ศพ – ตอนที่ 73 ตรวจโรค

ตอนที่ 73 ตรวจโรค

หลังจากที่ผู้หญิงวัยกลางคนพูดจบ เธอก็ดึงหลี่ต้าชานเข้ามาในร้านทันที

หลี่ต้าชานเป็นวัยรุ่นหัวร้อนคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขาเป็นอะไรไป เพียงแค่หนึ่งเดือนร่างกายของเขาก็ซูบผอมลงจนเนื้อติดกระดูก แม้ว่าเขาจะดิ้นรนพยายามเดินออกไป

แต่มันก็ไม่ได้ผลเลยสักนิด เพียงแค่แป๊บเดียว ตัวของเขาก็ถูกดึงเข้ามาในร้านเรียบร้อยแล้ว

หลี่ต้าชานอ่อนแอมาก และใบหน้าก็เหี่ยวย่น

สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ แม้ว่าพวกเราจะดูออก ว่าบนร่างของหลี่ต้าชานคนนี้มีพลังของผีอยู่

แต่ถ้าใช้คำอื่นพูด โรคที่เจ้านี้เป็น มีโอกาสมากที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งชั่วร้าย

 

ผมไม่ได้พูดอะไร แค่ยืนมองอยู่ข้างๆเท่านั้น

ตอนนี้ หลี่ต้าชานถูกแม่ของเขากดให้นั่งลงบนเก้าอี้อย่างเรียบร้อย

ท่านนักพรตตู๋เดินเข้ามาดูหลี่ต้าชาน จากนั้นก็พูดว่า “เจ้าเด็กน้อย ช่วงนี้เธอมีอาการอะไรบ้าง”

อาจเป็นเพราะว่าผมและเฟิงเฉ่วหานอยู่ที่นี่ หลี่ต้าชานจึงไม่ค่อยเป็นตัวของตัวเอง ช่วงแรกเขาจึงไม่ยอมพูดอะไร

แต่หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง เขาก็ค่อยๆพูดติดอ่าง “หมอ เดือน เดือนนี้ จู่ๆ จู่ๆผมก็ไม่อยากอาหาร แค่กินข้าวเข้าไปนิดเดียวก็อ้วกออกมา และนอนไม่ค่อยหลับครับ……”

หลี่ต้าชานพูดออกมาสั้นๆ ท่านนักพรตตู๋พยักหน้าเล็กน้อย “อือ! หมอขอจับชีพจรของเธอหน่อยนะ!”

 

ขณะที่พูด ท่านนักพรตตู๋ก็เริ่มจับชีพจรของเจ้าเด็กนี้

ผ่านไปเพียงครู่เดียว ท่านนักพรตตู๋ก็ดึงมือกลับมา “ร่างกายของเธอปกติดี!”

เสียงของนักพรตตู๋พึ่งจางหาย หลี่ต้าชานก็หันไปพูดกับแม่ของเขาทันที “เห็นไหม! ผมบอกแล้วว่าผมไม่เป็นอะไร! แถมหมอก็ตรวจไม่เจออะไร ร้านเล็กๆนี้จะทำอะไรได้ แม่ พวกเรากลับกันเถอะ!”

ผู้หญิงวัยกลางคนเผยสีหน้าหดหู่ออกมาเล็กน้อย แต่ก็พูดอะไรไม่ออก

จากนั้นหลี่ต้าชานก็ลุกขึ้น เขาแสดงท่าทางว่าจะออกไป

แต่ท่านนักพรตตู๋กลับพูดขึ้นมาอีกครั้ง “ร่างกายเธอปกติดีก็จริง แต่ช่วงนี้เกิดเรื่องขึ้นกับเธอ และอาจจะมีปัญหาตามมาด้วยใช่ไหม!”

