำ
แน่นอนว่าอาจารย์ก็เริ่มสงสัยหยางเฉ่ว โดยเฉพาะคาถาสองชนิดที่เธอใช้
คาถาแรกคือสามารถปิดกั้นพลังหยางและลมหายใจของคนเป็นได้ ส่วนอีกคาถาก็สามารถปิดบังสายตาของผีได้
แต่ละคาถาต่างแปลกประหลาดมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าอาจารย์ของหยางเฉ่วคือยอดฝีมือที่ไหน ถึงได้รู้คาถาที่ร้ายกาจขนาดนี้
แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นผมลืมถาม และลืมขอช่องทางการติดต่อเอาไว้
ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าหยางเฉ่วใช้คาถาลึกลับนั้นได้ยังไง และทำไมมันถึงร้ายกาจได้ขนาดนั้น
ดังนั้นเรื่องนี้จึงหยุดลงเพียงเท่านี้ ผมทำได้เพียงรอโอกาสให้เจอกันอีกครั้ง ผมถึงจะสามารถถามเธอได้อีกครั้ง……
เช้าวันรุ่งขึ้น เป็นวันที่ท่านนักพรตตู๋จะเปิดร้าน พวกเราจึงรีบออกไปที่ร้านของท่านนักพรตตู๋กันตั้งแต่ตอนเช้า
ท่านนักพรตตู๋เป็นคนค่อนข้างยึดติดกับประเพณีเดิมๆ ก่อนเปิดกิจการเขาจึงจุดธูปเผากระดาษ และยังตั้งของเส้นไหว้
หลังจากเปิดป้ายร้านเรียบร้อย เขาก็เขียนอักษรสามตัวลงบนป้าย “ร้านไป๋ฉ่าว”
แม้ว่าตำบลของพวกเราจะไม่ใหญ่มาก แต่ร้านยาจีนกลับมีเป็นที่แรก
คนแก่ส่วนมากไม่เชื่อยาตะวันตก คิดว่ารักษาไม่หายขาด แต่ยาจีนสามารถช่วยบรรเทาและรักษาได้ตั้งแต่ต้นเหตุ และไม่มีผลข้างเคียงตามธรรมชาติ
วันนั้นหลังจากท่านนักพรตตู๋เปิดกิจการ เขาก็ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีคนป่วยมากมายมาขอซื้อยา
ท่านนักพรตตู๋ขายในราคาถูก และมีวิชาแพทย์สูงส่ง
คนป่วยจำนวนมากจึงยอมให้เขาจับชีพจร และได้รู้อาการส่วนใหญ่ของตัวเอง
อันที่จริงมันก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อใกล้เวลาเที่ยววัน
ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนพาเด็กหนุ่มมาที่ร้านไป๋ฉ่าว พวกเขาดึงดูดความสนใจของพวกเราทันที
มันไม่ได้เป็นเพราะผู้หญิงสวยมาก และผู้ชายก็หล่อเหมือนกัน
แต่เป็นเพราะผู้ชายคนนั้นมีปัญหา และยังเคยมีเรื่องนิดหน่อยกับผมและเฟิงเฉ่วหาน
ผู้ชายคนนี้ไม่ใช่ใคร เขาก็คือนักเลงที่พวกเราเคยอัดเมื่อเดือนที่แล้ว และมีฉายาว่าพี่เจียวหลงหัวหน้าแก๊ง
หลี่ต้าชานเจ้าถิ่นของที่นี่นั่นเอง
แต่หลังจากที่พวกเราเห็นหลี่ต้าชาน ก็พบว่าผ่านไปแค่เดือนเดียวเท่านั้นร่างกายของเจ้าเด็กนี้ กลับซูบผอมลงไปมาก
ยิ่งไปกว่านั้นหน้ายังเหี่ยว ดวงตาเว้าลึก และยังมีขอบตาดำคล้ำโครตๆ แถมพลังหยางในร่างกายยังอ่อนสุดๆ
ไม่ใช่แค่ผมและเฟิงเฉ่วหาน แม้แต่ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์ที่อยู่ข้างๆ ก็ยังหรี่ตามอง พร้อมเผยท่าทางสงสัยออกมา
ขณะที่พวกเรากำลังสำรวจว่าทำไมหลี่ต้าชานถึงได้ซูบผอมลงขนาดนั้น หลี่ต้าชานก็เห็นพวกเรา
เมื่อเขาเห็นว่าผมและเฟิงเฉ่วหานอยู่ที่นี่ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขารีบก้มหัวลง “แม่ ผมไม่ตรวจแล้ว พวกเรากลับกันเถอะ!”
เมื่อผู้หญิงวัยกลางคนได้ยินประโยคนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที “ยังจะไม่ตรวจอีก แกดูสารรูปของตัวเองซิว่าเป็นยังไง”
“ผมบอกแล้ว ว่าตัวเองไม่ได้ป่วย! แค่ไม่ได้นอน แล้วก็ผอมลงนิดหน่อยเท่านั้นเอง”
แต่ผู้หญิงวัยกลางคนไม่พูดพล่าม เธอรีบคว้าข้อมือของหลี่ต้าชานเอาไว้และลากเขาเข้ามาในร้านทันที
ในเวลาเดียวกันเธอก็พูดกับนักพรตตู๋ว่า “คุณหมอ ช่วงนี้ลูกของฉันป่วย คุณช่วยตรวจลูกชายของฉันให้หน่อย……”