 

ท่านนักพรตตู๋พูดเบาๆ และแสดงท่าทางสบายๆ

หญิงวัยกลางคนไม่มีการตอบสนองมากนัก แต่หลังจากหลี่ต้าชานได้ยิน ร่างกายก็แข็งทื่อ ก้มหน้าลง ดูเหมือนคำพูดนั้นจะแทงใจเขา

ไม่รอให้พวกเขาได้พูด จู่ๆอาจารย์ก็เดินเข้ามา

“เจ้าเด็กน้อย การที่ร่างกายของเธอผอมลง ไม่อยากอาหาร หรือเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับร่างกายของเธอนั้น มันคงมาจากสาเหตุอื่นใช่ไหม” อาจารย์ก็พูดออกมาเบาๆ

ขณะที่คำพูดนี้ดังขึ้น หลี่ต้าชานก็นิ่งอึ้งไปอีกครั้ง

 

เขารีบหันไปมองอาจารย์ของผม ด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง

เห็นได้ชัดว่า อาจารย์และนักพรตตู๋ต่างพูดแทงใจเขา

เมื่อหญิงวัยกลางคนเห็นสีหน้าของลูกตัวเองเปลี่ยนไป และเห็นว่าอาจารย์ของผมก็พูดออกมาเหมือนกัน เธอก็รู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่

เพราะในตำบลอาจารย์ของผมเป็นคนมีชื่อเสียง เรื่องฮวงจุ้ย และเรื่องหลบเลี่ยงสิ่งชั่วร้ายใครก็ตามที่มีปัญหาต่างเข้ามาหาอาจารย์กันทั้งนั้น

แม้หญิงวัยกลางคนจะไม่เชื่อเรื่องลี้ลับ แต่หลังจากได้ยินอาจารย์ของผมพูดแบบนั้น เธอก็โยงเข้าเรื่องนั้นทันที

ในใจเธอกำลังหวาดผวา คิดว่าช่วงนี้ลูกชายของตัวเองผิดปกติไปบ้าง

 

เธอคิดในใจ หรือจะไปเจอกับพวกสิ่งชั่วร้ายเข้าจริงๆ

เธอกระวนกระวาย รีบขู่ทันที “ไอ้เด็กเวรนี่แกไปเจออะไรมากันแน่ เงียบอยู่ทำไมฮะ พูดซิ ถ้ายังทำแบบนี้ต่อไป แกจะผอมจนเหลือแต่กระดูกนะ!”

หลี่ต้าชานกระตุกเลิกคิ้วขึ้น จู่ๆเหงื่อก็ไหลออกมาทางหน้าผาก

เขากลืนน้ำลาย หันไปพูดกับอาจารย์และท่านนักพรตตู๋ว่า “ผม ผม ผมไม่รู้พวกคุณจะเชื่อไหม……”

ดูเหมือนเขาจะไม่กล้าพูด ท่านนักพรตตู๋จึงยิ้มให้ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ถึงฉันจะเป็นหมอ  แต่ก็เป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายเช่นกัน!”

 

“ใช่แล้วลูก แกไปเจอเรื่องอะไรมาใช่ไหม นักพรตติงก็อยู่ที่นี่ มีเรื่องอะไรก็พูดออกมาซิ!”

หญิงวัยกลางคนรีบพูด ก่อนหน้านี้เธอไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด

จึงมักจะพาลูกชายของตัวเองไปหาหมอ แต่หมอกลับตรวจไม่พบอะไร

ทุกส่วนของร่างกาย ต่างก็เป็นปกติ

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นหมอก็ยังจ่ายยาช่วยย่อย และยานอนหลับให้กับเขา

แต่พวกมันกลับไม่ได้ผล ร่างกายของหลี่ต้าชานเองก็ยังผอมลงเรื่อยๆ

ถึงเธอจะไม่เห็นความสำคัญของร้านยาที่นักพรตตู๋พึ่งเปิด แต่เมื่อลองคิดดูว่ายาตะวันตกไม่ได้ผล งั้นก็ลองใช้ยาจีนรักษาบ้างอาจจะหายได้

 

ผลลัพธ์กลับพบว่ากลุ่มของพวกเราเป็นคนปราบสิ่งชั่วร้ายที่มีวิชาอาคม จนสามารถมองออกว่าร่างกายของ

หลี่ต้าชานเป็นอะไร

เมื่อหลี่ต้าชานได้ยินแบบนั้น หัวใจของเขาก็อดไม่ได้ที่จะเต้นแรง เริ่มหายใจเร็วขึ้น

เห็นได้ชัดว่า เรื่องนี้ถูกกดอยู่ในใจของเขามานานแล้ว

เมื่อผมเห็นท่าทางของเขา ก็เกือบจะมั่นใจ ว่าหลี่ต้าชานจะต้องโดนสิ่งชั่วร้ายตามรังควานแน่

หลี่ต้าชานจัดการความคิดของตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดกับนักพรตตู๋และอาจารย์ว่า “ช่วง ช่วงนี้ผมชอบฝันเรื่องเดิมๆ ว่า ว่าผมกำลังทำเรื่องแบบว่า”

พวกเรากลับไม่เขินอาย ทุกคนต่างจ้องเขาด้วยความสงสัย

 

รอฟังเรื่องราวทั้งหมดจากหลี่ต้าชานอย่างเงียบๆ จนเขาเล่าจนจบ

เจ้าเด็กนี้บอกว่า ก่อนหน้านั้นประมาณหนึ่งเดือนกว่าๆ เขาและเพื่อนอีกสองสามคนได้ไปตั้งแคมป์กันในป่า หลังจากกลับมาก็เริ่มฝันแปลกๆ

และยังฝันถึงเรื่องพวกนั้นติดๆกันจนเป็นเวลาเดือนกว่าๆ ทุกคืนจะฝันไม่เหมือนกัน แต่ทุกอย่างกลับสวยงามอย่างไม่น่าเชื่อ และสถานการณ์ยังหลากหลาย

ตอนแรกเขาก็ยังไม่รู้สึกอะไร ยังรู้สึกฟินเป็นพิเศษ จนอยากจะนอนหลับฝันไปทุกวัน

แต่ต่อมา เขาก็พบว่าน้ำหนักของตัวเองเริ่มลดลง และไม่ค่อยอยากอาหาร

 

หลังจากเห็นว่าหมอตรวจไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ เขาก็เริ่มรู้สึกสงสัยว่าตัวเองกำลังเจอกับสิ่งชั่วร้ายรึเปล่า หรืออาจเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เขาฝัน

แต่เขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ และกลัวว่าคนจะเรียกเขาว่าเป็นคนบ้า ดังนั้นเขาจึงปิดบังคนในครอบครัวและไม่ออกไปคุยกับคนข้างนอก

ปัจจุบันนี้เมื่อถึงตอนกลางคืน เขาก็ไม่ทำเหมือนก่อนหน้านี้ เขาไม่กล้านอนหลับอีกต่อไป

กลัวว่าหลังจากนอนหลับไป เขาจะฝันแบบนั้นอีก

แต่ทุกคืนเขาก็ไม่ผ่านช่วงเวลาตีสองได้ ทุกครั้งที่ถึงช่วงเวลานี้

เขาก็บังคับให้ตัวเองไม่นอนไม่ได้ จากนั้นก็จะนอนหลับไปทันที

 

หลังจากได้ยินเรื่องราวที่เจ้าเด็กนี้ได้เจอมา พวกเรามั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็น

หลี่ต้าชานจะต้องโดนสิ่งชั่วร้ายหลอกหลอน การที่เขาฝันถึงเรื่องรักๆใคร่ๆแบบนั้นได้ทุกคืน นั้นเป็นเพราะมีผีผู้หญิงกำลังดูดพลังชีวิตของเขา

หลังจากถูกดูดพลังชีวิตติดๆกันร่างกายของเขาก็อ่อนแอและไม่อยากกินอะไร ดังนั้นเขาไม่ผอมนะซิแปลก

หญิงวัยกลางคนมองรูปร่างที่ซูบผอมของลูกชายตัวเอง จากนั้นก็หันมามองพวกเรา “ท่านนักพรตทั้งสอง พวกคุณ พวกคุณต้องช่วยลูกชายของฉันด้วยนะคะ เขายังเด็กอยู่เลย จะถูกเจ้าสิ่งชั่วร้ายนั้นจับไปไม่ได้นะคะ……”

เมื่อพูดถึงจุดนี้ แม่ของหลี่ต้าชานก็ร้องไห้ออกมาทันที

 

แม้ว่าหลี่ต้าชานจะมีชื่อเสียงว่าเป็นอันตพาล แต่เขาก็กตัญญู ต่อแม่ของตัวเอง

เมื่อเห็นแม่ของตัวเองร้องไห้ เขาก็ฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อยเพื่อปลอบใจ จากนั้นก็ใช้มือเช็ดน้ำตาให้แม่ของเขา

เมื่อท่านนักพรตตู๋เห็นแบบนี้ เขาก็พูดว่า “ท่านทั้งสองไม่ต้องกังวล เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ไม่ใช่ปัญหา! พวกคุณทิ้งที่อยู่ และสถานที่ที่เธอไปตั้งแคมป์เอาไว้ ”

“จากนั้นกลับไป ก่อนอาบน้ำก็ให้ใส่ใบส้มโอลงไปในน้ำ แล้วตอนกลางคืนพวกเราจะเข้าไปหา! ถ้าเจ้าสิ่งนั้นกล้ามา พวกเราทุกๆคนก็จะกำจัดมันเอง!”

เมื่อหลี่ต้าชานและหญิงวัยกลางคนได้ยินแบบนั้น ก็เหมือนกับได้ฟางเส้นสุดท้ายมาอยู่ในมือ ช่วงเวลานั้นพวกเขาตื่นเต้นมาก

 

หลี่ต้าชานดีใจยิ่งกว่า เขาร่วมมือเป็นอย่างมาก ไม่เหมือนกับการต่อต้านเมื่อก่อนหน้านี้เลยสักนิด

หลังจากที่พวกเขาทิ้งที่อยู่ไว้เรียบร้อย แถมยังส่งบุหรี่ให้ผมกับเฟิงเฉ่วหานด้วย

เรื่องที่ถูกพวกเราอัดเมื่อก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าเมื่อเทียบกับเรื่องชีวิตแล้ว มันไม่คุ้มที่จะพูดออกมาอีก

เมื่อทำเรื่องเหล่านี้เสร็จ หญิงวัยกลางคนก็หยิบเงิน 1,000 หยวนออกมา ส่งให้กับท่านนักพรตตู๋และอาจารย์

แต่ท่านนักพรตตู๋และอาจารย์กลับปฏิเสธ บอกว่าก่อนที่จะทำงานเสร็จ พวกเขาไม่กล้ารับเงิน

ที่ท่านนักพรตตู่และอาจารย์ทำแบบนี้ ก็เพื่อทำให้ทั้งสองคนเชื่อถือพวกเรามากกว่าเดิม

หลังจากนั้น ทั้งสองคนก็เดินออกจากร้านไป

 

ทั้งสองคนพึ่งออกไป สีหน้าของอาจารย์และนักพรตตู๋มืดมนลงทันที

จากนั้น ก็ได้ยินอาจารย์พูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน เจ้าเด็กนั้นคงโดนผีเร่ร่อนตามรังควาน นายกับอาจารย์ไปเดินสำรวจกันก่อนเถอะ……”

ศพ

ศพ

โดย เรื่อง ศพ บ้างส่วนของนิยาย ผมชื่อติงฝาน ปีนี้อายุ 20 ปีบริบูรณ์ ตัวผมและอาจารย์ต่างใช้ชีวิตพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนอาจารย์ยังเป็นวัยรุ่นเขาเป็นคนตัดผมให้พระในวัด และเขายังทำหน้าที่เป็นสัปเหร่อประจำวัดด้วย ในปัจจุบันเขาได้เช่าร้านขายของชำในตำบลหนึ่งแหล้ง ขายของจำพวกเทียน กระดาษเงินกระดาษทอง และผ้าห่อศพ เพื่อหารายได้ประทังชีวิตไปวันๆ ในช่วงเวลาว่าง ท่านอาจารย์ยังชอบออกไปช่วยดูฮวงจุ้ยให้กับผู้คน บางครั้งก็ทำพิธีกรรมทางศาสนา เกี่ยวกับการเป็นสื่อกลางระหว่างวิญญาณน่ะ……. วันนั้นอาจารย์ออกไปช่วยคนประกอบพิธีทางศาสนา แล้วปล่อยให้ผมเฝ้าร้านคนเดียว เวลาล่วงเลยมาประมาณหนึ่งทุ่มตรง อยู่ๆสัปเหร่อหลี่เหลาซานก็รีบพุ่งเข้ามาซื้อของ เนื่องจากผมติดตามอาจารย์มาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นผมจึงพอมีวิชาติดตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อผมเห็นว่าจุดยิ่งถาง(เป็นจุดที่อยู่ระหว่าหัวคิ้วทั้งสอง)ของหลี่เหลาซานดำมืด สีหน้าย่ำแย่ จึงรู้สึกถึงความผิดปกติได้ทันที จากนั้นผมจึงถามกับหลี่เหล่าซานว่าเป็นอะไรไป หลี่เหล่าซานก็ไม่ปิดบังอะไร เขาบอกว่ามีคนจมน้ำตาย และตอนนี้เขาก็กำลังรีบไปเก็บศพ เมื่อคิดถึงตอนที่ตัวผมเคยติดตามอาจารย์ตั้งแต่ยังเด็ก แม้ว่าจะได้เรียนวิชาอะไรมามากมาย แต่อาจารย์กลับพาผมไปทำงานด้วยน้อยมาก และยังไม่ยอมให้ผมแตะตัวศพด้วย เมื่อผมเห็นว่าสีหน้าของหลี่เหล่าซานแย่มาก แล้วตอนนี้เขายังต้องไปเก็บศพคนเดียวอีก เขาคงกลัวว่าตัวเองต้องเจอกับเรื่องไม่ค่อยดีแน่ อาจารย์ก็ไม่อยู่ พอดีเลยแอบออกไปดูหน่อยดีกว่า อีกอย่างหลี่เหล่าซานเองก็ยังขาดลูกมือด้วย ดังนั้นผมจึงตามหลี่เหล่าซานไป ถึงแม้ว่าจะไม่เก่งเท่าอาจารย์ แต่ถ้าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องไม่ดี ถึงตอนนั้นผมก็ค่อยใช้วิชาที่เรียน มาหลบมันก็จบแล้ว ผ่านไปไม่นาน พวกเราก็มาถึงอ่างเก็บน้ำ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นแค่การจมน้ำธรรมดาๆ แต่เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุถึงได้รู้ว่า เรื่องนี้ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คิดไว้ ผู้เสียชีวิตคือสามีภรรยาคู่หนึ่งที่หาเลี้ยงชีพด้วยการตกปลา พวกเขาออกหาปลากันตั้งแต่ตอนเช้า วันนี้พวกเขาหาปลาไหลตัวใหญ่ได้ตัวหนึ่ง ได้ยินมาว่า ปลาไหลตัวนั้นตัวใหญ่เท่ากับข้อมือ ตัวเหลืองหลังดำ และมันยังยาวเกินกว่าหนึ่งเมตรด้วย ตอนนั้นมีคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า พวกเขาจับมังกรได้ บอกให้ปล่อยมันไปซะ เพราะของสิ่งนี้ฆ่าไม่ได้ และกินก็ไม่ได้ด้วยเช่นกัน แต่สองสามีภรรยานั้นไม่ยอมฟัง บอกว่าของโอชะแบบนี้มันขึ้นอยู่กับโชคชะตา หลังจากนั้นตอนเที่ยงพวกเขาจึงนำปลาไหลตัวนั้นไปทำอาหาร แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ตกบ่ายพวกเขาก็ลงเก็บแหที่จมอยู่ในน้ำตามปกติ แต่แล้วตอนนั้นกลับเป็นเวลาที่พวกเขาทั้งคู่พลัดตกลงไปจมน้ำตาย ตอนนี้คนที่อยู่รอบๆต่างลือกันไปทั่ว ว่าสองสามีภรรยานั้นกินมังกรเข้าไป ทำลายฮวงจุ้ย จนทำให้เทพมังกรน้ำโมโห ตอนนี้พวกเขาเลยถูกเก็บ เพื่อให้สมกับกรรมที่พวกเขาก่อ หลังจากที่หลี่เหล่าซานได้ยินคำเล่าลือพวกนี้ เขาก็รู้สึกหวาดกลัว บอกว่าเรื่องมันประหลาดเกินไป พวกเรารีบเก็บ รีบกลับกันเถอะ ผมพยักหน้าและพูดว่า “อือ” จากนั้นก็เดินตามหลี่เหล่าซานไปทางที่ศพอยู่ ศพของสองสามีภรรยาชาวประมงถูกลากขึ้นฝั่งเรียบร้อย ตอนนี้พวกเขาถูกผ้าขาวคลุมไว้ รอบๆศพมีเส้นที่ตำรวจตีวงล้อมไว้ และในสถานที่เกิดเหตุยังมีตำรวจอีกสองสามคนกำลังสอบปากคำอยู่ หลี่เหล่าซานเป็นสัปเหร่อที่คอยเก็บศพ หลังจากแสดงบัตรประจำตัว เขาก็เดินผ่านเข้าไปทันที เมื่อเดินมาถึงศพ ผมรู้สึกแค่ว่าอากาศที่อยู่รอบๆเริ่มหนาวเย็น และกลิ่นเหม็นเน่าก็เริ่มกระจายออกมา ตามปกติแล้วคนที่พึ่งจมน้ำตายในตอนบ่ายนั้น ถ้าดูจากเวลาตอนนี้ยังผ่านไปแค่ครึ่งวันเท่านั้น ตอนนี้อากาศก็ไม่จัดว่าร้อน เวลาแค่ครึ่งวันจะเปลี่ยนกลิ่นให้เน่าเหม็นขนาดนี้ได้ยังไง แต่ผมก็ไม่คิดมาก เมื่อเข้าไปใกล้ตัวผมเองก็ปิดจมูกเอาไว้ แต่ตอนที่ผ้าขาวพึ่งเปิดออก กลิ่นเน่าเหม็นก็กระจายออกมาทันที กลิ่นนั้นรุนแรงมาก จนเกือบทำให้ผมต้องอ้วกออกมาเลยทีเดียว ผมอดกั้นความสะอิดสะเอียนเอาไว้ จากนั้นก็มองไปที่ศพ พบว่ารูปร่างของศพกำลังขึ้นอืด บริเวณหลายแหล่งต่างเน่าเป็นที่เรียบร้อย สภาพศพดูเหมือนกับคนที่ตายมาแล้วสี่ถึงห้าวัน พวกเราทั้งสองต่างรู้สึกว่าทนรับกลิ่นเน่าเหม็นนี้ไม่ค่อยไหว พวกเราจึงรีบสวมถุงมือ เตรียมยกขึ้นรถบรรทุกศพ จากนั้นจะได้นำกลับไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อ แต่แล้วเมื่อมือของทั้งสองคน สัมผัสกับศพ ดวงตาทั้งสองข้างที่เคยปิดอยู่ ตามสถานการณ์ปกติที่มันควรจะเป็น จู่ๆเปลือกตาก็เปิดออก เผยให้เห็นลูกตาสีขาวโพน เมื่อเห็นเช่นนั้นพวกเขาจึงรู้สึกกลัวมาก เมื่อเห็นฉากนี้ ในใจของผมแทบจะร้องตะโกนออกมาว่า “เชี่ยแล้ว” ท่าไม่ดีแล้ว อาจารย์เคยพูดบ่อยๆ คนเป็นหายใจ คนตายก็ต้องหายใจเฮือกสุดท้ายเช่นกัน เวลาเก็บศพ สิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงที่สุดก็คือการเผชิญหน้ากับพวกศพที่ไม่สงบ และเมื่อสัมผัสกับศพ แล้วพบว่าศพลืมตา ก็เป็นอีกหนึ่งข้อที่ควรหลีเลี่ยงเช่นกัน เพราะการลืมตา หมายความว่าเขายังต้องการมีชีวิต นี่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ลางร้าย แต่มันยังหมายถึงเคราะห์ร้ายมากและเป็นสิ่งที่ควรหลีกเลี่ยงมาก นี่แสดงให้เห็นว่าผู้ตายไม่อยากทิ้งลมหายใจเฮือกสุดท้าย ไม่ไปสู่สุขคติ ไม่ยอมจากไปแต่โดยดี ตัวผมนั้นยังถือว่าดี ที่ยังได้เรียนวิชาพวกนั้นมาบ้าง ดังนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ผมจะรู้วิธีจัดการกับศพที่ตายโหง และปลดปล่อยวิญญาณพวกนี้ แต่ทางด้านหลี่เหล่าซาน เขาพึ่งเคยมีประสบการณ์เป็นสัปเหร่อเพียงครึ่งปีเท่านั้น ดังนั้นวินาทีที่ศพลืมตาขึ้น เขาจึงตกใจจนร้องตะโกนออกมา “เฮ้ย” จากนั้นก็ลนลานจนลงไปนั่งกองกับพื้นทันที ไม่หยุดเพียงเท่านั้นเขายังพูดออกมาพร้อมกับเสียงที่สั่นเทา “ขยับ ศพมันขยับ!” เมื่อผมเห็นหลี่เหล่าซานเป็นเช่นนั้น ตัวเองจึงรีบส่งสัญญาณให้หลี่เหล่าซานเงียบทันที ดีที่รอบๆตัวไม่มีใครอยู่ ถ้าคนอื่นได้ยินเข้าละก็ จะต้องปล่อยข่าวลือหนักกว่าเดิมแน่ “ลุงซาน ลุงไม่ต้องตกใจ เป็นเพราะสองสามีภรรยาตายอย่างไม่สงบ ผมแค่ทำพิธีส่งวิญญาณให้พวกเขาก็จบแล้วครับ!” หลี่เหล่าซานกลัวจนตัวสั่น ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาเลยพยายามพยักหน้าให้ผมหนึ่งครั้ง ส่วนผม ก็รีบหยิบกระจกแปดทิศที่อาจารย์ชอบใช้ออกมาจากกระเป๋า ไม่อธิบายใดๆทั้งสิ้น หลังจากวางไว้ระหว่างหน้าผากของทั้งสองศพผมก็ตบมันลง ในเวลาเดียวกันผมที่เคยเรียนวิธีการพูดส่งวิญญาณมาจากอาจารย์ ดังนั้นตอนนี้ผมจึงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยเสียงที่แผ่วเบา “ สุดท้ายชีวิตก็ต้องดับสูญ วิญญาณก็ย่อมแตกสลาย! มาจากที่ไหนจงกลับไปที่นั้น! ” ด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาจึงพูดประโยคนั้นสองครั้งติดกัน อย่าได้ดูถูกมันเชียว เพราะวิธีนี้ของอาจารย์มันใช้ได้ผลจริงๆ หลังจากทำพิธีเสร็จ เพียงใช้มือสัมผัสเบาๆ เปลือกตาของศพก็ปิดลงอย่างง่ายดาย เมื่อหลี่เหล่าซานเห็นดวงตาของศพทั้งสองปิดลง มันก็ทำให้ตัวเขาเกิดความสงสัยขึ้นมาดังนั้นเขาจึงพูดกับผมว่า “เสี่ยวฝาน พวกเขา พวกเขาสงบลงแล้วเหรอ” เมื่อเก็บกระจกเสร็จ ผมก็หันมาพยักหน้าให้ “น่าจะเรียบร้อยแล้วครับลุงซาน แต่สองสามีภรรยาคู่นี้ตายแบบแปลกๆ และพลังด้านมืดของที่นี่ยังแรงมาก ผมคิดว่าพวกเราควรรีบออกไปจากที่นี่กันดีกว่าครับ!” หลี่เหล่าซานเองก็ไม่ได้อยากอยู่ต่อนานแล้ว ตอนนี้เมื่อได้ยินผมพูดแบบนี้ เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที ทั้งสองคนยังไม่ลืม ที่จะนำศพทั้งสองขึ้นรถ หลังจากให้สมาชิกครบครัวเซ็นชื่อ และบอกกับตำรวจของที่นี่เรียบร้อย พวกเขาทั้งสองคนก็รีบขับรถออกมาจากที่นี่ทันที หลังจากที่หลี่เหล่าซานออกมาได้ไม่นาน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มาก ร่างกายยังคงสั่นกลัว ดูเหมือนว่าเขาจะถูกทำให้ตกใจกลัวไม่น้อย ผมจึงทั้งขับรถให้เขา และปลอบเขาไปในตัว พวกเราก็ไม่ได้ไปรบกวนใครต่อใคร พยายามทำให้เขารู้สึกผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลี่เหล่าซานกลับหัวเราะแห้งๆออกมา จากนั้นเขาก็ไม่พูดอะไรอีก เพราะทั้งสองศพนี้เริ่มเน่าและมีกลิ่นเหม็นแล้ว ทางครอบครัวก็เซ็นชื่อเรียบร้อย และยังมีเรื่องแปลกๆมากมายด้วย ดังนั้นผมจึงแนะนำ ให้หลี่เหล่าซานเผาทั้งสองศพในคืนนี้ เพราะถ้ายังยื้อเวลาออกไปอาจมีเรื่องอะไรไม่ดีเกิดขึ้นก็ได้ เมื่อครอบครัวมารับ ลุงก็ให้เถ่ากระดูกกับพวกเขาไปก็เหมือนกัน

Comment

Options

not work with dark mode
Reset